ตอนที่ 4
“ชา ฤกษ์บวงสรวงวันไหน ได้รึยัง” ปัณณวีร์เดินมายังโต๊ะของชาซึ่งอยู่หน้าห้องของเขาเอง ก่อนจะกลับบ้านปัณณวีร์้าเตรียมทุกอย่างให้พร้อมที่สุด จะได้ไม่มีปัญหาในภายหลัง ซึ่งตอนนี้อุปกรณ์การถ่ายทำเกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์เสร็จเรียบร้อย ซึ่งอุปกรณ์บางอย่างก็สามารถนำกลับมาใช้อีกรอบได้ เป็อุปกรณ์จากการถ่ายละครเื่ก่อนหน้านี้
“ได้แล้วค่ะพี่วีร์ เป็วันที่ 18 มีนาคมค่ะ”
“ถ้าได้ตารางงานของนักแสดงมาแล้วก็จัดการวางคิวได้เลยนะ”
“ได้เลยค่ะ”
“ส่วนเื่ของที่จะใช้บวงสรวงพี่จะกลับมาจัดการเอง กลับมาก่อนอยู่แล้ว” การบวงสรวงก่อนเปิดกล้องหรือว่าออกกองนั้นก็แล้วแต่บุคคล เพราะมันคือความเชื่อส่วนตัว
ความเชื่อเื่พวกนี้ก็มีมาช้านานคู่กับคนไทยมาั้แ่อดีต ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าที่ทำไปนั้นส่งผลต่อละครหรือไม่ แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะทำกัน จุดประสงค์ในการทำพิธีบวงสรวงนั้นก็เพื่อเป็การขอขมาสถานที่ที่จะไปถ่ายทำ เพื่อให้การถ่ายทำราบรื่นไปด้วยดีไม่มีสิ่งติดขัด ไม่มีอุปสรรคและก็เพื่อให้ผู้ที่เข้าร่วมพิธีนี้มีความสุข ความเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละคนแต่ละช่อง ผู้จัดผู้กำกับบางคนก็ไม่ได้ทำ ซึ่งก็ไม่ผิด ความเชื่อไม่มีถูกไม่มีผิดตายตัว แต่มักจะมีคำพูดที่ว่าหากไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ แต่ส่วนตัวของปัณณวีร์นั้นเขาเป็คนที่เชื่อเื่พวกนี้ ก็เป็เหมือนที่พึ่งจิตใจ
“ได้ค่ะ พี่วีร์กลับบ้านพักผ่อนให้สบายใจเถอะค่ะ จะได้กลับมาทำงานได้อย่างเต็มที่ ในส่วนนี้เราเตรียมการกันดีหมดแล้ว ก็เพราะพี่วีร์ที่มีการจัดการที่ดี ทำให้ไม่ต้องรีบ” ชานับถือในความคิดและกระบวนการทำงานของปัณณวีร์จริงๆ เขามักวางแผนเอาไว้ั้แ่เนิ่นๆ ก่อน จากนั้นก็จัดแจงการให้กับทุกคนให้ทำตามขั้นตอน มันทำให้งานนั้นมีประสิทธิภาพและเป็ระบบ
“ขอบใจมากนะ ที่เหลือก็ไม่มีอะไรมากแล้ว ถ้าจัดคิวนักแสดงแล้วส่งให้พี่ดูก่อนนะ” ปัณณวีร์นวดไหล่ให้ชาไปพลางระหว่างพี่บอก
“ได้ค่ะ”
“ขยันทำงานอะไรขนาดนี้เนี่ย ด้านล่างก็เตรียมงานกันใหญ่เลย เปิดกล้องก็ตั้ง 1 เมษาป่ะ รีบไปไหนครับคุณผู้จัด” ศรุตเดินเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ามาหา ปัณณวีร์มองตามเสียงก็ส่งยิ้มให้เพื่อนพร้อมถามขึ้นว่า
