ไม่นานรายการวาไรตี้ก็จบลงภายใต้สถานการณ์พร้อมใจไม่สามัคคีของทั้งสองกองถ่าย พิธีกรหญิงมองฉินซีเดินลงจากเวทีไปอย่างอาลัยอาวรณ์ ทั้งยังพูดหยอกล้อกับพวกแฟนคลับด้านล่างเวทีในทำนองไม่อยากจะให้หนุ่มสวยอย่างฉินซีจากไป
สมาชิกกองถ่ายกระบี่เย้ยยุทธจักรต่างพากันแยกย้าย ฉินซีเข้าไปล้างเครื่องสำอางในห้องแต่งหน้าเพียงคนเดียว ช่างแต่งหน้ายังคงรออยู่ด้านใน หลังจากฉินซีเดินเข้าไป เขาก็ไม่ได้ปกปิดความเ็ปของตัวเองอีก เขานั่งลงหน้ากระจกด้วยใบหน้าซีดเซียว “รบกวนช่วยลบเครื่องสำอางให้ผมหน่อยครับ ขอบคุณครับ”
ช่างแต่งหน้าเองก็เห็นเื่ที่เกิดขึ้นบนเวที เดิมทีคนเราก็มักจะรู้สึกใจดีและเอ็นดูฝ่ายตรงข้ามที่มีรูปลักษณ์ภายนอกดีอยู่แล้ว ช่างแต่งหน้าเป็คนในวงการบันเทิง เธอทราบถึงความก้าวร้าวของเหลียนเหล่ย และวันนี้ก็ได้รู้ว่าฉินซีเป็เด็กหน้าใหม่ที่มีมารยาทมากคนหนึ่ง ตอนนี้เมื่อได้เห็นใบหน้าที่งดงามดึงดูดคนของฉินซีซีดเซียวจนน่าสงสารขนาดนั้น! ช่างแต่งหน้าก็รู้สึกราวกับกำลังถูกบีบหัวใจอย่างรุนแรง
นี่มันน่าปวดใจเกินไปแล้ว!
ช่างแต่งหน้ากัดฟันว่ากล่าวเหลียนเหล่ยไปพร้อมกับปลอบใจฉินซี “เหลียนเหล่ยเป็คนยังไงกันนะ คนนอกวงการไม่มีใครรู้หรอก แต่พวกเราคนในวงการต่างก็รู้ดี หลังจากที่เธอมีชื่อเสียงก็ทำนิสัยเสียแบบนี้ พยายามเลี่ยงเธอเอาไว้หน่อยก็แล้วกันนะ เหลียนเหล่ยนี่ก็จริงๆ เลย นับวันมีแต่ถอยหลังลงไปเรื่อยๆ แม้แต่คนหน้าใหม่ก็ยังไม่ยอมรับขนาดนี้!”
ในระหว่างที่ฉินซีกำลังจะพูดว่า “ไม่เป็ไรครับ” ออกมา อยู่ๆ ประตูห้องแต่งหน้าก็ถูกเปิดออก น้ำเสียงของเจี่ยงถิงเฟิงดังตามมา “ฉินซี ฉันหานายตั้งนาน ที่แท้ก็มาลบเครื่องสำอางอยู่นี่เอง! เร็วๆ หน่อย ฉันจะพาไปโรงพยาบาล”
ฉินซีนิ่งไปสักพัก “เอ๋? โอเคครับ พี่รอผมสักเดี๋ยว” เขานึกไปถึงตอนที่เจี่ยงถิงเฟิงโทรเข้ามาถามไถ่อย่างเป็ห่วงเป็ใยตอนเกิดเื่ ในใจของฉินซีสั่นไหวขึ้น เขาจึงตอบรับไป
เพราะว่ามีเจี่ยงถิงเฟิงอยู่ คำบ่นว่ามากมายของช่างแต่งหน้าจึงมีแต่ต้องกลืนลงคอไป ในวงการบันเทิงนั้น หากพูดอะไรให้คนอื่นรู้มากขึ้นหนึ่งคน นั่นก็หมายความว่ามีอันตรายเพิ่มขึ้นอีก เธอก็แค่ไม่พอใจแทนฉินซีในชั่วขณะ แต่หากคำพูดในวันนี้ถูกส่งต่อออกไป เธอก็คงต้องชดใช้ด้วยอาชีพของตัวเอง
