ตอนที่ 3
“่นี้งานยุ่งมากหรอ แกไม่ค่อยมาหาฉันอ่ะ” น้ำหนึ่งวางน้ำเปล่าและองุ่นไว้ตรงหน้าของปัณณวีร์ บ่อยครั้งที่ปัณณวีร์จะมาหาเธอที่คอนโด เพราะพวกเขาเป็เพื่อนกันมาั้แ่มัธยม ซึ่งบ้านของน้ำหนึ่งก็อยู่ที่เชียงใหม่ พอเรียนมหาลัยพวกเขาทั้งสองก็พากันมาเรียนที่กรุงเทพ มาอยู่ที่กรุงเทพด้วยกันสองคนโดยไม่มีญาติพี่น้องที่อยู่ที่นี่ เพราะงั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงเป็เหมือนญาติให้กันและกันเอง
“ใช่ เตรียมงานไง เหนื่อยแต่ก็สนุกนะ” ปัณณวีร์หยิบองุ่นเข้าปากพร้อมกับเอาไอแพดออกมาเปิดดูแบบบ้านที่ชาส่งมาให้เพื่อจะใช้ในการถ่ายทำ
“ก็มันงานที่แกชอบหนิ” น้ำหนึ่งลงไขว่ห้างก่อนเ้าแมวขนสีขาวจะะโขึ้นมาหาแล้วหมอบลงข้างๆ อย่างขี้อ้อน
“ขี้อ้อนจริงๆ เลย” ปัณณวีร์เหลือบมองและพูดขึ้น
“เลี้ยงมาั้แ่เด็ก จะว่าไป่นี้ก็ไม่ได้กลับบ้านเลยแกมีแพลนจะกลับบ้านตอนไหนไหม ่ปีใหม่ก็รับอีเว้นท์เยอะก็ไม่ได้กลับ” พอพูดมาแบบนี้แล้วปัณณวีร์ก็ครุ่นคิดบ้างเพราะตัวเขาเองก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านที่เชียงใหม่เลย
“ยังไม่ได้แพลนไว้เลย แต่หลังจากนี้ก็ติดถ่ายละครยาวเลย หรือจะกลับก่อนดี กลับก่อนเริ่มถ่ายละครดีป่ะวะ สักสองสามวัน” ปัณณวีร์ออกถามความเห็นของเพื่อนสนิท แม้ว่าทุกวันจะโทรคุยกับพ่อแต่ก็หลายเดือนมากแล้วที่ไม่ได้เจอหน้ากัน ตัวของปัณณวีร์นั้นอยู่กับพ่อมาั้แ่เกิด เนื่องจากว่าแม่ของเขาร่างกายอ่อนแอมาก คลอดเ้าตัวเล็กได้ไม่กี่อาทิตย์ก็ล้มป่วยจนสุดท้ายก็จากไป ปัณณวีร์เป็เสมือนตัวแทนของแม่เพราะทั้งใบหน้านั้นเขาถอดแบบมาจากผู้เป็แม่หมดเลย นั่นทำให้เชวง ผู้ซึ่งเป็พ่อดูแลเอาใจใส่และรักมากๆ
“ก็ดีเหมือนกันนะ พ่อคงคิดถึงมากแหละ แต่เพราะรู้ว่าแกงานยุ่งคงไม่อยากออกปากว่าอยากให้แกกลับบ้าน” ลึกๆ แล้วคนเป็พ่อแม่นั้นมีหรือจะไม่อยากให้ลูกอยู่ใกล้ๆ และกลับมาหา แต่บางครั้งก็เพราะหน้าที่การงาน
“อื้ออ งั้นเคลียร์งานหาวันว่างก่อนดีกว่า ่นี้ไม่ได้มีอะไรเยอะแล้ว” ว่าแล้วปัณณวีร์ก็เปิดตารางงานของตัวเองขึ้นมาเพื่อจะดูว่ามีว่างวันไหนบ้าง งานอะไรสามารถเลื่อนเข้ามาหรือทำไว้ได้เลยบ้าง
น้ำหนึ่งนั่งมองเพื่อนสนิทที่ก้มหน้าก้มตากับไอแพดเครื่องโปรดที่มักพกติดตัวตลอด ในใจก็คิดว่าจะบอกเื่ที่เธอรู้มาจากแม่ให้อีกคนฟังดีไหม กลัวว่าปัณณวีร์จะเป็ห่วงพ่อขึ้นมาจนไม่เป็อันทำงาน แต่จะให้ปิดก็กังวลใจแปลกๆ ที่มีความลับกับเพื่อน
“วีร์” เธอตัดสินใจเอ่ยชื่อของเพื่อนที่นั่งอยู่ ปัณณวีร์ตอบรับในลำคอเบาๆ