“แน่นอนสิครับผม ว่าแต่มาหาถึงที่นี่มีอะไรรึเปล่า”
“อ่อ มีเื่อยากคุยด้วยหน่อย ตอนนี้ว่างอยู่ไหม” ศรุตมีสีหน้าดูจริงจังขึ้นมา เพราะว่าเื่ที่จะมาพูดในวันนี้เขาเองก็รู้สึกลำบากใจไม่น้อย
“ว่างสิ งั้นเข้าไปคุยในห้องกันดีกว่า”
“ผมขอไปคุยด้วยหน่อยสิครับ” ปัณณวีร์มองเลยไหล่ของศรุตไปก็เห็นเ้าของเสียงที่ใส่แมสและแว่นกันแดดมา ศรุตเองก็หันกลับไปมองทางด้านหลัง พอจะรู้อยู่แล้วว่าเป็ใคร ก็เสียงนี้เป็เสียงที่คุ้นเคยอย่างกับอะไรดี
“ศิลา มาได้ยังไงเนี่ย” ศรุตเอ่ยถามน้องชาย
“ผมไปหาพี่ที่บริษัท ผู้ช่วยพี่บอกว่าพี่มาที่นี่ผมเลยตามมา” ศิลาตอบกลับแต่สายตาใต้แว่นกันแดดนั้นมองไปยังปัณณวีร์ ตามมาหาศรุตก็แค่ข้ออ้าง หากว่าศรุตไม่ได้มาที่นี่ ศิลาเองก็คงจะอยู่ที่บริษัทไม่ตามอย่างแน่นอน การมากับพี่ชายแบบนี้ ใครจะคิดว่าเขามาหาปัณณวีร์กัน
“งั้นเข้าไปในห้องเถอะ ชาพี่รบกวนไปเอาน้ำมาให้ทั้งสองหน่อยนะ” ปัณณวีร์บอกให้สองพี่น้องเข้าห้องก่อนจะไหว้วานชา
“ได้ค่ะพี่วีร์”
ปัณณวีร์เข้าในห้องแล้วจึงมองศรุตกับศิลาสลับกันแล้วพูดขึ้น “ศิ มาแบบนี้ ทีมงานพี่ที่ทำงานอยู่ข้างล่างไม่เห็นหรอ”
“เห็น” ศิลาถอดแมสถอดแว่นกันแดดออกแล้วนั่งไขว่ห้าง แล้วมองมาที่ปัณณวีร์ไม่ละสายตา จนศรุตที่อยู่ร่วมห้องด้วยกลอกตามองบนแล้วเอ่ยขัด
“ไม่ได้อยู่กันสองคนเนอะ” ศรุตเบ้ปากใส่น้องชายเล็กน้อยด้วยความหมั่นไส้
“แล้วมากันทำไมเนี่ยทั้งพี่ทั้งน้องเลย” ปัณณวีร์เดินไปลากเก้าอี้ของตัวเองมานั่งเพราะโซฟานั้นสองพี่น้องนั่งก็เต็มแล้ว
“ฉันเนี่ยมาคุยธุระ เป็การเป็งาน แต่ใครบางคนคงตามมาเพราะเื่ส่วนตัว” ศรุตว่า
“ใช่ ผมมาเพราะพี่วีร์ และถ้าอ้างว่ามากับพี่ก็ไม่มีปัญหาแล้ว” ศิลาตอบพี่ชาย เพราะแบบนี้ศิลากับปัณณวีร์ถึงได้รอดข่าวมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะมีออกมาบ้างแต่ก็มีข้อแก้ตัวได้เสมอ อาจจะด้วยบุคลิกของศิลาที่ดูเหมือนจะเป็ผู้ชายที่เซ็กซี่เพลย์บอยด้วยล่ะมั้ง ทุกคนเลยไม่คิดว่าเขาจะคบกับผู้ชาย
“เบื่อจริงๆ” ศรุตบ่นอย่างไม่ได้จริงจังนัก ส่วนปัณณวีร์ก็ไม่ได้ว่าอะไรทำเพียงยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ ให้กับความดื้อของศิลาที่อยากจะเจอเขา ก่อนจะถามศรุตถึงเื่ที่จะมาคุย
“ว่าแต่เื่ที่บอกจะคุยนี่เื่อะไร??”