หลังจากล้างเครื่องสำอางและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว สีหน้าภายใต้แสงไฟของฉินซีก็ยิ่งดูซีดขาว เจี่ยงถิงเฟิงขมวดคิ้วแน่น ในใจนึกโมโหเหลียนเหล่ยจนตาแทบกระตุก หลังจากฉินซีลุกยืนขึ้น เขาก็พยุงฉินซีเดินออกไปด้านนอก “ฉันขับรถมา จอดอยู่ที่ลานจอดรถ พวกเราเดินตามทางเส้นนี้ไป”
“อืม” ฉินซีตอบกลับไปเรียบๆ จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอกกับเจี่ยงถิงเฟิง
เพียงทั้งสองเพิ่งเดินออกมาได้ไม่ไกล จู่ๆ ก็มีคนมาขวางอยู่ด้านหน้า นั่นคือผู้หญิงวัย 30 ปีต้นๆ คนหนึ่ง หน้าตาดูธรรมดาทั่วไปแต่การแต่งหน้ากลับละเอียดสวยงามมาก เธออยู่ในชุดสาวออฟฟิศ และบนใบหน้ายังมีความเย่อหยิ่งรวมทั้งความดูถูกอยู่
“ฉินซี สวัสดี ฉันคือผู้จัดการของเหลียนเหล่ย” ผู้หญิงคนนั้นพูดขึ้น
ฉินซีมองผู้หญิงคนนั้นด้วยสายตาเยือกเย็น “สวัสดีครับ” เขาอยากจะรู้นักว่าเหลียนเหล่ยยังคิดจะทำอะไรอีก
“ฉันได้ยินว่านายยังไม่มีผู้จัดการเป็ของตัวเองใช่ไหม? อ้อ ควรจะบอกว่าไม่มีบริษัทจัดการน่าจะดีกว่าใช่ไหมล่ะ? ฉันจะแนะนำให้นะ เป็คนหน้าใหม่น่ะ ควรจะถ่อมตัวเสียหน่อยถึงจะดี ถึงเวลาจะได้ไม่เกิดปัญหา ไม่มีบริษัทไหนกล้ารับคนหน้าใหม่อย่างนายหรอกนะ” เธอแสร้งพูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ คนที่ไม่รู้อะไรก็น่าจะคิดว่าเธอกำลังแนะนำรุ่นน้องในฐานะคนที่เข้ามาก่อนเท่านั้น
ฉินซีเหยียดยิ้มในใจ ขณะที่ปากของเขาก็ยังคงพูดออกมาโดยไม่ถ่อมตนและไม่ทะนงตัว “ขอบคุณสำหรับคำเตือนครับ” ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้จะมาพูดจาถากถางแทนเหลียนเหล่ย คำพูดนั้นก็เพียง้าข่มขู่เขาเล็กน้อยว่า ถ้าเขาตั้งตัวเป็ศัตรูกับเหลียนเหล่ย ไม่ยอมรับทำตามก็จะไม่มีบริษัทใดรับเขา และนักแสดงไร้สังกัดก็ไม่สามารถอยู่ในวงการบันเทิงได้นานนัก
แต่เขาจะยังต้องกลัวอะไรอีก? คิดว่าเฉินเจวี๋ยจะได้รับผลกระทบจากเหลียนเหล่ยหรืออย่างไร? บางทีเหลียนเหล่ยอาจจะมีความสามารถมาก แต่เขาคิดว่าผู้หญิงก้าวร้าวคนนี้… นิสัยเสียแบบนี้ให้ตายก็ปิดไม่มิดหรอก!