“หื้อ”
“คือว่า ... เมื่อวันก่อนอ่ะ แม่ฉันไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เขาบอกว่าเห็นพ่อของแกด้วยแต่ไม่ได้เข้าไปทักเพราะพ่อแกเข้าห้องตรวจไปก่อน เื่นี้พ่อได้บอกแกไหม” พอได้ยินดังนั้นปัณณวีร์ก็เงยหน้าจากจอทันที มองหน้าน้ำหนึ่งแล้วส่ายหน้าเป็คำตอบ
“พ่อไม่ได้บอกนะว่าจะไปหาหมอ เมื่อวานก็โทรคุยกัน พ่อไม่เห็นว่าอะไรเลย”
“หรือบางทีท่านอาจจะไปตรวจร่างกายเฉยๆ ตามประสาคนแก่อ่ะก็เลยไม่ได้บอกเพราะกลัวจะเป็ห่วง” น้ำหนึ่งเห็นสีหน้าเพื่อนไม่ค่อยดีก็เลยรีบพูดเพื่อให้สบายใจไม่คิดมาก เธอรู้ดีว่าเพื่อนสนิทของเธอรักพ่อแค่ไหน เพราะมีกันแค่สองพ่อลูกมาตลอด
“เดี๋ยวต้องโทรถามพ่อแล้ว” ว่าแล้วปัณณวีร์ก็ลุกจากโซฟา วางไอแพดไว้แล้วหยิบมือถือติดมือไปด้วย ร่างบางเดินมาคุยที่นอกระเบียงห้องของน้ำหนึ่ง น้ำหนึ่งก็มองตามอย่างห่วงๆ
“พ่อครับ” ไม่นานนักปลายสายก็รับ เสียงของเครื่องตัดหญ้าดังเข้ามาในสายทำให้ปัณณวีร์พอจะรู้ว่าคนเป็พ่อกำลังทำอะไรอยู่ ทางด้านของเชวงก็เดินออกห่างต้นตอของเสียงเนื่องจากคนงานกำลังตัดหญ้าอยู่
[ว่ายังไงลูก] พอออกห่างจากเสียงของเครื่องตัดหญ้าแล้วปัณณวีร์จึงเอ่ยถามทันที
“พ่อครับ น้ำหนึ่งบอกผมว่าเมื่อวันก่อนแม่ของเธอไปโรงพยาบาลแล้วเจอพ่อที่นั่น เห็นพ่อเดินเข้าห้องตรวจด้วย พ่อเป็อะไรหรอครับ” ที่เป็ห่วงเพราะปัณณวีร์รู้ดีว่าพ่อเป็คนยังไง หากไม่เป็หนักจริงๆ พ่อของเขาจะไม่ไปหาหมอง่ายๆ แน่ เรียกได้ว่าเป็คนดื้อคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ครั้งนี้กลับไปโรงพยาบาลทำให้อดห่วงไม่ได้
[ก็นึกว่าเื่อะไร เื่เล็กน้อยลูก พ่อแค่รู้สึกเจ็บหน้าอกก็เลยไปหาหมอ แต่ว่าตรวจแล้วไม่ได้เป็อะไรเลยลูก]
“จริงหรอครับพ่อ แล้วทำไมถึงเจ็บหน้าอกได้ล่ะครับ”
[ก็เป็โรคคนแก่นั่นแหละ พ่อก็ทำงานที่ไร่ที่ฟาร์มยกของหนักๆ บ้างมันเลยมีผลกระทบ] ชายวัยใกล้จะหกสิบยืนมองคนงานทำงานพลางคุยกับลูกชายอยู่หลายนาที พอรู้ว่าลูกจะกลับบ้านก็ดีใจตามประสาคนเป็พ่อแม่อยู่แล้ว
“พ่อต้องดูแลตัวเองดีๆ นะครับ อย่างที่บอกว่างานหนักๆ ก็เรียกคนงาน เราจ้างเขามาแล้วอ่ะ พ่อไม่ต้องทำเอง” ปัณณวีร์กำชับอีกรอบ
[พ่อเข้าใจแล้ว บ่นเก่งเหมือนแม่จริงๆ] นิสัยลูกชายนั้นนับวันยิ่งเหมือนภรรยา เชวงก็อดคิดถึงไม่ได้ น้ำตาซึมออกมาเล็กน้อยเมื่อคิดภาพของเธอที่เป็ที่รัก
“แล้วเจอกันนะครับ ผมคิดถึงอาหารฝีมือพ่อมากๆ เลยนะ”
[ได้ ลูกกลับมาพ่อจะเข้าครัวเองเลย]
