ผ่านเวลาไปเนิ่นนานทุกคนที่ใช้หินวิเศษฟื้นคืนพลังต่างทยอยกันลุกขึ้นยืน
“หิวเหลือเกิน”
ทุกคนเอะอะกันขึ้นมาไม่นานก็เหลือบไปมองซากศพของสัตว์วิเศษเ่าั้
ภายใต้การนำของพันเทาและเจิ้งรุ่ยพวกเขาก่อไฟขึ้นหั่นเนื้อบนร่างของสัตว์วิเศษพวกนั้นออกเป็ชิ้นๆ แล้วเสียบเรียงกันเข้าไปในกิ่งไม้จากนั้นก็วางบนกองไฟแล้วเริ่มปิ้งย่างเนื้อสัตว์วิเศษเ่าั้
ไม่นานนักเนื้อที่ถูกเผาจนเหลืองกรอบก็เริ่มส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
คนทั้งกลุ่มที่หิวโหยอย่างถึงที่สุดแต่ละคนสวาปามกันอย่างรวดเร็วใช้เนื้อของสัตว์วิเศษมาเติมเต็มให้อิ่มท้อง
“อร่อยเหลือเกิน!”
“รสชาติเนื้อเหล่านี้ช่างนุ่มยิ่งกว่าอาหารที่บ้านข้าอีก!”
“เนื้อของสัตว์วิเศษไม่ได้เอามากินกันได้ง่ายๆ ขนาดนั้นคราวนี้ทุกคนถือว่าได้ลาภปากแล้ว!”
นั่งล้อมรอบกองไฟพวกเขาฉีกเนื้อกินอย่างเอร็ดอร่อยมุมปากมันแผล็บๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้มพึงพอใจ
เวลานี้มีเพียงอันอิ่งที่สูญเสียพลังไปเยอะที่สุดและเนี่ยเทียนที่หลับลึกเท่านั้นที่ยังไม่ฟื้นตัวคืนมา ไม่สามารถดื่มด่ำไปกับอาหารรสเลิศกับคนอื่นได้
“ที่นี่มีสัตว์วิเศษมากพอเดี๋ยวช่วยกันย่างไว้ให้อันอิ่งกับเนี่ยเทียนสักหน่อยรอพวกเขาฟื้นตัวแล้วก็จะได้กินเลย” พันเทาแทะขาสัตว์วิเศษที่มันเยิ้มพลางกล่าวกำชับ
“อ้อ” มีเสียงคนตอบรับ
“พี่เทาท่านเป็อะไรกันแน่? เหตุใดถึงต้องคอยดูแลปกป้องเ้าเด็กนั่นด้วย?” เจิ้งลุ่ยถือมีดเล่มเล็กหั่นเนื้อออกมาเป็ชิ้นๆ แสร้งทำท่าเอาเข้าปากอย่างสง่างาม “หรือท่านลืมไปแล้วว่าก่อนหน้านี้พวกเราเกือบจะต่อสู้กับเ้าเด็กนั่นนะ?”
เด็กคนอื่นๆ ก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดพันเทาต้องดูแลเนี่ยเทียนขนาดนั้น พอได้ยินคำพูดของเจิ้งรุ่ยจึงพากันหันมามอง
“เวลาเปลี่ยนสถานการณ์ก็เปลี่ยน” พันเทากล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ตอนที่กิ้งก่าดินลอบโจมตีเจียงเหมียวเขาเป็คนแรกที่สังเกตเห็น ช่วยให้เจียงเหมียวพ้นภัยมาได้นับแต่วินาทีนั้นเขาก็เป็ส่วนหนึ่งของพวกเราแล้ว”
“ไม่ว่าตอนอยู่ข้างนอกเขาจะมีตัวตนเป็ใครแต่เมื่ออยู่ในโลกมายามรกตข้าหวังว่าพวกเ้าจะปฏิบัติกับเขาดั่งสหายคนหนึ่งเช่นกัน”
“ต่อไปพวกเราอาจต้องเจออันตรายที่มากกว่าเดิม หากใจของทุกคนไม่เป็อันหนึ่งอันเดียวกันไร้ความเชื่อใจซึ่งกันและกัน เกรงว่าพวกเราคงยากที่จะมีชีวิตรอดออกไปจากโลกมายามรกตแห่งนี้ได้”
คำพูดประโยคนี้ของเขาพูดได้อย่างมีเหตุมีผล
“พันเทาพูดถูก” อันอิ่งที่ลืมตาขึ้นรับคำต่อ ใช้สายตาชมเชยมองพันเทาก่อนเป็อันดับแรก จากนั้นก็เริ่มสั่งสอนเจิ้งรุ่ยว่า “เ้าหัดเรียนรู้จากพันเทาเสียบ้าง อย่าเอาแต่คิดเล็กคิดน้อย การเดินทางมาโลกมายามรกตครั้งนี้ข้าถึงได้พบว่าพันเทาสามารถแบกรับภาระหนักได้อย่างแข็งแกร่ง เกินกว่าที่ข้าคิดเอาไว้มากนัก”
พันเทาก้มหน้าเล็กน้อยอย่างกระอักกระอ่วนรีบพูดขึ้นว่า “อย่าพูดเช่นนี้เลย ข้าแค่รู้สึกว่าความสามัคคีต่างหากถึงจะเป็สิ่งที่สำคัญที่สุด”
เจิ้งรุ่ยที่ถูกตำหนิเต็มไปด้วยความกล้ำกลืนแอบพูดกับตัวเองในใจว่าก่อนหน้าที่จะเข้ามาเ้ายังแอบกำชับกับพวกข้าอยู่เลยไม่ใช่หรือว่าต้องให้เนี่ยเทียนเห็นดีกันในโลกมายามรกต?