เมื่อเห็นท่าทีไม่ได้เข้าใจอะไรเลยของฉินซี ผู้หญิงคนนั้นก็บีบมือแน่น เธอเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาแล้วว่าทำไมเหลียนเหล่ยมักจะสูญเสียการควบคุม ถูกอีกฝ่ายทำเอาวุ่นวายไปจนไม่คำนึงถึงภาพลักษณ์เวลาอยู่ต่อหน้าเด็กผู้ชายคนนี้ เพราะบนใบหน้าและในดวงตาคู่นี้ต่างกำลังบอกอีกฝ่ายว่า ฉันไม่ได้สนใจอะไรเธอหรอก ความดูถูกแบบนี้ไม่ใช่การดูถูกจากคนที่อยู่สูงกว่ามีต่อคนที่อยู่ต่ำกว่า แต่การดูถูกของฉินซีกลับดูเหมือนเห็นว่าพวกเธอเป็เพียงแมลงที่น่ารำคาญ คิดว่าท่าทางอดกลั้นของพวกเธอนั้นช่างน่าขัน การดูถูกแบบนี้ทำให้คนรู้สึกเดือดดาลนัก!
เมื่อเห็นว่าการพูดจาแฝงความร้ายกาจใช้ไม่ได้ผล เธอก็ทำได้เพียงยกเหลียนเหล่ยขึ้นมา “ทำไมนายถึงยังไม่เข้าใจอีก? นายเป็ใคร? ก็แค่คนที่เพิ่งจะเดบิวต์ และดันโชคดีอาศัยจังหวะที่ผู้กำกับกำลังหุนหันแย่งบทบาทของเหลียนเหล่ยไปเท่านั้น แล้วหลังจากนั้นล่ะ? นายไม่มีผู้จัดการ ไม่มีบริษัท ไม่มีเงิน ไม่มีความสัมพันธ์กับใคร นายไม่มีทางได้รับละครเื่ต่อไปแน่! คิดว่าตัวเองสุดยอดมากเหรอ? แค่นี้ก็กล้าเป็ศัตรูกับเหลียนเหล่ยแล้ว? เหลียนเหล่ยเป็ใคร? เธอโด่งดังมาั้แ่หลายปีก่อนแล้ว! และตอนที่เธอมีชื่อเสียงขึ้นมา เธอก็เพิ่งจะอายุ 18 ปีเท่านั้นเอง!”
ผู้หญิงคนนั้นดูถูกฉินซีไปพร้อมกับยกยอเหลียนเหล่ย
ฉินซีรู้สึกขยาดคำพูดและน้ำเสียงของอีกฝ่ายแทบตาย มันรู้สึกรังเกียจจนร่างกายของเขาเริ่มเ็ปขึ้นมาอีก
น่าขัน! ที่เขาได้รับบทบาทตงฟางปู๋ป้ายมานั้นเป็เพราะโชคของเขาจริง แต่ถ้าเหลียนเหล่ยไม่เล่นลิ้น สวี่เทาก็คงไม่เลือกคนอื่นและมอบโอกาสนี้ให้เขาภายใต้ความโมโหหรอก และสิ่งที่ทำให้เขาได้บทบาทนี้มาอย่างแท้จริง คือทักษะการแสดงของเขาต่างหาก! ไม่ใช่วิธีการต่ำต้อยอย่างการอาศัย่ที่ผู้กำกับกำลังสับสนเข้ามาในกองถ่ายอย่างที่เธอพูด
ดูเหมือนว่าในสายตาของพวกเหลียนเหล่ย คนหน้าใหม่ย่อมต้องย่ำแย่ แม้จะขี่ม้าก็ยังตามพวกเธอไม่ทัน พวกเธอลืมไปแล้วหรือเปล่า ว่าตัวเองก็เคยเป็มือใหม่มาก่อน? ตัวเองอาศัยความพยายามได้มา แต่บางคนอาจจะไม่ได้ใสสะอาดอะไรนัก!