“ครับ ผมวางแล้วนะครับ” หลังจากวางสายปัณณวีร์ก็เดินกลับเข้าห้อง น้ำหนึ่งจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็ห่วงเช่นเดียวกัน
“เป็ไงบ้าง พ่อว่าไง”
“บอกว่าไปหาหมอเพราะว่ารู้สึกเจ็บหน้าอก แต่ก็ไม่ได้เป็อะไรร้ายแรง” แต่ถึงอย่างนั้นปัณณวีร์ก็ยังทำหน้าเคร่งเครียดอยู่
“ก็ดีแล้วหนิ แล้วแกจะเครียดอะไร??” น้ำหนึ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย
“หนึ่ง ไอ้อาการเจ็บหน้าอกเนี่ยมันก็บ่งบอกถึงโรคร้ายอย่างเช่นโรคหัวใจรึป่าว”
“มันก็ใช่ แต่ก็ไม่เสมอไปป่ะ”
“เสิร์ชดูดิ” มือเรียวหยิบไอแพดขึ้นมากดเข้าไปค้นหาทันที “เนี่ยเห็นไหม อาการโรคหัวใจ”
“วีร์ มันก็เชื่อได้แค่ครึ่งหนึ่งป่ะ ตอนฉันปวดท้องแน่นหน้าอกคือเสิร์ชดูมันบอกเป็โรคกระเพาะอาหารอักเสบ พอไปตรวจหมอบอกเป็กรดไหลย้อน” น้ำหนึ่งพูดเพื่อให้เพื่อนคลายกังวล แต่เื่ที่พูดไปก็เป็เื่จริง
บางทีคนเรามักจะหาข้อมูลอาการป่วยของตัวเองในอินเทอร์เน็ตมากกว่าการไปหาหมอ แต่คงลืมไปว่าอาการป่วยพวกนี้ไม่ใช่มีเพียงแค่โรคเดียว หลายๆ โรคก็มีอาการเช่นเดียวกัน เพราะงั้นจึงต้องไปให้หมอตรวจให้อย่างละเอียด ปัณณวีร์เม้มปากเข้าหากันแล้วปิดไอแพดลง
“มันก็จริง ฉันควรเชื่อพ่อ” เพราะห่วงมากเกินไปจึงทำให้คิดมากกลัวจะเป็อะไรร้ายแรง ปัณณวีร์ยกน้ำขึ้นมาดื่มก่อนเสียงข้อความจะดังขึ้นมา เป็ข้อความจากศิลา
‘อีกครึ่งชั่วโมงผมจะถ่ายเสร็จแล้ว เจอกันที่ห้องนะครับ’
“ฉันต้องกลับแล้วนะ”
“อ้าว มาแป๊บเดียวเนี่ยนะ”
“มีธุระกะทันหันอ่ะ ไว้ค่อยเจอกันๆ ไปละ” พูดจบปัณณวีร์รีบรุดตัวออกจากห้อง เพราะเวลาที่เขาจะใช้กับศิลานั้นมีน้อยกว่าเมื่อเทียบกับน้ำหนึ่ง น้ำหนึ่งเป็เพื่อนจะมาหาตอนไหนหรือเจอกันเมื่อไหร่ก็ได้ เปิดเผยได้ ไม่เหมือนกับศิลาที่ต้องแอบๆ ซ่อนๆ ดังนั้นเวลาที่พวกเขาจะได้ใช้ด้วยกันย่อมสำคัญกว่า เพราะตอนนี้แม้แต่น้ำหนึ่งเองก็ยังไม่รู้เื่ความสัมพันธ์ของพวกเขา
“ได้ตารางงานของแต่ละคนเรียบร้อยแล้วค่ะพี่วีร์ เดี๋ยวชาจะจัดคิวถ่ายเลยนะคะ” ปัณณวีร์เร่งจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ให้เสร็จไว้ก่อน วางแผนงานเอาไว้แล้วว่าหลังจากกลับมาจากบ้านจะเริ่มมีการเวิร์คช็อปนักแสดง แต่ก็ใช้เวลาไม่กี่วันเพราะว่านักแสดงต่างมีความสามารถอยู่แล้ว จะมีก็แค่บางฉากที่ต้องใส่อารมณ์เยอะๆ หน่อย ซึ่งในส่วนตรงนี้ปัณณวีร์ก็ได้ให้ผู้กำกับเป็คนจัดการ ดังนั้นงานใน่นี้ของเขามีเพียงเตรียมอุปกรณ์และสถานที่ต่างๆ ไว้ให้พร้อม
“โอเค แล้วโรงแรมที่หัวหินตอบรับมายัง เื่ที่เราจะขอเช่าสถานที่”
