ตอนที่ 2
หลังจากงานรับรางวัลในวันนั้นมา ปัณณวีร์ก็มีคนติดต่อจากหลายช่องหลายบริษัทเรื่อยๆ เพื่อจะดึงตัวไปร่วมงานด้วย แต่ปัณณวีร์ปฏิเสธไปก่อนด้วยเหตุผลที่ว่าตอนนี้งานของเขาแน่นมาก คาดว่าจะแน่นตลอดทั้งปีเพราะทางเจทีเอ็นเองก็้าละครเช่นเดียวกัน ทุ่มเงินสนับสนุนให้เขาจำนวนไม่น้อยเลย และงานที่เขาวางแพลนเอาไว้ั้แ่ปีที่แล้วว่าปีนี้จะทำอะไรบ้างนั้นก็แทบจะยิงยาวไปจนเกือบสิ้นปี หากแต่ปัณณวีร์ก็ไม่ได้ใช้คำปฏิเสธที่ไร้เยื่อใย เขาเลือกใช้คำพูดที่เหมาะสมและบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าหากมีโอกาสเขาก็พร้อมจะร่วมงานด้วย
และปัณณวีร์รู้ดีว่าทาง เจทีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ คงไม่ปล่อยตัวเขาไปทำงานกับที่อื่นง่ายๆ แน่ จึงได้ยอมสนับสนุนเงินทุนมาให้เขาต่อเื่เยอะขนาดนี้ และโปรเจคต่อไปที่ปัณณวีร์จะทำก็คือละครที่เขาซื้อลิขสิทธิ์นิยายของนักเขียนในเว็บมาั้แ่เมื่อปลายปีที่แล้ว แน่นอนว่าก่อนเขาจะทำละครเื่ไหนตัวเขาจะต้องดูบทให้ดีซะก่อนและต้องเตรียมอะไรหลายๆ อย่าง นิยายเื่นี้ดังพอตัวเพราะนักเขียนได้สร้างสรรค์ผลงานมาหลายเื่ ปัณณวีร์เข้าไปอ่านดูก็ชื่นชอบพล็อตของเื่จึงได้ตัดสินใจติดต่อพูดคุยกับนักเขียนทันที
“พี่วีร์คะ ทุกอย่างเตรียมเรียบร้อยแล้วค่ะ ผู้กำกับก็มาถึงแล้ว” ชา ผู้ช่วยของปัณณวีร์ เธออายุน้อยกว่าปัณณวีร์แค่ 2 ปี ทำงานเก่ง ทำได้ทุกอย่าง ช่วยเหลืองานของปัณณวีร์ได้อย่างมาก เพราะตัวปัณณวีร์เองจะทำงานคนเดียวรับรองว่าต้องหัวหมุนอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงต้องมีผู้ช่วยที่เป็งานทุกอย่าง
“โอเคครับ งั้นเดี๋ยวไปห้องแคสกันเลย ชาไปบอกนักแสดงที่มาแคสนะ อีก 20 นาทีจะเริ่ม” การแคสนักแสดงในวันนี้นั้นหลักๆ คือแคสหาตัวรองและตัวประกอบของเื่ เนื่องจากตัวพระเอกนางเอกนั้นได้ทำการเลือกไปก่อนหน้านี้แล้ว
การแคสติ้งนักแสดงในวันนี้ก็ใช้เวลาเกือบทั้งวันก็ว่าได้ เพราะมีคนมาเยอะพอสมควร ทั้งที่เคยเห็นหน้าเห็นตาและที่ไม่เคยเห็นก็มี ซึ่งวันนี้ก็ได้เลือกเอาไว้ก่อนรอบแรก จะมีการนัดรอบที่สองอีกที หลังจากคนที่มาแคสงานได้แยกย้ายกันกลับไปปัณณวีร์กับทีมงานก็มาประชุมพูดคุยกันต่ออีกเกือบจะสองชั่วโมง เนื่องด้วยละครเื่นี้ปัณณวีร์เคยให้สัมภาษณ์ไปเมื่อปีที่แล้ว เหล่าแฟนคลับของนักเขียนต่างก็คาดหวังและตั้งตารอ ทำให้ปัณณวีร์ต้องทุ่มเทกับเื่นี้อย่างมาก การนำนิยายของนักเขียนที่มีคนติดตามเยอะมาทำละครก็เหมือนเป็ดาบสองคม หากแคสตัวนักแสดงออกมาไม่ดี ไม่ตรงกับคาแรคเตอร์ของตัวละครในนิยายก็มักจะถูกเอามาเปรียบเทียบและแสดงความคิดเห็นกัน ซึ่งก็มีให้เห็นบ่อยครั้ง