“เขาตื่นแล้ว” และเวลานี้เองเจียงเหมียวใบหน้าราวกับตุ๊กตาสังเกตเห็นว่าเนี่ยเทียนเองก็ลืมตาขึ้นมาแล้ว
“เ้าเอาอะไรไปให้เขากินหน่อย” อันอิ่งกำชับหนึ่งประโยค
มือเล็กๆ ราวกับหยกใสของนางแย่งเอาเนื้อสุกเหลืองกรอบชิ้นใหญ่จากมือของเจิ้งรุ่ยไปอย่างไม่เกรงใจยัดเข้าปากคำใหญ่แล้วเริ่มเคี้ยวกร้วมๆ
“เจิ้งรุ่ยเหตุใดเ้าถึงได้ทำตัวเหมือนสตรีอย่างนี้? ที่นี่คือโลกมายามรกตไม่ใช่หอหลิงเป่าเสียหน่อยแค่กินอาหาร จำเป็ต้องใช้มีดตัดเป็ชิ้นให้ประณีตอย่างนั้นด้วยหรือ?”
นางเคี้ยวอาหารเต็มปากพูดด้วยเสียงอู้อี้
พอนางพูดอย่างนี้เจิ้งลุ่ยที่แสร้งวางมาดสง่างามก็เริ่มขวยเขินขึ้นมา ทำได้เพียงเก็บมีดเล็กเล่มนั้นกลับไป
และเวลานี้เจียงเหมียวเองก็หยิบเอาเนื้อแรดเกราะน้ำแข็งชิ้นหนึ่งที่ย่างสุกแล้วมาให้เนี่ยเทียน
“ข้าให้เ้า” เจียงเหมียวส่งเนื้อให้อย่างขลาดกลัว
“อ้อ ขอบใจนะ” เนี่ยเทียนที่นอนจนเลอะเลือนเล็กน้อยรับเนื้อมาแล้วก็เริ่มสวาปามเข้าไปทันที
เนื้อที่อย่างน้อยหนักห้าจิน[1]หายวับเข้าไปในปากของเนี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว แม้แต่ซากก็ไม่เหลือ
เจียงเหมียวที่นั่งอยู่ด้านข้างมองด้วยความตะลึง
เนื้อชิ้นเบ้อเริ่มถูกยัดเข้าไปในท้องเนี่ยเทียนกลับไม่มีความรู้สึกใดๆ สักนิด ยังคงหิวโหยไม่ต่างไปจากเดิม
“ยังมีอีกหรือไม่?” เขามองเจียงเหมียวและถามขึ้น
เจียงเหมียวพยักหน้ารีบกล่าวว่า “มี! ยังมีอีกเยอะเลยล่ะ!”
พูดจบนางก็รีบวิ่งมาตรงจุดที่พวกอันอิ่งนั่งอยู่แล้วก็หยิบชิ้นเนื้อที่สุกแล้วซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าเดิมมาให้
เนี่ยเทียนเองก็ไม่เกรงใจแม้แต่นิด พอรับมาก็ยังคงเขมือบกลืนเนื้อสุกหนักเกินแปดจินชิ้นนั้นเข้าไปจนเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว
กระแสความอบอุ่นค่อยๆ ลอยขึ้นมาในช่องท้องของเขาหลังจากรวบรวมสมาธิััอย่างละเอียดดวงตาก็พลันเปล่งประกายแวววาวขึ้น
ขณะที่เขาใช้ใจรับััจากร่างกายพบว่ากระแสอบอุ่นหลายเส้นนั้นคล้ายจะมาจากชิ้นเนื้อที่เขากลืนลงไป...