ศรุตมองหน้าเพื่อนก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “แม่ให้ฉันมาคุยกับแก อยากจะให้แกเซ็นสัญญากับทางช่อง”
ปัณณวีร์เองก็คิดเอาไว้แล้วว่าทางเจทีเอ็นคงต้องอยากจะผูกมัดเขาเอาไว้แน่นอน ซึ่งไม่แปลกใจเลยเพราะวงการนี้การแข่งขันมันสูงอยู่แล้ว หากเขาเป็อิสระจากช่อง ตัวเขามีโอกาสที่จะถูกดึงไปเป็ของที่อื่นหากว่าบริษัทอื่นให้ข้อเสนอที่มากกว่า หากมองในมุมธุรกิจและผลประโยชน์ก็ควรจะทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่ปัณณวีร์ไม่อยากอยู่ใต้สังกัดใคร การจะทำละครของเขาทุกเื่นั้นเขาตัดสินใจเองทั้งหมด แต่ถ้าเซ็นสัญญากับทางช่อง สิทธิ์ในการตัดสินใจของเขาก็ลดลงไปอีก
“ฉันรู้ว่าแกไม่ไปไหนหรอก แต่ทางผู้บริหารและผู้ถือหุ้นเขาก็คงอยากจะชัวร์ๆ”
“ฉันเข้าใจ แต่...” เื่แบบนี้ตัวปัณณวีร์เองก็ต้องเหลือทางรอดให้ตัวเองด้วยเช่นเดียวกัน เพราะการผูกขาดกับทางช่องนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย
“พี่เอาตามที่ใจพี่้าเลย ถ้ายังไม่อยากจะเซ็นก็ไม่เป็ไร ยังไงผมก็เชื่อว่าพี่จะไม่ทิ้งพวกเรา” ศิลาพูดขึ้นเมื่อเห็นสีหน้ากระอักกระอ่วนของปัณณวีร์ แม้เขาจะเห็นว่ามันคือผลประโยชน์ของบริษัทตัวเองแต่ก็ไม่อยากบังคับคนพี่ เพราะรู้ดีว่าทุกวันนี้ที่ปัณณวีร์ยังทำละครให้ช่องนั้นไม่ใช่แค่ว่าช่องให้เงินทุน แต่เป็เพราะตัวเขาด้วยส่วนหนึ่ง เพราะปัณณวีร์พูดแบบนี้เสมอ
“ใช่” ศรุตพูดเสริม “ถ้าตอนนี้ยังไม่อยากเซ็นก็บอกได้ ฉันช่วยพูดกับคุณแม่ให้ก่อน บอกไปว่าแกขอเวลาคิดและตัดสินใจก่อนก็ได้”
ปัณณวีร์มองหน้าทั้งสองสลับกันไปมา เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่ได้เจอศรุต ได้เป็เพื่อนกันและก็ได้มาเจอกับศิลา ทั้งสองดีกับเขามากจริงๆ เข้าใจและเห็นใจเขาอยู่ตลอดจนบางครั้งก็รู้สึกละอายใจ
“ขอบใจนะ เื่นี้ขอเวลาหน่อยนะ”
“ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องเครียดไป” ศรุตยิ้มให้
“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมไอของศิลาดังขึ้นมาทำเอาศรุตมองน้องชายตาขวาง “ไม่ต้องยิ้มให้ขนาดนั้นก็ได้”
“นี่พี่นะ” หากยังไม่เคยบอกก็คงต้องบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่าศิลานั้นขี้หึงขี้หวงมาก แม้แต่กับพี่ชายแท้ๆ แถมยังเป็เพื่อนกับปัณณวีร์ก็ชอบมองตาเขียวใส่กันตลอด
“ไม่สน” ศิลายักไหล่อย่างไม่ใส่ใจก่อนจะกวักมือให้ปัณณวีร์เลื่อนเก้าอี้เข้ามาหา แต่ปัณณวีร์กลับส่ายหน้าเป็คำตอบพร้อมกับกลั้นยิ้มที่ได้แกล้ง
“ขอร้อง จะหวานกันก็ให้ฉันออกจากห้องก่อนได้ไหมล่ะ” ศรุตพูดขัด
“พี่จะออกจากห้องได้ยัง ถ้าพี่ออกไปผมก็ต้องออกไปด้วยสิ แล้วแบบนี้จะได้อยู่กับพี่วีร์รึไง”