“ยังเลยค่ะ อาจจะเพราะว่า่นี้เป็่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยอะ เราขอใช้สถานที่เขาอาจจะเป็การรบกวนนักท่องเที่ยวที่พักอยู่”
“ก็จริง เพราะค่าที่พักของชาวต่างชาติได้ราคาดีนี่นา ถ้างั้นก็เสนอเขาไปอีกแล้วกันว่าเราจะถ่ายชื่อโรงแรมให้ด้วย เป็การโปรโมทโรงแรมไปในตัว คิดว่าทางนั้นคงอยากได้ข้อเสนอนี้มากกว่า”
“ทำไมพี่วีร์ถึงคิดว่าเขาอยากได้ข้อเสนอนี้ล่ะคะ” ชาเอ่ยถาม
“แฟนคลับของศิลาน้อยที่ไหน ทุกที่ที่เขาไปแม้แต่สถานที่ที่ใช้ถ่ายละคร แฟนคลับก็ตามกันไปเที่ยว”
“ประมาณว่าตามรอยศิลปินงี้หรอคะ” ปัณณวีร์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เข้าใจแล้วละค่ะ”
“งั้นก็ฝากด้วยนะ”
“ได้ค่ะ อ่อพี่วีร์คะ มีคนติดต่อมาว่าอยากจะพบพี่วีร์ เขาบอกกว่าวันนี้จะเข้ามาพบที่บริษัทนะคะ ตอนบ่ายสองค่ะ”
ปัณณวีร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ใครหรอ”
“เขาแจ้งว่าชื่อคุณมาวินค่ะ”
“มาวิน” ปัณณวีร์ทวนชื่อซ้ำอีกครั้งเพราะรู้สึกคุ้นหู “คงไม่ใช่มาวิน ลูกชายเ้าของ บุญบวร มัลติมีเดีย หรอกนะ”
ทั้งสองมองหน้ากันเพราะต่างคนต่างรู้ว่าอีกฝ่ายจะมาทำอะไร บริษัทบุญบวร มัลติมีเดีย หรือที่ทุกคนรู้จักกันคือช่อง BBW เป็บริษัทคู่แข่งของ จิรธานนท์ หรือเจีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้ว่าบริษัทจะไม่ได้เติบโตขึ้นมามากอย่างจิรธานนท์เพราะก่อนหน้านั้นมีปัญหาภายในกัน แต่ก็ถือว่าเป็บริษัทคู่แข่งที่ดูสมน้ำสมเนื้อกับจิรธานนท์ และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ มาวิน บุญบวร ได้เข้ามาดูแลบริษัทในตำแหน่งประธานกรรมการหรือที่เรียกกันว่า CEO บริษัทก็มีความก้าวหน้าขึ้นมาจากเมื่อก่อนมาก
แน่นอนว่าการที่เขามาขอเจอปัณณวีร์นั้นก็มีอยู่เหตุผลเดียว คือการอยากจะดึงตัวเขาไปร่วมงานด้วย เพราะตอนนี้เขาเป็อิสระ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากเจทีเอ็นมาตลอด แต่พอเขาได้รางวัลเมื่อต้นเดือนนั้นก็ทำให้หลายคนรู้จักเขามากขึ้น
“ไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้” ปัณณวีร์เดินออกมาจากห้องประชุมเล็กๆ ที่จัดไว้สำหรับประชุมฝ่ายและสำหรับรับแขก
“เขามาหาพี่เองกับตัวแบบนี้ คงจะคิดว่าจะดึงตัวพี่ไปได้ละมั้งคะ จะว่าไปข้อเสนอที่เขายืนให้นั้นก็น่าสนใจไม่น้อยนะคะ” ชาออกความคิดเห็น
“ก็น่าสนใจ แต่ว่า...” ต่อให้ดีแค่ไหน ถ้าตรงนั้นไม่มีศิลาก็ดึงเขาไปไม่ได้อยู่ดี อีกอย่างเขาไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักบุญคุณคน คนที่ให้โอกาสเขาและสนับสนุนเขาเป็กนกมาั้แ่เริ่ม ั้แ่ที่เขามีความคิดที่อยากจะเป็ผู้จัด จะให้ย้ายไปอยู่ทางอื่นตอนที่เริ่มมีชื่อเสียงแล้วก็คงจะอกตัญญูเกินไป