“พี่วีร์ ไม่กลับไปพักผ่อนหรอคะ พรุ่งนี้ยังต้องทำงานอีกเยอะนะคะ นี่ก็ 2 ทุ่มแล้ว” ชาเดินเข้ามาบอกกับผู้เป็หัวหน้า ปัณณวีร์มองเวลาก่อนจะเงยหน้าขึ้นพูดกับชา
“ชากลับก่อนได้เลยนะ โทษทีพี่ทำงานเพลินเลยอ่ะ” เพลินจนเขาลืมเวลาเลิกงานของผู้ช่วยไปและชาก็เป็คนที่หากปัณณวีร์ยังไม่กลับตัวเขาก็จะยังไม่กลับด้วยเผื่อว่าจะได้ช่วยงานพี่ได้
“กลับพร้อมกันเถอะค่ะ ยามเขาจะได้เข้ามาปิดไฟปิดออฟฟิศ ตอนนี้ทุกคนกลับกันหมดแล้วนะคะ” ออฟฟิศที่ปัณณวีร์ใช้อยู่นั้นเป็ตึกของพ่อศรุตที่ซื้อตึกเก่ามารีโนเวทเพื่อปล่อยเช่า และปัณณวีร์โชคดีที่ได้เช่ามาในราคาที่เป็กันเอง ซึ่งออฟฟิศของปัณณวีร์ก็อยู่ไม่ห่างจากตึกของเจทีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์นัก พ่อและแม่ของศรุตเอ็นดูเขาเหมือนลูกคนหนึ่งเลยก็ว่าได้ นอกจากจะเป็เพื่อนลูกชายคนโตแล้ว ยังเป็คนที่ขยันและทำงานเก่ง เป็แบบที่กนกชอบ
แต่ก็มีอีกเื่ที่กนกยังไม่รู้ เื่ที่ปัณณวีร์กับศิลาคบหากันอยู่ ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้ารู้จะเป็ยังไง...
“พี่ขออยู่ต่อสักครึ่งชั่วโมงก็แล้วกัน พอดีพี่ไม่อยากให้มันขาด่น่ะ ชากลับไปพักผ่อนเถอะ”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ อย่าอยู่เพลินจนยามปิดบริษัทนะคะ ไม่งั้นชาไม่มาบอกเขาเปิดให้นะ” ปัณณวีร์ยิ้มให้พร้อมพยักหน้ารับ เนื่องจากว่าวันนี้ชาจะแวะไปนอนค้างกับแม่ที่บ้าน หากว่ากลับไปห้องเขาคงจะอยู่เป็เพื่อนปัณณวีร์ต่อ
“ไม่เพลินๆ ใกล้จะเสร็จแล้วเนี่ย”
“ถ้างั้นไว้เจอกันพรุ่งนี้นะคะ”
“ครับ กลับดีๆ นะ”
“ค่ะ” หลังน้ำชากลับออกไป ปัณณวีร์ก็หันมาสนใจงานของตัวเองต่อ ตอนนี้เขาเตรียมสคริปต์ไว้ให้สำหรับทีมงานอยู่ สคริปต์ที่ต้องแปลงจากบทออกมาเป็สิ่งของหรืออุปกรณ์อะไรต่างๆ นานาที่ต้องมีประกอบในแต่ละฉาก
ปัณณวีร์มองเวลาที่มุมหน้าจอไอแพดอีกครั้งหลังจากที่ทำงานเสร็จ ตอนนี้ก็เกือบจะ 3 ทุ่มแล้ว ร่างบางจึงรีบเก็บของเพื่อที่จะกลับคอนโด เมื่อเก็บของใส่กระเป๋าเสร็จสรรพ ปัณณวีร์ก็เดินออกจากห้องทำงานตรงไปที่ลิฟต์ ระหว่างที่รอก็เอามือถือขึ้นมาเช็กแต่ก็ไม่เห็นมีข้อความจากคนที่อยากคุยด้วยเลย วันนี้ทั้งวันพวกเขาต่างคนก็ต่างยุ่งจึงไม่ได้คุยกันเลยแม้แต่ประโยคเดียว ทันทีที่เสียงเปิดประตูลิฟต์ดังขึ้นปัณณวีร์ก็ปิดมือถือแล้วเงยหน้ามอง แต่ก็ทำเอาใเล็กน้อยเมื่อเห็นคนยืนอยู่ในลิฟต์ ใส่ชุดดำ ใส่หมวกและหน้ากากอนามัยปิดบังใบหน้า