ฉินซีเยียดยิ้มในใจ และไม่คิดจะยืนรับ ‘คำแนะนำด้วยความหวังดี’ ของผู้หญิงคนนี้ต่อไปอีก เขาไม่พูดอะไรให้เปลืองแรง คนบางคน ถ้ายอมให้ครั้งหนึ่ง อีกฝ่ายก็จะคิดว่าคุณอ่อนแอขี้กลัว และต้องยอมให้อีกฝ่ายตลอด
“พี่เจี่ยง พาผมไปโรงพยาบาลเถอะครับ” ฉินซีตั้งใจจะเดินผ่านผู้หญิงคนนั้นไป
แต่เมื่อเธอได้ยินคำว่า ‘โรงพยาบาล’ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็ยื่นมือมาผลักฉินซีทันที ฉินซีคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะโง่เง่าถึงขนาดลงมือในตอนนี้ เขาใสะดุ้งจนเกือบจะล้มลงไปที่พื้น แต่โชคดีที่ยังมีเจี่ยงถิงเฟิงรับอยู่ด้านหลัง
“ทำอะไรของเธอ? บ้าไปแล้วหรือไง? ประสาท! เธอนี่นิสัยเหมือนเ้านายไม่มีผิด! คิดว่าตัวเองเป็ดาราดังในวงการบันเทิงหรือยังไง?” เจี่ยงถิงเฟิงโมโหจนพูดก่นด่าโดยไม่ไตร่ตรอง
“ไม่ได้!” ใบหน้าของผู้หญิงคนนั้นปรากฏความสับสนวุ่นวาย “พวกนายจะไปโรงพยาบาลไม่ได้! ห้ามไป!” ถ้าไปโรงพยาบาล นั่นก็ไม่ได้เป็การยืนยันว่าเหลียนเหล่ยจงใจทำร้ายฉินซีในรายการเหรอ? เวลาเหลียนเหล่ยหุนหันสร้างเื่ คนที่เป็ผู้จัดการอย่างเธอก็ต้องเป็คนตามแก้ ในใจของเธอเกิดความเคียดแค้นขึ้นมากระแสหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะท่าทางเมื่อสักครู่ของฉินซีทำให้เธอหงุดหงิด เธอก็คงไม่มีทางยื่นมือออกไปผลักอีกฝ่ายแบบนั้น
“เธอบ้าหรือเปล่า? ฉินซีาเ็ไปทั้งตัวแบบนี้ จะไม่ให้ไปโรงพยาบาลอีก เธอเป็ตำรวจหรือว่าอะไร? ทำไมต้องยุ่งอะไรด้วย? ฉันจะส่งเขาไปหาหมอ มันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วย!” เมื่อความโมโหของเจี่ยงถิงเฟิงถูกระบายออกมา เดิมทีก็ไม่มีทางยับยั้งได้อีก เืในกายที่ระอุร้อนกำลังสั่งให้เขาออกตัวแทนฉินซี
ผู้หญิงคนนั้นยังคงยืนหยัดขัดขวางต่อไป “ไม่ได้ จะไปโรงพยาบาลไม่ได้ พวกนายกลับบ้านไปทำแผลเองก็ได้นี่ จะทำให้เป็เื่ใหญ่ทำไม!”
ฉินซีมองอีกฝ่ายด้วยสายตาเยือกเย็น เธอจึงหดตัวลงไปอย่างไม่รู้ตัว ในวินาทีนั้นเธอรู้สึกราวกับกำลังถูกงูจ้องมอง ความรู้สึกเย็นเยียบไล่ขึ้นตามแนวสันหลัง
“ไม่ใช่เื่ใหญ่? ถ้าแบบนั้นให้ฉันต่อยเหลียนเหล่ยของเธอบ้าง หลังจากนั้นก็ไม่ให้พวกเธอไปโรงพยาบาลอีก ยังไงก็ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรนี่ เธอว่ามันโอเคหรือเปล่าล่ะ?” ดวงตาของเจี่ยงถิงเฟิงแดงก่ำ ท่าทางของเขาน่ากลัวจนน่าใ เขายื่นแขนออกมาผลักตัวผู้จัดการออกไปอีกทาง ก่อนจะพยุงฉินซีเดินออกไป
ผู้หญิงคนนั้นถูกสายตาของฉินซี และท่าทางของเจี่ยงถิงเฟิง ทำเอาใไม่น้อย เธอตบหน้าอกของด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย แล้วส่งเสียงด่าขึ้นเบาๆ “ไร้การอบรมสั่งสอน” เธอมองข้ามไปเสียแล้ว ว่าตอนแรกใครกันแน่ที่ไร้การอบรมสั่งสอน
ผ่านไปสักพัก เหลียนเหล่ยก็กระแทกรองเท้าส้นสูงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ เธอเปิดปากด่าผู้จัดการทันที “เธอทำอะไรของเธอ? ฉันเดินออกมาตรงทางรักษาความปลอดภัยจนถูกคนรุมล้อม รอเธออยู่ตั้งนานก็ยังไม่มา! ผู้จัดการแบบเธอมีประโยชน์อะไรบ้างเนี่ย?”