“รำคาญ” ทั้งสองชอบเถียงชอบทะเลาะกันบ่อยครั้งตามประสาพี่น้องผู้ชาย แต่ก็รักกันมากเช่นเดียวกัน ถ้าไม่รักมาก ศรุตคงไม่มาช่วยศิลาจีบปัณณวีร์และไม่ช่วยปิดเื่นี้เป็ความลับหรอก
“น้ำมาแล้วค่ะ” เสียงของชาดังขึ้น ปัณณวีร์จึงลุกขึ้นไปเปิดประตูให้เพราะกลัวน้องจะไม่มีมือเปิด
“ไหนๆ ก็มาแล้ว งั้นสั่งข้าวมาทานที่นี่เลยไหมล่ะ” ศรุตถามขึ้น เพราะดูทรงแล้วน้องชายของเขาคงอยากจะอยู่ที่นี่ต่อ
“ดี” ศิลารีบบอกทันที
“จะกินอะไรล่ะ เดี๋ยวสั่งให้” ปัณณวีร์หยิบมือถือขึ้นมาเพื่อกดเข้าแอพสั่งอาหาร แต่ชาพูดขึ้นซะก่อน
“พี่วีร์คะ คุณมาวินมาหาค่ะ ตอนนี้รออยู่ข้างล่าง” ชาพูดเสียงเบา แต่เพราะในห้องนั้นเงียบไร้เสียงรบกวน ทำให้ศรุตและศิลาได้ยินไปด้วย
“อ่อ อื้ม เดี๋ยวพี่ลงไป” พูดจบชาก็ออกจากห้องไป
“มาวิน ลูกชายเ้าของ BBW ที่เคยบอกน่ะหรอ” ศรุตถาม
“ใช่ ไม่รู้จะมาทำไมอีกเหมือนกัน วันนั้นก็บอกไปชัดเจนแล้วนะ” เ้าของห้องลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปหาศิลาก่อนจะหยิกเข้าที่แก้มเบาๆ “หน้าบึ้งทำไม”
“พอแฟนผมมีชื่อเสียงขึ้นมาหน่อยก็เข้ามากัน” ศรุตหันหน้าหนีแล้วกลั้นขำกับความงอแงของน้องชายที่ไม่เคยจะแสดงออกกับใคร แม้แต่กับผู้เป็แม่ศิลาก็ไม่เคยทำนิสัยงอแงแบบนี้มาก่อน
คนภายนอกอาจจะเห็นเขาเป็คนเ็า ไม่ค่อยพูด หากให้เปรียบทุกคนก็คงจะเปรียบศิลาเป็เหมือนเสือที่น่าเกรงขาม แต่พออยู่กับปัณณวีร์ ศรุตเห็นเพียงลูกหมาที่ชอบเอาแต่ใจ หากว่าตัวเขาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แบบนี้บ่อยๆ ก็คงไม่อยากจะเชื่อว่าน้องชายเขาจะมีมุมแบบนี้
“ก็เหมือนกับเรานั่นแหละ ดังขึ้นเรื่อยๆ คนก็เข้าหาเยอะ แฟนคลับก็พากันเรียกว่าแฟนเรียกว่าสามีเต็มไปหมด” ปัณณวีร์ตอบกลับ หากเทียบกันแล้วตัวศิลาต่างหากที่มีคนเข้าหาตลอด
“แต่ผมเป็สามีพี่คนเดียวนะ ในทางพฤตินัย”
“แค่กๆ เลี่ยน” ศรุตแกล้งไอแล้วพูดเสียงเบา ทำเอาปัณณวีร์และศิลาหันไปมองพร้อมกัน ปัณณวีร์ทำเพียงอมยิ้ม แต่ศิลานั้นหากจับพี่ชายโยนออกจากห้องได้คงจะทำเพราะชอบขัดเขาสองคน
“รอที่นี่ก็แล้วกันนะ เดี๋ยวลงไปคุยกับเขาแล้วจะสั่งข้าวให้”
“อย่านานนะครับ ผมต้องทานข้าวให้ตรงเวลานะ” ศิลาจับมือเรียวขึ้นมาจูบหลังมือแ่เบา ก็แค่ไม่อยากให้คุยกับคนที่มาหานาน เื่ทานข้าวเป็แค่ข้ออ้างเท่านั้นปัณณวีร์รู้ดี
“ได้ครับ” หลังจากเ้าของห้องออกไปแล้วศรุตก็หันมามองหน้าน้องชายที่ชอบทำหน้าเดียวตลอดไม่ว่าจะดีใจ โกรธหรือไม่ชอบอะไร แต่พออยู่กับปัณณวีร์กลับแสดงสีหน้าออดอ้อนจนหมั่นไส้
“มองอะไรครับ” ศิลาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคนละโทนกับปัณณวีร์
