ขอเพียงไม่ได้อยู่ต่อหน้าฉินซี ระดับสติปัญญาของเหลียนเหล่ยก็พอจะรับประกันได้บ้าง หลังออกจากสถานที่ถ่ายทำรายการแล้ว เหลียนเหล่ยกับผู้จัดการของตัวเองก็ร่วมมือกันตัดต่อวิดีโอ ไม่เพียงเท่านั้น เหลียนเหล่ยยังจงใจจ้างนักเขียนบทความมาด้วยค่าจ้างสูง จากนั้นก็ให้ผู้เขียนโพสต์บทความที่ชื่อว่า ‘ความอวดดีในวงการบันเทิง ณ ปัจจุบัน’ ลงในเวยป๋อ
เมื่อเห็นบทความนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าเป็เพียงบทความวิจารณ์ลักษณะของวงการบันเทิงเท่านั้น แต่หลังจากคลิกเข้าไปอ่าน ยิ่งอ่านก็ยิ่งถูกชักนำไปโดยไม่ทันรู้ตัว รอจนอ่านมาถึง่ท้ายก็จะได้รู้ทันทีว่า คนหน้าใหม่เ้าของนามว่า ‘ฉินซี’ ถูกยกขึ้นเป็ตัวอย่างของ ‘ความอวดดี’
ด้วยการชี้นำของบทความนี้ ทำให้คนหันมาสนใจฉินซีมากขึ้น จากนั้นทุกคนก็ค่อยๆ รู้ว่าคนที่ชื่อฉินซีแย่งบทบาทของเหลียนเหล่ยไป! ทั้งผู้เขียนยังใช้คำพูดของคนในเหตุการณ์เปิดโปงคลิปวิดีโอที่โถงทางเดินออกมา
ภายในวิดีโอแสดงภาพผู้จัดการกำลังแนะนำให้ฉินซีถ่อมตัวเสียหน่อย แต่ฉินซีกลับแสดงสีหน้าเย้ยหยัน และเจี่ยงถิงเฟิงก็ยังให้การสนับสนุนการกระทำแย่ๆ นี้ด้วยการผลักผู้จัดการออกอย่างแรง และลงไม้ลงมือกับเธอ! คนแบบนี้ก็เป็ดาราได้เหรอ? พวกเขาจะทำลายภาพลักษณ์ดีๆ ของวงการบันเทิงให้เสียหาย! และทำให้คนที่ไม่รู้เื่อะไรคิดว่าคนในวงการบันเทิงนิสัยย่ำแย่แบบนี้เหมือนกันไปหมด!
คำพูดที่เต็มไปด้วยการกระตุ้นขนาดนี้ ไม่นานก็ทำให้ชาวอินเทอร์เน็ตจำนวนมากรู้สึกโมโหเดือดดาล บางคนไม่ได้รู้จักฉินซีมาก่อน แต่มันก็ไม่ได้เป็อุปสรรคต่อการยืนฝั่งคุณธรรมสูงส่งไปตำหนิคนหน้าใหม่อย่างฉินซีของพวกเขาเลย
ครั้งนี้เหลียนเหล่ยทำได้ดี เธออาศัยจังหวะโจมตีและบดขยี้ชื่อเสียงของฉินซีลงไปในดินโคลน ชาวอินเทอร์เน็ตมีจำนวนมากและยังมีกำลังในการต่อสู้มากด้วย พวกเขาเริ่มไปด่าทอในเวยป๋อของฉินซี และยังมีคนไม่น้อยที่ใช้คำพูดรุนแรงด่าทอ หรือแม้แต่ใช้คำพูดหยาบคายกับฉินซี
เจี่ยงถิงเฟิงเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ไปจนกระทั่งเห็นข้อความที่ไม่เข้าตาเ่าั้เข้า ในที่สุดก็ปิดจอโทรศัพท์ไป “ไม่ต้องดูแล้ว!” เขาพยายามยับยั้งความโกรธเอาไว้ และกดเสียงลงพูด
ฉินซีขยับตัวไปมาบนเตียงผู้ป่วย นึกอยากเปลี่ยนท่าทาง ทว่าเมื่อขยับตัวเพียงเล็กน้อย ร่างกายก็เ็ปจนทนแทบไม่ได้ เขาสูดปากดัง “ซี๊ด” แล้วรีบนอนลงบนเตียงดีๆ อย่างว่าง่าย ทว่าพอเขาส่งเสียงออกมา มันก็ทำให้เจี่ยงถิงเฟิงคิดว่าเขาโมโหจนต้องสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
ดังนั้นเจี่ยงถิงเฟิงจึงยิ่งไม่กล้าเอาคอมเมนต์ให้เขาดู
ฉินซีเผยรอยยิ้มออกมา “ความจริงผมไม่ได้เป็อะไรหรอกครับ ไม่สนใจอะไรพวกนี้หรอก” ในแววตาของเขาเผยประกายเยือกเย็น พอจะเดาออกแล้วว่าเหลียนเหล่ยจะทำอย่างไร เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้เหลียนเหล่ยจะฉลาดขึ้นไม่น้อย เธอลงมือทั้งเร็วและแม่นยำ ไม่คิดเหลือทางให้เขาได้ตอบโต้เลยสักนิด
เกรงว่าเหลียนเหล่ยจะไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ไฟไหม้ยกโอ่งสินะ?