ผู้จัดการฝืนยิ้มด้วยความอึดอัด “คุณไม่ได้ให้ฉันมาขวางฉินซีเอาไว้หรอกเหรอคะ?”
“จะยังนิ่งอยู่ทำไมอีก? โทรศัพท์สิ! โทรไปหาท่านประธานหลง! บอกให้เขาส่งคนมารับฉัน!”
ผู้จัดการรีบร้อนหยิบโทรศัพท์ออกมา สายตาของเธอเคลื่อนไปมา ก่อนจะเผยยิ้มขึ้นกะทันหัน และหันไปพูดกับเหลียนเหล่ย “พวกเราสามารถขอวิดีโอกล้องวงจรปิดที่โถงทางด้านหน้าจากกองถ่ายรายการได้นะคะ ถ้าเอาไปตัดต่อเสียหน่อย ครั้งนี้พวกเราก็จะสามารถเหยียบฉินซีให้จมดินได้แล้ว… ในเมื่อเขาไม่รู้อะไรขนาดนี้ ก็ทำให้เขารู้เสียหน่อยว่า พวกคนหน้าใหม่น่ะ จะเดินอยู่ในวงการบันเทิง คงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!”
…...
ฉินซีไปถึงโรงพยาบาล หมอก็พาเขาไปเอกซเรย์ทันที หลังจากผลเอกซเรย์ออกมาแล้ว สีหน้าของหมอก็ไม่สู้ดีนัก ใบหน้าของเขาเยือกเย็น ก่อนจะเอ่ยถามว่าไปได้รับาเ็มาได้อย่างไร
“ตกลงมาจากเวทีครับ” ฉินซีพูดขึ้นเรียบๆ เขาสงบนิ่งมาก แม้มันจะเ็ป แต่ถ้าเทียบกับความทรมานที่เขาได้รับมาเมื่อชาติก่อน นี่ก็ไม่ได้ถือเป็เื่ใหญ่อะไร
หมอถามซักถามต่อ “ตอนไหนครับ?”
“วันนี้ประมาณ 4 โมงกว่าๆ ครับ” เจี่ยงถิงเฟิงตอบกลับไป
หมอเหยียดยิ้มเล็กน้อย “นี่มันผ่านมา 3 ชั่วโมงแล้วนี่ พวกคุณเพิ่งจะมาโรงพยาบาลเหรอ ประมาทกันเกินไปหรือเปล่าครับ! คุณดูเอาเองนะ ข้อศอกบวมขนาดไหนแล้ว? นี่มันผิดตำแหน่งไปแล้ว ไม่เจ็บเหรอครับ? ซี่โครงก็เคลื่อนไปแล้ว แต่ยังไปะโโลดเต้นอยู่ข้างนอกอีก เวลาหายใจไม่ลำบากเหรอครับ?”
สีหน้าของฉินซีค่อยๆ เปลี่ยนไป ด้วยคิดไม่ถึงว่าการตกลงไปครั้งนี้จะเจ็บขนาดนี้ เขายังคิดว่าอย่างมากก็แค่แขนขาบวม...