“แต่ว่าอะไรหรอคะ?” ชารอฟังจนลิฟต์เปิดออกแต่ปัณณวีร์ก็ไม่พูดอะไรออกมา
“แต่ว่าพี่เป็คนรู้คุณคน” เขาบอกแค่นั้น ไม่ได้บอกอีกหนึ่งเหตุผลก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไป พอมาถึงห้องทำงาน ปัณณวีร์ก็ได้โทรคุยเื่นี้กับศรุตผู้เป็เพื่อน เขาคิดว่าเขาควรจะแสดงความจริงใจให้ฝ่ายนั้นเห็นว่าตัวเขาไม่ได้จะเอนเอียงไปทางใคร
“ปัณณวีร์ก็ยังเป็เด็กดีและน่ารักเสมอ” ศรุตเล่าเื่นี้ให้คนเป็แม่ฟัง จุดประสงค์หลักของเขาคือการเล่าถึงมุมดีๆ ของเพื่อนให้กนกรับรู้ เพื่อที่วันหนึ่งหากทั้งเพื่อนและน้องชายของเขาจะบอกเื่ความสัมพันธ์กับครอบครัว
อย่างน้อยๆ ศรุตก็อยากให้กนกเปิดใจยอมรับและมองเห็นมุมดีๆ ของปัณณวีร์ที่ทำมาตลอด ตัวศรุตเองรู้ดีว่าเพื่อนคนนี้มีฝีมือและไปได้ไกลอย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่จะดึงตัวของปัณณวีร์ไว้ได้นั้นก็คือศิลา เพราะศิลาเป็คนเดียวที่บริษัทตนเองมีแต่บริษัทคู่แข่งไม่มี
“วีร์เขารู้คุณคนนะครับแม่”
“แต่แม่ว่าควรจะทำสัญญากับเขาไว้ดีไหม อย่างน้อยก็จะได้มั่นใจว่าวีร์จะไม่ไปทำให้ที่ไหน” ถึงอย่างนั้นกนกก็มองว่าในเื่ของผลประโยชน์นั้นควรจะรักษาให้ดี แม้ปัณณวีร์จะไม่เอนเอียงในตอนนี้แต่ในอนาคตอะไรก็ไม่แน่ไม่นอน
“วีร์มันไม่ชอบผูกมัดแม่ก็รู้หนิครับ”
“แม่รู้ แต่ทางผู้ถือหุ้นเองก็อยากจะให้เราเซ็นสัญญากับปัณณวีร์ไว้ เขามีชื่อเสียงได้ก็เพราะได้บริษัทสนับสนุน เราเองก็ได้เงินจากเขามาไม่น้อย เพราะงั้นเราก็ไม่อยากเสียเขาไปให้ใคร รุตลองไปคุยกับวีร์หน่อยก็แล้วกันนะ” ศรุตลำบากใจไม่น้อย แต่ในฐานะที่บริษัทก็เป็ของครอบครัวเขา ตัวเขาก็นึกถึงผลประโยชน์ของบริษัทอยู่แล้ว แต่นั่นก็เพื่อนเหมือนกัน
“ผมจะลองเกริ่นๆ กับวีร์ให้ก่อนก็แล้วกันนะครับ แม่อย่าเพิ่งไปเร่งเร้านะ”
“ได้ เื่นี้แม่ให้เป็หน้าที่ของลูก” กนกรับคำก่อนจะถามต่อ “แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนเป็ตัวเป็ตนสักทีน่ะเรา จะมาเล่นๆ ไม่ได้แล้วนะแม่อยากอุ้มหลาน ศิลาก็ไม่สนใจเรายังมาควงเล่นๆ อีก”
ศรุตถอนหายใจและทำหน้าเหนื่อยหน่ายเมื่อคนเป็แม่พูดเื่นี้อีกแล้ว “แม่ครับ ก็ผมยังไม่เจอคนที่จะมาเป็แม่ของลูกผมหนิครับ ผมยังไม่อยากผูกมัดอ่ะ แบบนี้แฟร์ดี ต่างฝ่ายต่างเต็มใจอยู่แล้ว”
“มันก็แฟร์อยู่หรอก แต่อย่าให้พลาดมานะ เกิดมีผู้หญิงที่ไหนมาบอกว่าท้องกับลูกขึ้นมาแม่จะตีเข้าให้”