เหอะ
ฉินซีหลับตาลง ในใจของเขามีแผนขึ้นมาลางๆ แล้ว
เขาไม่รู้ว่าเื้ัของเหลียนเหล่ยจะมีอิทธิพลอะไรอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเื้ัของเหลียนเหล่ยมีหลงเซิ่งแล้วคนหนึ่ง วันนั้นเขาอาศัยชื่อของทังเจ๋อทำให้หลงเซิ่งงงงันจนกลับไป แต่ครั้งนี้เขาจะไม่ปล่อยให้คลุมเครืออีกต่อไปแล้ว เขา้าให้หลงเซิ่งจัดการควบคุมเหลียนเหล่ย ไม่ให้เหลียนเหล่ยได้อะไรกลับไปและยังต้องเสียแรงไปฟรีๆ อีกด้วย
เจี่ยงถิงเฟิงไม่รู้ว่าฉินซีกำลังคิดอะไร เมื่อเห็นเขาหลับตาลงก็คิดว่าอีกฝ่ายคงรู้สึกเสียใจ เจี่ยงถิงเฟิงรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที จึงยื่นมือไปแตะบ่าของฉินซีไว้ จากนั้นก็มองฉินซีด้วยความเอ็นดู “ไม่ต้องกังวลไปนะ ฉันจะหาทางช่วยนายเอง”
ฉินซีสั่นสะท้านขึ้นมา เขามักจะรู้สึกว่าสายตาที่เจี่ยงถิงเฟิงมองมาช่างดูน่าหดหู่เสียเหลือเกิน จึงพูดขึ้นอย่างไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไร “ครับ ขอบคุณนะครับ”
เจี่ยงถิงเฟิงลอบตัดสินใจเงียบๆ เขาต้องหน้าด้านไปขอให้อาจารย์จงช่วยให้ได้
อย่างไรเจี่ยงถิงเฟิงก็ไม่อาจอยู่ในโรงพยาบาลไปตลอดได้ พรุ่งนี้เขายังมีงานเปิดตัวอยู่ หลังจากผู้จัดการของเขาเห็นวิดีโอแล้ว ก็โทรศัพท์เข้ามาอย่างร้อนรนหลายสาย ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไม่ยินดีออกจากโรงพยาบาลทิ้งฉินซีเอาไว้คนเดียว แต่สุดท้ายเขาก็ต้องออกไปอยู่ดี
รอจนเขาออกไป ฉินซีก็ถอนหายใจอยู่บนเตียง
พยาบาลนำอาหารเย็นเข้ามา หลังจากฉินซีทานเสร็จแล้ว ท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง เขานอนอยู่บนเตียงคนเดียวก็อดรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะบรรยากาศที่เงียบงันไม่ได้ โดยเฉพาะ เมื่อคิดว่าตอนนี้ในเวยป๋อไม่มีอะไรให้เลื่อนดู เล่นเกมไปก็แพ้ ทั้งยังไม่มีใครคุยเป็เพื่อน แม้แต่อยากจะไปอาบน้ำ ตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้
ความรู้สึกแบบนี้ย่ำแย่เกินไปแล้ว...