“ศิ!” เมื่อมองดีๆ แล้วกลับพบว่าคนตรงหน้าคือศิลา ศิลาเอื้อมมือมาจับแขนคนพี่แล้วดึงให้เข้ามาในลิฟต์ด้วยกันก่อนจะกดลงไปที่ชั้นหนึ่ง
“มาได้ยะ ... อื้อออ” ทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลงศิลาก็ถอดหน้ากากอนามัยออก ปัณณวีร์ยังเอ่ยถามได้ไม่ครบประโยคก็ถูกศิลาดึงเข้าไปจูบซะแล้ว ปัณณวีร์เองไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด ปล่อยให้คนน้องทำตามใจ บดเบียดริมฝีปากเข้าหากันอย่างดูดดื่ม ริมฝีปากบางของปัณณวีร์ถูกขบเม้มและดูดดึงอย่างเอาแต่ใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ศิลาจะยอมผละออก
“คิดถึงไง ก็เลยมารับ”
“วันนี้ไม่ได้กลับไปนอนบ้านหรอ” คนถูกถามส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะใส่แมสกลับตามเดิม แม้บริษัทจะไม่มีคนอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็เพื่อความปลอดภัย เพราะระวังกันแบบนี้ทั้งสองจึงแอบคบกันมาได้ถึงตอนนี้ ปัณณวีร์เองก็เอาขึ้นมาใส่บ้าง
“นอนบ้านหลายวันแล้ว จะมานอนคอนโดสักสองสามวัน” ศิลาพูดขึ้นขณะเดินไปที่รถของปัณณวีร์ รถที่ก่อนหน้านี้ก็ติดฟิล์มธรรมดา ั้แ่ที่คบกับศิลามาเขาก็ต้องไปเปลี่ยนเป็ฟิล์มดำทั้งคัน
“อื้ม แล้วพรุ่งนี้มีงานรึเปล่า”
“มีถ่ายโฆษณาตอนบ่ายครับ เอาจริงผมอยากถ่ายละครแล้วนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่าจะได้อยู่กับพี่ไง ได้เห็นพี่ตลอดด้วย” คนพี่ยิ้มจนตาหยี กดเปิดรถและเดินมาฝั่งคนขับ แต่ศิลาถามขึ้นก่อน “ผมขับให้ไหม พี่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว”
“ไม่เป็ไร เดี๋ยวตอนออกต้องเปิดกระจกบอกพี่ยามเขา ขึ้นรถเถอะ” ศิลาพยักหน้ารับแล้วเปิดประตูขึ้นรถไป
วันแคสติ้งนักแสดงรอบที่สองมาถึง วันนี้เป็วันที่เลือกตัวนักแสดงจริงๆ ว่าใครจะได้บทบาทไหนจากที่คราวก่อนได้เลือกเอาไว้หลายคน ปัณณวีร์นั่งคุยกับผู้กำกับที่ได้จ้างมา เป็ผู้กำกับมากฝีมือและเขาคือคนที่กำกับเื่ของปัณณวีร์เื่ที่ได้รับรางวัลมาอีกด้วย
คนที่มาช่วยเป็กรรมการ วันนี้นอกจากตัวปัณณวีร์และผู้กำกับแล้วก็ยังมีตัวนักเขียนเองที่เข้าถึงตัวละครได้ดีที่สุด รู้ว่าใครที่เหมาะกับบทไหน เพราะนักเขียนคือคนที่สร้างตัวละครนั้นขึ้นมา
“คนนี้ใช้ได้เลยค่ะคุณวีร์ รูปร่างและบุคลิกเขาได้เลย เหมือนที่สวยคิดเอาไว้” สวย นักเขียนเ้าของเื่นี้กระซิบบอกกับปัณณวีร์ คนแล้วคนเล่าที่เข้ามาแคสก็กินเวลาไปไม่น้อย ขนาดคนไม่ได้เยอะเท่าเมื่อวาน