“ไม่มีเหตุการณ์นั้นแน่นอนครับแม่ ผมขอตัวกลับไปทำงานก่อนดีกว่า” พอพูดเื่นี้ทีไรศรุตก็รีบตีตัวออกทันทีไม่ต่างจากศิลาเลย
“เหมือนกันทั้งพี่ทั้งน้อง” กนกบ่นตามหลังลูกชายที่ไม่เข้าใจหัวอกคนเป็แม่ที่อยากจะอุ้มหลานแล้ว
เสียงพูดคุยกันและเสียงดนตรีของละครที่ไม่ดังมากนักแต่ก็ทำให้คนที่เพิ่งกลับมาถึงเพนท์เฮ้าส์สุดหรูของตนเองได้ยิน คืนนี้เป็อีกคืนที่เขามานอนที่คอนโด ตอนนี้ก็เป็เวลาเกือบจะ 4 ทุ่มแล้ว ศิลาหันมองหน้าผู้จัดการส่วนตัวดารินที่ขึ้นมาส่งเนื่องจากได้ของจากแฟนคลับเยอะ และต้องขึ้นมาเตรียมชุดให้กับดาราหนุ่มสำหรับพรุ่งนี้อีก
ที่ต้องหันมองหน้ากันนั้นเพราะวันนี้เป็วันศุกร์ ซึ่งละครที่ศิลาเล่นนั้นออนแอร์วันนี้ และปกติแล้วปัณณวีร์จะไม่ค่อยดูทีวีวันศุกร์เสาร์อาทิตย์เท่าไหร่ เ้าตัวเคยบอกว่าไม่อยากดูเื่นี้ที่ศิลาแสดง เพราะในเื่นั้นเลิฟซีนค่อนข้างเยอะ
“พี่วีร์ อารมณ์ไหนมานั่งดูละคร” ศิลาเดินเข้ามาหาก็เอ่ยถามขึ้นพลางมองไปที่จอทีวีขนาดใหญ่ที่กำลังเป็ฉากจูบของเขากับนางเอก ศิลาจึงรีบเข้าไปหาแล้วเอามือปิดตาคนพี่ไว้
“ทำอะไรเนี่ยศิ” ปัณณวีร์พยายามเอามืออีกฝ่ายออกแต่ก็ไม่เป็ผล
“ไม่ต้องดูหรอก”
“พี่เห็นขึ้นเทรนทวิตตลอดเลย อยากดูบ้างไม่ได้รึไง”
“เดี๋ยวพี่มางอนผมอีก”
“มันเป็งานพี่เข้าใจ” ศิลาอยากจะเถียงซะเหลือเกินว่าบางทีปัณณวีร์ก็เหมือนเด็กที่แม้จะบอกเข้าใจว่าเป็งานแต่ก็ยังหาเื่งอนอยู่ดี อารมณ์ของอีกคนบางครั้งศิลาก็ยากจะคาดเดาได้ ศิลายอมเอามือออกเมื่อฉากนั้นผ่านไปแล้ว แต่กลับได้สายตาดุๆ ของปัณณวีร์มาแทน
“ทำไมอ่ะ จูบกันดูดดื่มขนาดที่ไม่อยากให้พี่ดูหรอ” นั่นไง ศิลานึกในใจก่อนจะเดินอ้อมไปนั่งลงข้างๆ คนพี่
“ใช่ที่ไหนกันล่ะ แค่ปากแตะปากเฉยๆ ไม่เชื่อถามพี่ดาดู” ปัณณวีร์หันไปมองดารินที่ยืนยิ้มอยู่ที่ห้องครัว กำลังแยกของใส่ตู้เย็น
“พี่ดามาด้วยหรอครับ” ปัณณวีณ์ไม่ทันมองว่าดารินมาด้วยจึงหันไปสวัสดี
“ใช่จ้ะ พี่ขึ้นมาส่งก่อน เดี๋ยวจะไปเตรียมชุดไว้ให้ศิแล้วก็กลับ” ศิลากอดเอวคนพี่ไว้หลวมๆ
“แล้วทานอะไรกันมารึยังครับ”
“ยังเลยครับ เนี่ยผมหิวมากๆ เลยนะ” ดารินมองเด็กสองคนที่เขาเอ็นดูเหมือนน้องชายออดอ้อนกันก็อดยิ้มตามไม่ได้ ในตอนแรกที่รู้เื่ของทั้งคู่เขาเองก็ใและคัดค้านอยู่หน่อยเพราะศิลาเพิ่งจะเริ่มดัง เพิ่งจะมีงานเข้ามา หากว่าเื่ที่คบกันของทั้งคู่ถูกเปิดเผยจะทำให้เสียมาถึงงานได้ แต่ก็ไม่คิดเลยว่าสองคนนี้จะแอบคบกันมาได้นานขนาดนี้