ฉินซีขมวดคิ้วมองทิวทัศน์ยามค่ำคืนนอกหน้าต่าง จากนั้นก็คิดไปถึงเฉินเจวี๋ยอย่างไม่ทันรู้ตัว เขาไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้เจอกับเฉินเจวี๋ยมานานแค่ไหนแล้ว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เขาจะรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินนัก หลังจากนั้นฉินซีก็คิดไปถึงสายจากบริษัทกวงิฟิล์มขึ้นมา แม้สภาพจิตใจของเขาจะสงบลงมากแล้ว แต่ในตอนนี้ก็ยังอดยิ้มเจื่อนๆ ไม่ได้ ไม่รู้ว่าหลังจากเห็น ‘ข่าวฉาว’ แบบนี้แล้ว กวงิฟิล์มจะยังยินดีเซ็นสัญญากับเขาอยู่ไหม?
เขาคิดแบบนี้ ก่อนจะเผลอหลับไปทั้งความสับสนแบบนั้น
เมื่อเขาหลับไปสักพัก จู่ๆ ก็ถูกเสียงโทรศัพท์ปลุกจนใตื่น
ฉินซีเปิดโคมไฟข้างเตียงด้วยดวงตาที่พร่าเลือน ก่อนจะพยายามมองหาว่าโทรศัพท์มือถือของตัวเองถูกโยนไปที่ไหน เขาขยับร่างกายด้วยความยากลำบากและหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรงหน้า บนจอปรากฏชื่อหนึ่งขึ้น แต่ฉินซีกลับมองเห็นไม่ชัด เขากดรับโทรศัพท์ ก่อนจะส่งน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยดังไปยังปลายสาย “ฮัลโหล?”
“ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน?” คำพูดตรงไปตรงมาแบบนี้… เฉินเจวี๋ย!
ฉินซีได้สติตื่นเต็มตา เขาขยี้ตาของตัวเองและไอออกมาเบาๆ แต่อย่างไรน้ำเสียงของเขาก็ยังคงแหบแห้งอยู่นิดๆ ฟังดูก็ให้ความรู้สึกเย้ายวนอย่างน่าประหลาด “ผมเหรอ ผมอยู่โรงพยาบาลครับ”
“โรงพยาบาล?” เฉินเจวี๋ยพูดเสียงดังขึ้น “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงไปอยู่โรงพยาบาลได้? าเ็มาเหรอ?” เมื่อถามถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยก็เริ่มเปลี่ยนเป็ขุ่นเคือง
ฉินซีจินตนาการไม่ออกเลย ว่าใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจวี๋ยจะขุ่นหมองจนน่ากลัวขนาดไหน
ฉินซีรู้สึกไร้กำลังขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว “เอ่อ… ผม ผมไปออกรายการแล้วตกลงมาจากเวทีน่ะครับ”
ทว่าความช่างสังเกตของเฉินเจวี๋ยกลับมีมากเกินไปจนน่ากลัว เพียงได้ฟังเสียงของฉินซี ก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติแล้ว จึงถามด้วยน้ำเสียงเย็นะเื “ไม่ใช่แค่นี้ บอกฉันมาให้ละเอียด”
ฉินซีเองก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป “ผมกับเหลียนเหล่ยมีเื่กันน่ะครับ เหลียนเหล่ยก็เลยผลักผมลงมาจากเวที ผมตกลงไปกระแทกพื้น กระดูกข้อศอกและซี่โครงก็เลยเคลื่อนผิดตำแหน่งไปนิดหน่อย ตอนนี้กำลังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลครับ”
“เหลียนเหล่ยเป็ใคร?” เฉินเจวี๋ยถามอย่างไม่พอใจ
“อ่า เหลียนเหล่ยคือ… ดาราสาวที่ถือว่ามีชื่อเสียงคนหนึ่งในประเทศครับ...” ฉินซีอธิบาย
“ไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ หึ ยิ่งใหญ่มาจากไหนเชียว” เฉินเจวี๋ยพูดเย้ยหยัน นี่เป็ครั้งแรกที่ฉินซีได้เห็นด้านนี้ของเฉินเจวี๋ย
ฉินซีรู้สึกอับอายขึ้นมานิดหน่อย เหลียนเหล่ยถือว่ามีชื่อเสียงในประเทศแล้ว แต่ในสายตาของเฉินเจวี๋ยกลับเป็คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม เช่นนั้นหากเทียบกับตัวเองแล้ว มันก็ยิ่งไม่เข้าตาเฉินเจวี๋ยเข้าไปใหญ่ การที่ตัวเองบังเอิญไปรู้จักกับเฉินเจวี๋ยได้ก็ถือเป็โชคดีครั้งยิ่งใหญ่แล้ว!