“ตามนี้นะครับ” ปัณณวีร์สรุปรายชื่อของนักแสดงหลังจากทำการแคสติ้งเสร็จ พวกเขาก็เข้ามาพูดคุยและตกลงกัน
“ค่ะ เพอร์เฟคมากค่ะ” สวยที่เป็นักเขียนเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม ตัวเขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยว่าตัวละครที่เขาสร้างขึ้นมาในโลกของนิยายจะได้ออกมาสู่โลกภายนอก
“โอเคครับ ชาแจ้งไปที่น้องๆ เขาทีนะ แล้วก็เดี๋ยวจะนัดวันอีกที” ปัณณวีร์หันไปสั่งงานกับผู้ช่วย ชาพยักหน้ารับทันที “วันนี้ต้องขอบคุณทุกคนมากครับ”
“สวยรอชมนะคะคุณวีร์”
“ครับคุณสวย” ปัณณวีร์ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แม้ใครจะบอกว่าเขาหน้าหวานแต่ความหน้าหวานของเขาก็ใช่ว่าจะทำให้ผู้หญิงหลายคนเขินไม่ได้
ทางฝั่งของศิลา เย็นของวันนั้นเขาก็ถูกผู้เป็แม่พามาทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่การทานข้าววันนั้นก็ไม่ได้มีแค่พวกเขาสองแม่ลูก แต่กลับมีแขกมาอีก 2 คน ซึ่งก็ทำเอาศิลาแสดงออกทางสายตากับผู้เป็แม่อย่างชัดเจนว่าเขาไม่พอใจ เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศิลาถูกแม่พามาทำความรู้จักกับลูกสาวของเพื่อนๆ จุดประสงค์เพื่ออะไรนั้นศิลาก็รู้ดี
“ทำความรู้จักกันไว้ ยังไงซะเดี๋ยวก็ได้ถ่ายละครด้วยกัน ว่าไหมคะคุณพิษณุ” กนกพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มและถามความเห็นกับคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับตนเอง
“จริงครับ น้องเพิ่งจะได้งานละครเื่นี้เป็เื่แรก ยังไงอาต้องฝากศิลาช่วยดูแลน้องด้วยนะ” พิษณุ เ้าของโชว์รูมรถยนต์นำเข้าหันมองลูกสาวอย่างยิ้มๆ และบอกกับศิลา
“น้องนับดาวก็มีผู้จัดการส่วนตัวอยู่ ผมคิดว่าเขาก็น่าจะดูแลได้ดีนะครับ” ศิลาตอบกลับไป คิดอย่างไรเขาก็ตอบแบบนั้น เพราะรู้ว่าแม่้าจะจับคู่ให้เขา จนบางทีเขาเองก็อยากจะบอกออกไปว่าเขามีแฟนแล้ว แล้วก็รักแฟนมากด้วย แต่ก็ทำไม่ได้จึงได้แต่อึดอัดใจอยู่อย่างนี้
“พี่ศิลาเป็นักแสดงรุ่นพี่ ครั้งนี้ได้ร่วมงานด้วยดาวตื่นเต้นมาก ต้องฝากเนื้อฝากตัวกับพี่ศิลาด้วยค่ะ” นับดาวพูดแก้สถานการณ์ที่ตอนนี้ดูจะอึมครึม นับดาวเป็ลูกสาวของพิษณุ เธอได้งานละครเื่แรกก็คือได้เล่นคู่กับศิลาเลย ซึ่งในตอนแรกนั้นก็เป็กนกที่แนะนำให้ปัณณวีร์