มันทำให้ดารินได้เห็นว่าความรักไม่ว่าจะผู้หญิงกับผู้ชาย ผู้หญิงกับผู้หญิงหรือผู้ชายกับผู้ชายมันก็มั่นคงได้ด้วยกันทั้งนั้น เพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างอยู่ที่ตัวคนไม่ใช่เพศสภาพที่จะมาตัดสิน
“ได้เดี๋ยวพี่ทำให้ทาน พี่ดาอยู่ทานก่อนนะครับค่อยกลับ”
“ได้จ้า” ดารินยิ้มรับ ทันทีที่ปัณณวีร์ลุกไปเพื่อไปทำอาหาร ศิลาก็เอารีโมทขึ้นมากดเปลี่ยนไปดูอย่างอื่นแทนทันที
อาหารง่ายๆ อย่างหมูสับเต้าหู้ไข่ที่ไม่ต้องเตรียมวัตถุดิบอะไรเยอะและผัดผักสามสีที่ศิลาชอบถูกทำขึ้นมาโดยใช้เวลาไม่นาน สองดาราผู้จัดการก็กินกันด้วยความหิว หลังจากดารินกลับไปก็เป็ศิลาที่ล้างจานให้ และมักเป็แบบนี้เสมอ ขนาดอยู่ที่บ้านศิลายังไม่เคยที่จะล้างจานเองเลยด้วยซ้ำ แต่พออยู่กับปัณณวีร์อะไรที่ไม่เคยทำเขาก็เป็คนอาสาทำเองเพราะไม่อยากให้คนพี่ต้องทำ เป็อีกมุมที่แม้แต่คนเป็พ่อแม่ก็ไม่เคยเห็น
“ขึ้นเทรนทวิตอีกแล้ว อื้อหือมีคนแคปฉากจูบลงด้วย” ปัณณวีร์พูดขึ้นพลางเลื่อนดูต่อไปอีก ขณะที่ศิลาเพิ่งอาบน้ำเสร็จ เดินออกมาจากห้องน้ำก็ถูกคนพี่แซว
“จูบแค่นั้นจะไปสู้พี่ได้ยังไงกัน” ศิลาเดินมาดึงมือถือออกจากมือของปัณณวีร์ เขารู้ว่าอีกคนก็แค่หาเื่แซวไม่ได้คิดเป็จริงเป็จังหรือว่าโกรธอะไรอยู่แล้ว
“ต่างจากจูบพี่ยังไงงั้นหรอ” คนที่รู้อยู่แก่ใจแกล้งถามออกไปด้วยสีหน้าทะเล้นและเลิกคิ้วอย่างอยากรู้
“ก็ต่างกันตรงที่กับพี่ใช้ลิ้นได้ แบบนี้ไงผมจะทำให้ดู” ศิลาโยนมือถืออีกคนไว้บนเตียงก่อนจะก้าวขึ้นมาดันไหล่บางให้นอนราบกับที่นอนนุ่มพร้อมโน้มใบหน้าลงมาหา ปัณณวีร์ยกสองมือขึ้นมาโอบรอบคออีกฝ่ายไว้
ดวงหน้าหวานเอียงเล็กน้อยให้ได้องศาที่พอเหมาะ ไม่นานใบหน้าดุจหยกจรดริมฝีปากลงมาทาบกันอย่างแ่เบา ก่อนที่ทั้งคู่จะแลกััหวานล้ำ เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดพันพลิ้ว ศิลาผละริมฝีปากออกก่อนจะพูดเสียงแหบเบา
“เห็นถึงความแตกต่างแล้วรึยัง” ดวงตาของคนใต้ร่างเต็มไปด้วยความปรารถนา ปัณณวีร์ไม่ได้พูดตอบอะไร ทั้งคู่สบตากันก่อนที่ศิลาจะก้มลงไปมอบจุมพิตหวานให้อีกครา จากที่อ่อนโยนก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนไป เมื่อไฟปรารถนาเริ่มลุกโหมต่างก็ไม่มีใครยอมใครจนสุดท้ายก็เป็ปัณณวีร์ที่พ่ายแพ้ ส่งเสียงครางประท้วงในลำคอเมื่อเริ่มหายใจไม่ทัน
“ผมรักพี่นะ” ศิลาใช้ปลายจมูกไกล่เกลี่ยกับคนใต้ร่างไปมาพร้อมบอกรัก
“พี่ก็รักศิเหมือนกัน” สำหรับใครหลายคน การคบกันมานานอาจจะทำให้ความรู้สึกรักนั้นน้อยลงตามกาลเวลา แต่สำหรับพวกเขาทั้งสองแล้วไม่รู้ทำไม ยิ่งนานวันเข้าเขายิ่งรักอีกฝ่ายแทบถอนตัวไม่ขึ้น แทบไม่อยากจะคิดถึงวันที่ไม่มีกันและกันเลยด้วยซ้ำ