“ไอ้เด็กนี่” ศรุตจับหมอนฟาดลงที่หน้าขาน้องชาย เป็ศรุตนั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ
สรุปแล้วก็เป็อย่างที่คิดไว้ว่ามาวินยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะเสนอผลตอบแทนให้กับปัณณวีร์หากว่ามาร่วมงานกับเขา แต่ก็ถูกปฏิเสธกลับไปอีกครา หลังจากคุยกับมาวินเสร็จแล้วปัณณวีร์ก็สั่งอาหารมาทานกันที่นี่ เป็เมนูที่ศิลาชอบทั้งนั้น พออาหารมาถึงก็ทำเอาศรุตอยากจะจับสองคนนี้มัดรวมกันแล้วทุบหัวซะจริงๆ
“ทำไมมีแต่ของชอบศิลา แล้วของฉันล่ะ?” ปัณณวีร์เงยหน้ามองก่อนจะพูดว่า
“ก็ทานด้วยกันนี่ไง”
“ให้มันได้อย่างงี้สิ” ศิลายิ้มอย่างผู้ชนะพลางแกะกุ้งแล้ววางไว้ให้ปัณณวีร์ ส่วนศรุตก็ทำได้แค่บ่นแต่ก็กินอยู่ดี เพราะถ้าไม่กินก็ไม่มีอะไรให้กินแล้ว
“ศิจะไปไหนหรอลูก” กนกเอ่ยถามลูกชายคนเล็กที่สะพายกระเป๋าเป้ใบใหญ่เดินลงมาจากบ้าน วันที่ศิลาจะบินไปเที่ยวที่ฟาร์มของปัณณวีร์มาถึง เ้าตัวไม่ได้บอกแม่ไว้ก่อนกะมาบอกวันนี้เลย
“่นี้ผมว่างน่ะครับ เลยอยากจะไปเที่ยวพักผ่อน”
“อ้าว แล้วจะไปที่ไหนยังไง ทำไมเพิ่งบอกแม่ล่ะ” เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะลูกชายเป็ถึงดาราดัง การจะไปเที่ยวให้เป็ส่วนตัวนั้นไม่ใช่เื่ง่ายเลยเพราะมักจะมีแฟนคลับตามไปตลอด
“ไปที่ฟาร์มของพี่วีร์ครับ ที่นั่นมีความเป็ส่วนตัวแน่นอน” ศิลาบอกกับผู้เป็แม่ นอกจากจะมีความเป็ส่วนตัวแล้ว บรรยากาศก็ปลอดโปร่งเหมาะกับการพักผ่อน แถมยังมีปัณณวีร์อีกด้วย
“ดารินไปด้วยไหม”
“ไม่ครับ ผมไปคนเดียว ไม่ต้องห่วงครับ ผมโตแล้วดูแลตัวเองได้” ศิลามองนาฬิกาที่ข้อมือก่อนจะพูดต่อ “ผมต้องไปแล้วเดี๋ยวตกเครื่อง ถึงแล้วจะโทรบอกนะครับ”
“อะ ... อ้าวศิเดี๋ยวสิลูก” กนกเรียกตามลูกชายแต่ศิลาก็ไม่ได้หันกลับมา
“ให้ลูกไปเที่ยวบ้างเถอะคุณ ทุกวันนี้งานของศิก็เต็มทุกวัน คงอยากจะไปเที่ยวคนเดียวบ้าง” เสียงของผู้เป็สามีดังขึ้น
“คุณธิป”
“คุณอย่าไปเ้ากี้เ้าการกับลูกนักเลยนะ เดี๋ยวลูกจะอึดอัดซะเปล่าๆ” ไม่ใช่ว่าไม่รู้เื่ที่ภรรยาพยายามหาคู่ให้ลูกชาย แม้จะเตือนไปบ้างแล้วแต่เธอก็ใช่ว่าจะฟัง
“ก็ฉันเป็ห่วงลูก อีกอย่างที่ฉันทำไปทั้งหมดก็ทำเพื่อลูกทั้งนั้น” กนกหันมาพูดกับสามี
“ผมรู้ครับ แต่ว่าลูกโตพอจะคิดเองได้ตัดสินใจเองได้แล้ว คุณเครียดแค่กับเื่งานก็พอแล้ว ไม่ต้องไปเครียดเื่ลูกๆ หรอกนะ” มือหนาจับไหล่ทั้งสองข้างของภรรยาแล้วลูบเบาๆ ก่อนจะพูดต่อเมื่อเห็นว่ากนกไม่ได้คัดค้านในสิ่งที่ตนเองบอก
“ไปเถอะครับ ทานข้าวเช้ากันเถอะ”
“คุณน่ะเข้าข้างลูกตลอดเลย” อาธิปยิ้มให้ภรรยาอย่างอ่อนโยนก่อนจะพาไปที่โต๊ะอาหารและทานมื้อเช้ากันสองคนสามีภรรยา