“คราวหลังอย่าสุ่มสี่สุ่มห้าพยุงมาเองแบบนี้นะครับ” หมอตำหนิเจี่ยงถิงเฟิงอย่างอารมณ์ไม่ดี หลังจากนั้นก็เรียกพยาบาลเข้ามาจัดการดามกระดูกให้ฉินซีก่อน จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนกระดูกข้อศอกให้กลับเข้าที่
เมื่อพยาบาลเดินมาเห็นอาการของฉินซี ดวงตาของเธอไหววูบเล็กน้อย คนหน้าตาดีขนาดนี้ ทำไมถึงได้รับาเ็หนักได้? พยาบาลส่งแท่งกัดที่ฆ่าเชื้อแล้วให้ฉินซีด้วยความหวังดี “ถ้าเจ็บก็กัดไว้นะคะ”
ฉินซีเองก็ไม่เกรงใจ ความจริงเขากลัวเจ็บมาก ตอนเด็กๆ แค่มีแผลที่นิ้ว เขาก็ร้องไห้น้ำตาตกแล้ว แต่หลังจากนั้นเมื่อไม่มีคนคอยปลอบ ไม่ว่าาแจะใหญ่แค่ไหน เขาก็จะขบฟันทนไว้ ทำเป็ไม่มีอะไรต่อไป
ฉินซีกัดแท่งกัดเอาไว้ หมอจัดกระดูกรักษาอย่างว่องไว ความเ็ปเกินจะรับไม่ไหวนั้นเกิดขึ้นเพียงครู่เดียว ไม่นานก็ดามบริเวณาเ็ให้เข้าที่ก็เสร็จสมบูรณ์ ส่วนบริเวณที่บวมแดงจุดอื่น พยาบาลก็เข้ามาทำแผลให้ จนกระทั่งได้ยินหมอบอกว่า “เสร็จแล้ว” ฉินซีก็ถอนหายใจออกมาด้วยความสบายใจ แท่งกัดหล่นลงจากปาก ความผ่อนคลายโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เขารู้สึกว่าแขนขาล้วนนิ่งค้าง แผ่นหลังชื้นเหงื่อ แม้แต่ริมฝีปากก็ยังถูกการกดทับจากการกัดอย่างรุนแรงทำเอาาเ็ไป
เจี่ยงถิงเฟิงถอนหายใจตามอยู่ข้างๆ จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างดุดัน “เหลียนเหล่ยนะ เหลียนเล่ย บ้าจริงๆ!”
ฉินซีเหลือบมองหมอและพยาบาลอย่างตั้งใจกึ่งไม่ตั้งใจ ก่อนจะเตือนเจี่ยงถิงเฟิงขึ้น “ไม่ต้องพูดแล้วครับ ตอนนี้ผมไม่เป็อะไรแล้ว”
เมื่อหมอเห็นว่าคนไข้ไม่ได้สนใจห่วงสุขภาพเลยสักนิด เขาก็เหยียดยิ้มพูด “ไม่เป็อะไรเหรอครับ? เชิญคุณนอนพักรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลอย่างสบายใจไปสัก 6-7 อาทิตย์เถอะครับ! คุณคิดว่าซี่โครงเคลื่อนนี่เป็เื่เล็กๆ เหรอ?”
ฉินซีรู้สึกอึดอัดอับอายขึ้นมา รีบเอ่ยขอบคุณและขอให้หมอออกไปก่อน
เจี่ยงถิงเฟิงลุกตามมา “ฉันจะไปจ่ายเงินนะ”
“พี่รอก่อน” ฉินซีนำกระเป๋าตังค์ออกมา แต่เจี่ยงถิงเฟิงก็เดินออกไปไม่ย้อนกลับมาแล้ว
ฉินซีมองเจี่ยงถิงเฟิงเดินห่างออกไปอย่างช่วยไม่ได้ ดูเหมือนเขาจะติดหนี้คนอื่นอีกแล้ว...
เมื่อผ่านไปสักพัก จู่ๆ เจี่ยงถิงเฟิงก็เดินกลับมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง ในใจของฉินซีนึกขึ้นว่า หรือเขาจะถูกเอาเปรียบตอนไปจ่ายค่ารักษาพยาบาล?
แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อเจี่ยงถิงเฟิงเปิดปากพูด คำด่าก็ออกมาเป็อย่างแรก “เหลียนเหล่ยนั่น ตั้งใจจะเอาคืนจริงๆ แล้ว!”
ฉินซีใขึ้นมาและเกิดลางไม่ดีขึ้น เหลียนเหล่ยทำอะไรอีก? ดูเหมือนเธอจะต้องทำให้เขาก้มหัวให้จนได้ถึงจะยอมหยุดสินะ! น่าเสียดายนะ… ฉินซีเหยียดยิ้มในใจ ได้ย้อนกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง เขาเรียนรู้แล้วว่าไม่ควรหุนหันจนเกินไป เรียนรู้แล้วว่าต้องถ่อมตน เรียนรู้ที่จะคิดการณ์ไกลให้มากขึ้น แต่เขากลับไม่เคยเรียนรู้คำว่า ‘ยอมแพ้’ เลยสักครั้ง!