แต่ปัณณวีร์ไม่ได้เลือกนักแสดงที่หน้าตา ฐานะหรือว่ามีคนดัน เขาให้นับดาวมาลองแคสบทดูแล้ว และให้นักเขียนอย่างสวยมาช่วยดู และเธอตรงตามคาแรคเตอร์ตัวละครนางเอก และการแสดงก็ถือว่าใช้ได้เลย ปัณณวีร์จึงได้ให้โอกาสเธอ ตลอดการทานอาหารเย็นศิลานั่งเงียบไม่พูดไม่ตอบอะไรออกไปอีก อาหารมื้อเย็นนั้นเป็มื้อที่เขาแทบจะไม่อร่อยเลยแม้อาหารจะหรูหราเพียงใดก็ตาม
“ต้องขอโทษแทนลูกชายของป้าด้วยนะหนูดาว ขอโทษคุณพิษณุด้วยค่ะ ศิลาเขาเป็คนที่ไม่ค่อยพูดแบบนี้อยู่แล้ว กับคนที่ไม่ได้สนิทก็จะพูดน้อย แต่เดี๋ยวหนูดาวก็ได้ถ่ายละครกับพี่เขาแล้ว ต้องสนิทกันขึ้นมาแน่นอนค่ะลูก” กนกพูดเสียงอ่อนเสียงหวานหลังจากศิลาขอตัวไปเข้าห้องน้ำ บนโต๊ะอาหารตอนนี้ก็มีเพียงพวกเขาสามคน
กนกเห็นว่าลูกชายก็อายุจะ 30 แล้วอีกไม่กี่ปี ใจหนึ่งก็ดีใจเพราะเขารักและหวงลูกชายคนเล็กมาก แต่อีกใจก็อยากให้ลูกมีแฟน มีคนมาดูแลเพราะเธอเองก็แก่ลงทุกวัน อยากจะอุ้มหลานแล้ว ลูกชายคนโตก็เอาแต่ทำงาน แม้จะมีข่าวคบหาใครบ้างแต่ไม่นานก็เลิก
ส่วนศิลานั้นเธอแทบจะไม่เห็นว่าลูกชายสนใจเื่นี้เลย แม้แต่คู่นอนก็ไม่มีให้เห็นซึ่งมันก็เป็เื่ดี เธอเองก็เคยคุยกับสามีอยู่บ่อยครั้งว่าลูกชายนั้นไม่ได้มีปัญหาด้านสมรรถภาพทางเพศใช่ไหม และด้วยความห่วงและหวงลูก กนกก็หาผู้หญิงที่ดูดีทั้งการงาน ฐานะและการศึกษามาให้ศิลาดูตัวบ่อยครั้ง หากจะต้องมีสะใภ้คนเล็กนั้นเธออยากจะหาให้ลูกชายเอง
แต่ไม่ว่าจะกี่คนต่อกี่คน ศิลาก็ไม่เคยให้ความสนใจใครเลยแม้แต่คนเดียว มารู้จักกันในวันนั้น วันต่อไปก็ไม่ได้สานต่อแม้เธอพยายามเชียร์แค่ไหนก็ตาม เขาก็มักจะเอาเื่งานมาอ้างตลอดและชอบหนีไปอยู่คอนโดหากว่าโดนเธอบังคับมากๆ เข้า หลังๆ มานี้เธอจึงลดลงบ้าง แต่ก็ใช่จะไม่หาคนมาให้ อย่างวันนี้ก็เช่นกัน แต่ดูท่าแล้วก็เหมือนว่าจะไม่สนใจอีกตามเคย
ผู้ชายที่ไม่สนใจผู้หญิงมันก็มีไม่กี่เหตุผลนักหรอก หากว่าไม่มีคนที่รักอยู่แล้ว...ก็ไม่ได้ชอบผู้หญิง ซึ่งสองข้อนี้ตัวกนกเองไม่เคยจะนึกถึงเลยด้วยซ้ำ
“ไม่เป็ไรหรอกค่ะคุณป้า ดาวเข้าใจ” นับดาวตอบกลับด้วยรอยยิ้มแสนสดใส
“หนูดาวเนี่ยน่ารักจริงๆ ป้าอยากได้มาเป็ลูกสะใภ้มากเลย” กนกพูดปนเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ศิลาเขาชอบลูกสาวผมด้วยรึเปล่าล่ะครับคุณกนก” เมื่อคนเป็พ่อของอีกฝ่ายพูดแบบนั้นก็ทำเอากนกหน้าเจื่อนลงทันที ไม่ใช่จะดูปฏิกิริยาของลูกชายไม่ออก เพียงแต่เธออยากจะลองดูอีกสักครั้ง และเธอมองตาของนับดาวก็พอจะรู้ว่าเด็กคนนี้เป็คนที่มีความมั่นใจในตัวเองสูง ความสวยก็มี สวยแบบมีเสน่ห์ คิดว่าคงจะทำให้ศิลาสนใจได้ไม่ยาก