ปัณณวีร์เดินทางมาเชียงใหม่ก่อนศิลา ในตอนนี้ปัณณวีร์ถึงเชียงใหม่แต่ศิลายังคงอยู่ที่กรุงเทพ พวกเขาแยกกันเดินทาง คนละเวลา คนละสายการบิน ระหว่างที่รอคนน้องมาปัณณวีร์ก็มาเดินซื้อต้นไม้กับผู้เป็พ่อไปพลางเพื่อจะเอาไปปลูกข้างๆ ฟาร์ม
“พอแล้วมั้งลูก เดี๋ยวปลูกไม่หมดหรอก” เชวงบอก ลูกชายดูจะชอบการเลือกต้นไม้เหมือนกับแม่เขาไม่มีผิด
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับพ่อ เดี๋ยวให้ศิช่วยปลูก” เื่หางานให้คนน้องนั้นปัณณวีร์ถนัดนัก
“น้องมาพักผ่อน จะไปให้น้องทำได้ไงกัน ดาราดังมาเที่ยวฟาร์มทั้งทีนะ” เชวงเองก็ดูทีวีบ้างไรบ้างก็ได้เห็นศิลาอยู่บ่อยครั้ง ใครจะคิดว่าเด็กหนุ่มที่ไม่ค่อยพูดเท่าไหร่และตามติดพี่ชายอย่างศรุตมาเที่ยวที่ฟาร์มด้วยเมื่อราวๆ สิบปีก่อนนั้นจะกลายมาเป็ดาราดังในวันนี้
“ไม่เป็ไรหรอกครับ ปลูกต้นไม้ก็ถือเป็การพักผ่อนอย่างหนึ่งเหมือนกันนั่นแหละ” ปัณณวีร์หันมายิ้มแล้วเดินเลือกต้นไม้ต่ออีกหน่อยก่อนจะจ่ายเงินและขนขึ้นรถ
กว่าศิลาจะมาถึงก็เกือบๆ 10 โมง ปัณณวีร์พาพ่อไปซื้อของและทานข้าวเสร็จจึงมารอรับคนน้อง ร่างสูงใส่หมวกแก๊ปสีดำและแมสปิดบังใบหน้า ดึงฮู้ดขึ้นมาสวมทับอีกชั้นหลังออกจากด่านตรวจ แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นเขาต้องถอดทุกอย่างออกเพื่อให้เ้าหน้าที่เห็นหน้า ถึงคนที่ตามๆ หลังเขามาจะเห็นหน้าแต่ก็ยังดีที่ไม่ได้กรี๊ดกร๊าดอย่างแฟนคลับของเขา มีเพียงบางคนที่เอามือถือขึ้นมาถ่ายรูป
หลังจากนั้นเขาก็รีบใส่หมวกใส่แมสวิ่งออกมาทันที รถกระบะคันสี่ประตูเก่าที่พ่อของปัณณวีร์ใช้ขับมารับจอดรออยู่ พอเห็นศิลากึ่งเดินกึ่งวิ่งออกมา ปัณณวีร์ที่ยืนรออยู่ก็โบกมือให้พร้อมเปิดรถไว้รอ ศิลาเห็นจึงรีบวิ่งขึ้นรถอย่างเร็วแล้วหมอบหลบคนที่วิ่งตามตัวเองมา
'เอ้า! หายไปไหนแล้ว เมื่อกี้ฉันเห็นจริงๆ นะ'
'ฉันก็เห็น ศิลาจริงๆ แก'
'มองเห็นไกลๆ ยังรู้เลยว่าหล่ออ่ะ'
'เขาจะมาทำอะไรที่เชียงใหม่อ่ะ ไม่เห็นผู้จัดการหรือว่าบอดี้การ์ดเลยนะ'
ปัณณวีร์ที่ใส่แมสอยู่ทำท่าเดินไปเช็กต้นไม้ที่ซื้อไว้หลังรถ คนที่วิ่งตามศิลามาก็ทำเพียงมองรถกระบะเก่าๆ ที่จอดอยู่โดยไม่ได้คิดว่าดาราหนุ่มจะขึ้นรถแบบนี้ไป ปัณณวีร์ทำท่าดูต้นไม้เสร็จก็เดินไปขึ้นฝั่งข้างคนขับอย่างไม่รีบร้อนอะไร เพราะหากว่าลุกลี้ลุกลนจะยิ่งผิดสังเกตเอาได้
“ใส่มิดชิดแค่ไหนเขาก็จำได้” ปัณณวีร์พูดขึ้นแล้วหันไปมองศิลาที่ยังคงหมอบอยู่แม้รถจะเคลื่อนตัวออกมาแล้วก็ตาม
“ก็แหงละ หล่อขนาดนี้อะไรก็ปิดไม่มิดหรอก ขึ้นมาได้แล้วลูก” เชวงพูดขึ้น ศิลาจึงยืดตัวขึ้นแต่ก็ไม่ระวังทำเอาหัวชนกับหลังคาของรถ
“โอ๊ย!”