หลังจากเฉินเจวี๋ยพูดจบ เขาก็เงียบไปหลายวินาที “ตอนนี้ฉันไม่ได้อยู่ในประเทศ ฉันจะให้จงซิงอู๋ไปหา”
หัวใจของฉินซีเต้นระรัวขึ้นมา เขาซาบซึ้งจนพูดไม่ออก แต่ก็อยากปฏิเสธความหวังดีของเฉินเจวี๋ยอยู่เล็กน้อย เขาจะเอาแต่พึ่งพาเฉินเจวี๋ยกับจงซิงอู๋ตลอดไม่ได้ แบบนี้มันไม่ค่อยดีนัก ไม่อย่างนั้นเวลาอยู่คนเดียวเพียงชั่วครู่ เขาจะคิดไปถึงเฉินเจวี๋ยขึ้นมาได้อย่างไร?
จะต้องเป็เพราะเมื่อถูกกระทำ เขาก็คิดไปตามความเคยชินว่า หากเฉินเจวี๋ยอยู่ข้างกายจะต้องออกหน้าแทนเขาแน่!
เขาที่มีความคิดแบบนี้ มันไม่ใช่เขาแล้ว!
แต่จะปฏิเสธอย่างไรดี? สำหรับชายที่ยืนอยู่ตำแหน่งสูงอย่างเฉินเจวี๋ย เขาออกตัวช่วยเหลือ แต่คุณกลับปฏิเสธ แบบนั้นไม่ใช่การทำตัวไร้ไหวพริบเหรอ? ในตอนที่ฉินซีกำลังลังเล เฉินเจวี๋ยก็พูดด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด “ฉันจะติดต่อไปหาจงซิงอู๋ตอนนี้”
“ไม่!” ฉินซีหลุดพูดออกไป “ไม่ต้องครับ… คุณเฉิน อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ต้องครับ”
“ตอนนี้ยังไม่ต้อง? แล้วนายคิดว่าจะต้องเป็ตอนไหน? ตอนนี้ยังเลวร้ายไม่พอเหรอ? นายถูกเขาเหยียบมาถึงหน้าแล้วนะ!” น้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยเยือกเย็นขึ้นมามาก แต่กลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ความจริงแล้วเฉินเจวี๋ยไม่เคยปล่อยให้ใครมาขัดขวางตัวเองได้ ดังนั้นเมื่อเห็นฉินซีถูกกระทำแบบนี้ เขาก็รู้สึกเหมือนโดนดูถูกไปด้วย
เมื่อคำปฏิเสธหลุดปากออกไป คำพูดหลังจากนั้นก็พูดหลังจากนั้น็ราบรื่นมากขึ้น ฉินซีเรียกสติและความคิดของตัวเองกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาพูดเสียงราบ “แม้เทพเ้าจงจะออกตัวแทนผม ก็ใช่ว่าจะจัดการเื่นี้ได้นะครับ ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อน ครั้งก่อนเป็เพราะผมมีข่าวฉาวกับเทพเ้าจง เทพเ้าจงก็เลยถือเป็หนึ่งคนในเหตุการณ์ แต่ครั้งนี้เป็เพียงความแค้นระหว่างผมกับเหลียนเหล่ย ถ้าเทพเ้าจงเข้ามายุ่งก็มีแต่จะทำให้แย่มากขึ้นเท่านั้น”
เฉินเจวี๋ยเงียบไปหลายวินาที หลังจากนั้นจู่ๆ ก็ส่งเสียงราวกับถอนใจออกมา “ดูเหมือนว่าที่ก่อนหน้านี้ฉันเคยบอกว่านายไม่เหมาะกับวงการบันเทิงคงจะไม่ถูก นายฉลาดมาก”
หัวใจของฉินซีเต้นระรัวขึ้นมา เขาพูดทั้งรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำชมครับ คุณเฉิน” ความจริงตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเฉินเจวี๋ยกำลังชมเขาอยู่หรือเปล่า
แต่ว่าเฉินเจวี๋ยไม่ได้พูดถึงเื่เมื่อสักครู่อีก เขาเปลี่ยนไปถามว่า “ถ้าแบบนั้นนายมีวิธีแก้ปัญหาหรือยัง?”