ก้อนเนื้อมาจากสัตว์วิเศษระดับหนึ่งที่เพิ่งตายไปได้ไม่นาน
ไม่เหมือนกับเนื้อที่เขาเคยกินในเมืองเฮยอวิ๋น ปราณิญญาฟ้าดินที่หล่อหลอมออกมาจากสัตว์วิเศษพวกนี้ล้วนถูกพวกมันแปลงมาเป็ยาบำรุงร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเนื้อของสัตว์วิเศษแฝงเร้นไว้ด้วยพลังงานมากมาย
พลังงานเ่าั้เมื่อถูกเขาดูดซับเข้าไปก็แผ่ออกไปทั่วอวัยวะตันห้าและอวัยวะกลวงหกของเขา จากนั้นพลังของกล้ามเนื้อของเขาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
ความรู้สึกเช่นนี้เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนตอนที่กินเนื้ออื่นๆ เลย...
“ขอเพิ่มอีกหน่อย” เขาคึกคักขึ้นมาทันใด และกล่าวกับเจียงเหมียวว่า“คราวนี้เอามาเยอะๆ หน่อยนะ ข้าเป็คนกินจุ คนเดียวสามารถกินได้มากพอๆกับพวกเขาห้าคน เ้าดูสิทุกคนอายุพอๆ กัน ข้าสูงกว่าแล้วก็ตัวใหญ่กว่าพวกเขาใช่หรือไม่เล่า? นั่นเป็เพราะว่าข้ากินเก่งกว่าพวกเขาอย่างไรเล่า”
“เ้าไม่ได้กินจุแบบธรรมดาอย่างคนทั่วไปเลยสักนิด” เจียงเหมียวพึมพำเบาๆ หนึ่งประโยคแต่ก็ยังไปหยิบเอาเนื้อสุกจากจุดที่พวกอันอิ่งนั่งมาเพิ่มให้เขาอย่างว่าง่าย
“ไม่จริงกระมัง?” ถงฮ่าวมองเจียงเหมียวแย่งเอาเนื้อชิ้นใหญ่ที่เขาเพิ่งย่างเสร็จจากไปอดไม่ได้จนต้องโวยวายขึ้นมา “เ้าเอาเนื้อสุกมากขนาดนั้นไปเขากินหมดหรือ?”
“ก่อนหน้านี้ที่เอาไปเขากินหมดแล้ว” เจียงเหมียวอธิบาย
ประโยคนี้ดังขึ้นทุกคนที่รวมตัวกันอยู่ตรงนั้นต่างก็หันไปมองเนี่ยเทียนด้วยสายตาแปลกประหลาด
เมื่อครู่พวกเขาไม่ได้สังเกตเนี่ยเทียนจึงไม่รู้ว่าเนี่ยเทียนจัดการกับเนื้อปริมาณมากพอสำหรับคนอย่างน้อยสี่คนจนเกลี้ยงไปแล้ว
พวกเขาเบิกตากว้างมองเจียงเหมียวที่เอาเนื้อหนักประมาณสิบจินชิ้นนั้นส่งไปให้กับมือของเนี่ยเทียน
ทว่าเนี่ยเทียนไม่ได้สนใจพวกเขาเอาแต่กัดกระชากและเขมือบกลืนเนื้อชิ้นใหญ่จนน่าใชิ้นนั้นลงท้องต่อหน้าต่อตาพวกเขาอย่างรวดเร็ว
“เ้าหมอนี่มันคือถังข้าวหรือ?” เจิ้งรุ่ยอุทานเสียงแปลกแปร่ง
อันอิ่งและพันเทาก็ตื่นตะลึงกับปริมาณการกินของเนี่ยเทียนเช่นกัน คนทั้งสองต่างมีสีหน้าเหยเก
“เป็อย่างไรบ้าง?” เจียงเหมียวคึกคักจ้องเนี่ยเทียนด้วยความสนใจเป็อย่างยิ่ง “กินอิ่มหรือยัง? ยัง้าอีกหรือไม่?”
“ข้าขอ... อีกหน่อยได้หรือไม่?” เนี่ยเทียนพูดเบาๆ
“หา!”