“ฮ่าๆๆๆ” ปัณณวีร์หลุดหัวเราะออกมาอย่างไม่เก็บอาการ ก่อนจะรีบปิดปากตัวเองไว้เมื่อเห็นว่าศิลามองมาอย่างงอนๆ
“พี่หัวเราะผม”
“ขอโทษๆ ก็ไม่ระวังหนิ” แม้จะหยุดขำไปแล้วแต่ก็ยังคงยิ้มอยู่
“เจ็บไหมล่ะนั่น”
“ไม่เจ็บครับ” ศิลาตอบเชวงและสบตาอีกฝ่ายผ่านกระจกเล็กๆ
“อ่ะนี่เบอร์เกอร์ปลา พี่ซื้อมาให้” ของชอบของศิลาถูกยื่นมาตรงหน้า เมื่อได้กลิ่นของมันก็ทำให้ศิลารู้สึกหิวทันทีเพราะยังไม่ได้กินอะไรั้แ่เช้า
ระยะทางจากสนามบินไปฟาร์มโคนมของพ่อปัณณวีร์นั้นก็ไกลพอสมควร ใช้เวลาเดินทางเกือบๆ สองชั่วโมงเลย พ่อของปัณณวีร์นั้นทำฟาร์มโคนมเป็หลัก และมีฟาร์มไก่ไข่อยู่แต่ก็เป็เพียงธุรกิจเสริม แต่ธุรกิจหลักคือการผลิตน้ำนมวัวดิบส่งให้กับสหกรณ์
เมื่อมาถึงบ้านปัณณวีร์ก็พาศิลาเอากระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นไปเก็บก่อน ซึ่งศิลาก็นอนห้องนอนแขก ซึ่งความตั้งใจจริงคือเอาไว้ให้สำหรับลูกคนที่สอง เพราะเชวงคุยกับภรรยาไว้แล้วว่าจะมีลูกกันสองคน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีเพราะเธอได้จากไปก่อน แม้แต่ปัณณวีร์เองก็ยังได้เห็นแค่เพียงรูปถ่ายของผู้เป็แม่
“น้องจะอยู่ได้รึเปล่าลูก ห้องนั้นมันไม่มีแอร์นะ” เชวงถามลูกชาย
“ถ้าอยู่ห้องนั้นไม่ได้ก็ให้มานอนห้องกับผมก็ได้ครับพ่อ ไม่เป็ไรหรอก” แน่นอนว่าปัณณวีร์รู้ว่ายังไงศิลาก็นอนห้องนั้นไม่ได้แน่ๆ คนขี้ร้อนอย่างนั้นจะทนอยู่ได้ยังไงกับแค่พัดลมเพียงตัวเดียว ถ้าห้องที่จะนอนไม่มีแอร์คืนนั้นศิลาจะนอนไม่หลับ เหมือนกับตอน 10 ปีที่แล้วที่มากัน ในตอนนั้นศิลาก็ต้องย้ายมานอนที่ห้องกับปัณณวีร์เพราะนอนกับพี่ชายไม่ได้ แม้จะมีพัดลมถึงสองตัวก็ไม่สามารถทำให้ศิลาข่มตาหลับได้เลย
“พ่อว่าเดี๋ยวพ่อติดแอร์ไว้ดีกว่าเนอะ เผื่อว่าแขกมาอีกจะได้มีแอร์ใช้”
“ก็ดีนะครับ ว่าแต่นี่ต้นอะไรครับ”
“อะโวคาโด พ่อได้เมล็ดมันมาจากอ้นน่ะ เอามาเพาะไว้แล้วจะเอาไปลงปลูกที่ท้ายฟาร์ม”
“จริงสิ อ้นมันกลับมาจากเวียดนามั้แ่เมื่อไหร่ครับ” อ้นเพื่อนสมัยเด็กของปัณณวีร์ เพิ่งแยกจากกันก็ตอนเรียนมหาลัย ปัณณวีร์กับน้ำหนึ่งไปเรียนที่กรุงเทพ ส่วนอ้นนั้นไปเรียนที่เวียดนามกับแม่
“หลายปีแล้ว กลับมาช่วยพ่อเขาทำไร่ชานั่นแหละ” ปัณณวีร์พยักหน้าและคิดว่ากลับบ้านมาครั้งนี้ต้องไปหาเพื่อนซะหน่อยเพราะไม่ได้เจอกันนานมากแล้ว
“ทำอะไรกันอยู่หรอครับ ให้ผมช่วยไหม” ศิลาเดินออกมาจากบ้านหลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็เสื้อยืดตัวบางและกางเกงขาสั้นสบายๆ
“ลุงแค่มาดูต้นไม้ที่เพาะไว้ หิวกันรึยัง นี่ก็เที่ยงแล้วนะเดี๋ยวลุงทำอาหารให้กิน”
“ยังเลยครับพ่อ ผมยังอิ่มอยู่เลย”