ฉินซีมักจะรู้สึกว่าน้ำเสียงของเฉินเจวี๋ยฟังดูแปลกๆ ทั้งยังรู้สึกเหมือนอีกฝ่ายกำลังทดสอบเขาอยู่ คิดไปสักพักก็ตอบกลับไป “ผมรู้มาว่าเื้ัของเหลียนเหล่ยมีนักธุรกิจที่ชื่อว่าหลงเซิ่งสนับสนุนอยู่ ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็ลูกน้องของท่านทังเจ๋อครับ”
เฉินเจวี๋ยก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา “คิดไม่ถึงว่านายจะรู้เื่ของทังเจ๋อด้วย”
ฉินซียึกในใจ แน่นอน... เมื่อชาติก่อนเคยได้ยินมาน่ะ
เฉินเจวี๋ยพูดต่อ “ถ้าเป็ลูกน้องของทังเจ๋อ นั่นก็ง่ายแล้ว นายไปหาทังเจ๋อด้วยชื่อของฉันเลย ถ้าเริ่มจัดการจากทางทังเจ๋อจะต้องสะดวกแน่ จัดการยับยั้งนายทุนของผู้หญิงที่ชื่อว่าเหลียนเหล่ยนั่นไปเลย หลังจากนี้ถ้าเธอคิดจะทำอะไรนายอีกก็ทำไม่ได้แล้ว”
“ด้วยชื่อของคุณ?” ในหัวของฉินซีปรากฏภาพขึ้นมากมาย จากนั้นมันก็หยุดอยู่ในตอนที่เฉินเจวี๋ยบอกให้เขานั่งลงบนขาตอนที่เขาบุกเข้าไปในห้องส่วนตัวนั่น และยังใช้น้ำเสียงราบเรียบแสดงให้ทั้งสองรู้ว่าตัวเองคือคนรักลับๆ ของเขา ดังนั้นเขาจึงรอดจากความซวยครั้งนั้นมาได้
ครั้งนี้จะให้เขาไปหาทังเจ๋อในฐานะคนรักของเฉินเจวี๋ยอีกครั้ง?
ยามนี้สีหน้าของฉินซีนิ่งค้างดูน่าประหลาดพิลึก
เฉินเจวี๋ยไม่รู้ว่าฉินซีที่อยู่ปลายสายสติหลุดไปแล้ว ดูเหมือนว่าทางฝั่งเขาจะยุ่งมาก จึงพูดบางอย่างออกมาด้วยความรีบร้อน ก่อนจะวางสายไป รอจนฉินซีได้สติกลับมา หน้าจอโทรศัพท์มือถือก็ดับไปแล้ว เขาเก็บโทรศัพท์มือถือลงไป จากนั้นก็พยายามยับยั้งความรู้สึกเสียใจราวกับสูญเสียอะไรบางอย่างในใจเอาไว้
ฉินซีนำโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วคิดขึ้นได้ว่าตัวเองไม่มีช่องทางการติดต่อของทังเจ๋อ แล้วจะขอร้องให้คนอื่นไปแทนได้อย่างไร? และยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอาชื่อของเฉินเจวี๋ยไปใช้อำนาจเลย
ฉินซีนอนอึดอัดอยู่บนเตียง ในขณะเดียวกันความคิดในหัวก็แล่นไปเรื่อยๆ เขาไตร่ตรองไปถึงวิธีการพบเจอทังเจ๋อ รอจนสมองแสดงภาพมากมายไม่รู้กี่ครั้งขึ้นมา สุดท้ายตอนที่คิดออก ฉินซีก็ตบเตียงดัง “ป้าบ!”
เดี๋ยวก่อนนะ… เขาาเ็ขนาดนี้ แล้วจะแอบออกจากโรงพยาบาลได้อย่างไร?!