เจียงเหมียวและอันอิ่งะโลั่นพร้อมกัน
สายตาของคนอื่นๆ ที่มองมายังเนี่ยเทียนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงต่างก็มองเขาเป็เหมือนสัตว์ประหลาดในร่างคน
“ยังมีอีกหรือไม่?” เนี่ยเทียนถามเสียงเบา
การจับตามองของทุกคนทำให้เขารู้สึกขวยเขินเล็กน้อยแต่เขายังไม่อิ่มจริงๆ
เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหลังจากที่ดึงเอากระแสจิตไปใช้เกินกำหนดเขาก็เกิดความรู้สึกหิวโหยอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน ปริมาณอาหารที่กินก็เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ
อีกอย่างพอเขากินเนื้อสุกที่มาจากตัวของสัตว์วิเศษเ่าั้เข้าไป เขาััได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังงานบางอย่างก่อเกิดในท้องของเขามากขึ้นเรื่อยๆ มันค่อยๆ แผ่ขยายไปยังกล้ามเนื้อกระดูกและอวัยวะตันห้า อวัยวะกลวงหกของเขา
เพียงแค่สวาปามอย่างบ้าคลั่งครู่เดียวเขาก็มีความรู้สึกแปลกประหลาดเหมือนร่างกายกำลังเปลี่ยนมาเป็ทรงพลังมากขึ้น
เขาไม่อยากหยุดความรู้สึกมหัศจรรย์อันงดงามเช่นนั้นไป เขาอยากให้มันดำเนินต่อไปเรื่อยๆ
“มี!”
คนที่ตอบเขาไม่ใช่เจียงเหมียวที่ตะลึงจนทำตัวไม่ถูกแต่กลับเป็พันเทา
พันเทาที่กินอิ่มแล้วถือเนื้อก้อนใหญ่สาวเท้าก้าวเดินยาวๆ เข้ามาหาแล้วส่งชิ้นเนื้อให้กับเนี่ยเทียนภายใต้สายตาตะลึงพรึงเพริดจากทุกคน
“อ้อ ขอบใจนะ” เนี่ยเทียนรับมาแล้วก็เริ่มขม้ำกลืนลงไป
ครั้งนี้เขาไม่ได้จัดการชิ้นเนื้อขนาดั์ให้หายไปในระยะเวลาอันรวดเร็วอย่างก่อนหน้านี้
ตอนที่กินมาได้ครึ่งหนึ่งในที่สุดความเร็วของเขาก็ลดลง
และเนื้อสุกที่ดูน่ากลัวในสายตาของทุกคนอย่างเห็นได้ชัดนั้นสุดท้ายก็ยังค่อยๆ หายเข้าไปในปากของเขา...
“ข้ากินมาเยอะพอสมควรแล้ว ข้าอิ่มแล้วล่ะ” เนี่ยเทียนหัวเราะเจื่อนๆ ไม่หันไปมองสีหน้าอันไม่คาดคิดของทุกคนอีก “รู้สึกง่วงขึ้นนิดหน่อยแล้วล่ะ พวกเ้าตามสบายนะข้าขอนอนอีกครู่หนึ่ง”
“สุดยอด” ใบหน้าพันเทาเต็มไปด้วยความนับถือ
อันอิ่งเองก็มีสีหน้าหวาดผวาและตกตะลึงพึมพำกับตัวเองเสียงเบาว่า“กินจุเช่นนี้ถือเป็จุดมหัศจรรย์ที่ท่านพี่พูดถึงหรือไม่?”
หลังจากหลับตาลงเนี่ยเทียนก็เริ่มกลั้นลมหายใจรวมรวบสมาธิค่อยๆ ปรับการหายใจเข้าออกอย่างช้าๆ ไม่สนใจสายตาแปลกประหลาดจากทุกคนอีกแต่เริ่มสำรวจความผิดปกติในร่างกายอย่างจริงจัง
เมื่อจิตใจเขาสงบลง เขาเคยชินที่จะโคจรคาถาหลอมลมปราณเพื่อดูดซับเอาปราณิญญารอบด้านมาฝึกบำเพ็ญตบะ
“เอ๊ะ!”
เพิ่งจะเริ่มท่องคาถาหลอมลมปราณ เขาก็ค้นพบอย่างกะทันหันว่ากระแสไออุ่นหลายเส้นที่ลอยขึ้นมาในท้องนั้นคล้ายได้รับการดึงรั้งจากคาถาหลอมลมปราณจึงพุ่งเข้ามารวมอยู่ในมหาสมุทริญญาจุดตันเถียนอย่างบ้าคลั่ง!
------
[1] จิน(斤)หน่วยวัดน้ำหนักจีนหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้