“ผมก็เหมือนกัน” เพราะเพิ่งพากันกินอะไรไปได้ไม่นานนักก็เลยยังคงไม่หิวกัน
“พ่อต้องทำอะไรไหมครับฟาร์ม” ปัณณวีร์เอ่ยถาม
“พ่อก็ว่าจะเข้าไปดูวัวหน่อยแหละ ปล่อยไปเดินกันอยู่”
“งั้นพ่อไปเถอะครับ ถ้าหิวเดี๋ยวผมทำกินเอง”
“เอางั้นหรอ” ปัณณวีร์พยักหน้ายิ้มๆ และพูดต่อ
“ตอนเย็นพ่อค่อยมาโชว์ฝีมือก็แล้วกันครับ”
“ได้ๆ แล้วจะไปไหนกันรึเปล่าล่ะ” เชวงเดินไปล้างไม้ล้างมือ ปัณณวีร์หันมองศิลาก่อนจะพูดขึ้น
“จะพาคุณดาราไปเตรียมหลุมไว้ปลูกต้นไม้ครับ” ศิลาเลิกคิ้วมองอย่างสงสัย ตัวเขาเคยทำอะไรแบบนี้ซะที่ไหน ศิลานั้นเป็คนที่รักสะอาดมากเลยก็ว่าได้
“แน่ใจนะ แกล้งน้องรึเปล่าเนี่ย” เชวงถามอย่างไม่แน่ใจ ดูก็รู้แล้วว่าศิลาคงไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่เ้าตัวดันตอบขึ้นมาเองราวกับอยากจะทำให้พ่อของปัณณวีร์หรือว่าที่พ่อตาในอนาคตเห็นว่าเขาทำอะไรได้มากกว่าที่คิด
“ผมทำได้ครับ แค่นี้สบายมาก”
“งั้นหรอ เอ้าๆ ตามใจ อุปกรณ์อยู่ที่โรงเก็บของนะ”
“ครับพ่อ เดี๋ยวยังไงตอนเย็นๆ ผมจะไปให้อาหารไก่เองนะครับ” ปัณณวีร์อยากจะแบ่งเบาภาระของพ่อบ้าง ไม่ใช่กลับมาเพื่อพักผ่อนเพียงอย่างเดียว เชวงตอบรับลูกชายก่อนจะเดินไปที่โรงจอดรถ ขับรถเอทีวีคันสีแดงดำคันโปรดออกไปเพื่อไปดูวัว
“ขุดดินหรอครับ?” ศิลาถามขึ้น
“ใช่ ทำได้ไม่ใช่หรอ ทำให้พ่อเห็นสิ” ปัณณวีร์อมยิ้มก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านไปเอาเสื้อแขนยาวมาใส่กันแดดและหมวก ไม่ลืมที่จะเอามาให้ศิลาด้วย
“วีร์ไม่อยู่หรอ?” กนกถามศรุตเมื่อลูกชายมาบอกว่าปัณณวีร์ไม่อยู่จึงไม่ได้คุยเื่เซ็นสัญญา เพราะเขาไม่อยากให้แม่ไปกดดันปัณณวีร์มากในเมื่อเ้าตัวบอกแล้วว่าขอเวลาหน่อย
“ครับ กลับบ้านน่ะครับ สองสามวัน”
“ศิลาก็ไปที่ฟาร์มของวีร์นะ”
“อ่อ ใช่ครับ ผมเป็คนบอกน้องเองแหละ เพราะมันเป็ส่วนตัวดีหนิครับ น้องอยากจะไปเที่ยวคนเดียวด้วยไม่ได้อยากเอาคนไปดูแลหรือกันแฟนคลับ ดังนั้นที่นั่นก็เหมาะที่สุดแล้วครับ” ศรุตอธิบายให้ฟัง
“อื้อ ศิลาไม่เห็นบอกแม่เลย มันน่าน้อยใจไหมเนี่ย”
“คงกลัวว่าถ้าบอกก่อนคุณแม่จะไม่ให้ไปละมั้งครับ”
“แม่ใจร้ายขนาดนั้นเลยรึไงกัน” ศรุตยิ้มก่อนจะเข้าไปกอดผู้เป็แม่
“ไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อยครับ ไปเถอะครับผมหิว แล้วไปหาอะไรทานกันดีกว่า” กนกรับคำศรุตพร้อมกับลูบแขนลูกชายที่ขี้อ้อนไปมา ช่างเป็พี่คนโตแต่กลับอ้อนยิ่งกว่าศิลาที่เป็ลูกชายคนเล็กซะอีก เพราะศิลานั้นแทบไม่เคยออดอ้อนเธออย่างนี้เลยั้แ่เล็กจนโต
และที่กนกไม่รู้คือ คนเดียวที่ศิลาอ้อนก็มีเพียงปัณณวีร์เท่านั้น...
TBC.