“ก็คืนนี้ก็ให้ผมรักดีไหม”
“งั้นก็รักพี่ให้มากๆ” นิ้วเรียวเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากหยักพร้อมกับสอดนิ้วเข้าไปในปากอีกคนเล็กน้อยอย่างยั่วยวน ทั้งสองสบตากันก่อนจะปล่อยให้ไปตามอารมณ์ ปล่อยให้ลมพายุแห่งความ้าพัดผ่าน
กิจกรรมรักของทั้งคู่ถูกก่อขึ้นก็ยากจะจบลง ทั้งสองปรนเปรอความสุขให้กันและกันจนพอใจก่อนจะตระกองกอดกันเอาไว้ใต้ผ้าห่มผืนหนาโดยที่สองร่างเปลือยเปล่าไม่มีสิ่งใดมากั้น
“นอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีงานทั้งวันไม่ใช่รึไง” ปัณณวีร์ลูบศีรษะของคนน้องที่ซุกอยู่ตรงซอกคอของตัวเอง มือหนาก็ลูบไล้เอวคอดไปมา ลมหายใจอุ่นร้อนของอีกฝ่ายก็รินรดอยู่ที่คอ
“พรุ่งนี้ไม่ได้มานอนด้วยนี่นา วันนี้ก็ต้องเก็บให้เต็ม”
“หื่น”
“พี่เองก็หื่นไม่แพ้ผมหรอก ถ้าพี่ไม่เริ่มมีหรอผมจะกล้าน่ะ” ศิลาจูบที่ลำคอขาวเบาๆ เพื่อไม่ให้เป็รอย แต่ส่วนที่อยู่ใต้ร่มผ้านั้นเขาทำร่องรอยเอาไว้ไม่น้อยเลย
“ใครบอก ศิเริ่มก่อนทั้งนั้นน่ะ ... อ๋อจริงสิ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าพี่จะกลับบ้านนะ” เื่ที่จะกลับบ้านนั้นปัณณวีร์ยังไม่ได้บอกกันคนน้อง
“ไปนานไหมครับ”
“สองสามวัน พี่จะกลับไปหาพ่อน่ะ ไม่ได้กลับหลายเดือนแล้ว และเดี๋ยวเปิดกล้องจะไม่มีเวลา ตารางงานพี่แน่นมาก”
“ผมไปด้วย” ศิลาพูดขึ้น เขาเคยไปบ้านของปัณณวีร์มาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นไปเที่ยวกันกับศรุตั้แ่ตอนที่พี่ๆ อยู่มหาลัยกัน ซึ่งหากนับมาจนถึงตอนนี้ก็นานมากแล้ว
“ไปได้ยังไง จะไม่มีงานหรอ” ปัณณวีร์รู้ดีว่าน้องคิวงานแน่นขนาดไหน แม้จะอยากให้ไปด้วยกัน ถือโอกาสไปเที่ยว แต่ก็ไม่อยากให้กระทบงาน
“ผมเคลียร์ได้ ให้ผมไปด้วยนะ” ศิลากระชับกอดร่างบาง “ถือโอกาสไปเที่ยวด้วยกันไงครับ เราไม่ได้ไปไหนด้วยกันนานแล้วเหมือนกันนะ ผมว่าที่ฟาร์มพี่นี่แหละเหมาะที่สุด”
ปัณณวีร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับ “งั้นก็ได้ งั้นก็รีบเคลียร์งานละ”
“ได้ครับ”
“นอนได้แล้ว”
“ต่ออีกสักรอบไหม โอ๊ย!” ปัณณวีร์หยิกเข้าที่ต้นแขนแกร่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเข้มให้อีกคนรู้ว่าตอนนี้เขาดุอยู่ไม่ได้เล่นๆ
“นอน”
“นอนก็ได้ครับ” ศิลายิ้มแล้วเปลี่ยนท่านอน วางแขนไว้ก่อนเพื่อให้ปัณณวีร์นอนลงมาก่อนจะกอดคนพี่แนบอก “ฝันดีนะครับ”
“ฝันดี”
TBC.