“แหมม เื่แบบนี้มันต้องใช้เวลากันหน่อยสิคะ ตอนนี้ไม่ชอบแต่ต่อไปก็ไม่แน่”
“ใช่ค่ะคุณพ่อ” นับดาวเอื้อมมือไปแตะที่แขนของผู้เป็พ่อเล็กน้อยพร้อมส่งยิ้มให้ กนกยิ้มออกมาได้อีกครั้งก่อนจะมองดูว่าเมื่อไหร่ลูกชายจะกลับเข้ามา แต่คนที่เดินเข้ามาเป็คนขับรถของเธอแทน
“ศิลาล่ะ” กนกถามขึ้น
“คุณศิลาให้ผมมาบอกคุณกนกว่าจะไปรอที่รถครับ คุณศิลาปวดหัวครับให้คุณกนกรีบกลับ” คนขับรถพูดจบก็ก้มหัวให้เล็กน้อยแล้วเดินออกไปเมื่อกนกพยักหน้ารับ
“เด็กคนนี้เสียมารยาทซะจริง ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เป็ไรหรอกครับ ถ้างั้นเราก็แยกกันกลับเลยดีไหมครับ” พิษณุพูดขึ้นแม้ในใจจะรู้สึกไม่ชอบใจนักกับการกระทำของศิลาที่ดูเหมือนไม่อยากจะเจอพวกเขา
“ค่ะ อย่างนั้นก็ได้”
“แล้วเจอกันใหม่ค่ะคุณป้า เดินทางกลับดีๆ นะคะ” นับดาวลุกขึ้นยืนเพื่อส่งกนกออกจากห้องอาหารไป ก่อนจะหันกลับมาสบตากับผู้เป็พ่อ
“บอกตรงๆ ว่าพ่อไม่ชอบ เล่นละครด้วยกันนั้นเป็เื่งาน พ่อไม่อะไร แต่ถ้าลูกจะลองคุยๆ กับเขาอย่างที่คุณกนกเชียร์พ่อไม่เห็นด้วย ดูก็รู้ว่าเขาไม่ได้สนใจลูกสาวพ่อสักนิด” พิษณุกอดอกพูดอย่างหงุดหงิด
“ใจเย็นๆ สิคะคุณพ่อ ดาวว่าพี่เขาก็น่าสนใจดีนะคะ คนแบบนี้ถ้าได้เป็แฟนคงไม่ต้องกังวลใจอะไร” คนเป็พ่อเลิกคิ้วอย่างสงสัย
“ยังไงนะลูก”
“ก็ดูสิคะ เ็าใส่ทุกคนแบบนี้ ปัญหาเื่มือที่สามไม่มีแน่ๆ ดาวชอบคนแบบนี้ค่ะ” นับดาวนั่งลงข้างๆ พ่อของเธออีกครั้ง
“รวมถึงเ็ากับลูกด้วยน่ะหรอ”
นับดาวหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “คนแบบนี้ ถ้ากับคนที่เขารักเขาคงไม่เ็าใส่หรอกมั้งคะ เขาดูน่าค้นหาน่าสนใจดี”
“นับดาว เจอกันแค่ครั้งแรกเองนะ หนูจะตัดสินใจเร็วไปรึป่าว”
“ความรู้สึกไม่ต้องอาศัยเวลามากมายหรอกค่ะ ลองดูก็ไม่เสียหายหนิคะ ระดับนับดาวแล้วเข้าหาใครมีหรอเขาจะไม่สนใจอ่ะ จริงไหมคะ”
“เื่นั้นมันก็ใช่ ลูกสาวพ่อทั้งสวยทั้งเก่งแบบนี้ คนที่ปฏิเสธก็มีแต่คนที่ตาไม่ดีเท่านั้นแหละ” พิษณุถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้จะเห็นด้วยกับลูกสาวเท่าไหร่ นับดาวยิ้มให้กับคำชมของพ่อ แม้จะรู้ว่าพ่อชอบพูดชมให้ตัวเองดีใจแต่เธอก็ติดไปแล้ว ติดชอบฟังคำพูดหวานหูและยกยอปอปั้นเธอ
กนกเดินมาขึ้นรถตู้ที่คนขับรถเปิดประตูให้เธอทันทีที่เดินไปถึง ด้านในรถก็มีศิลานั่งกดมือถืออยู่ พอเห็นว่าแม่มาแล้วเขาจึงได้เก็บมือถือเอาไว้
“ศิลา ลูกออกมาก่อนแบบนี้ไม่ดีเลยนะ” กนกพูดขึ้น
“คุณแม่ก็รู้ว่าผมไม่ชอบ แต่ก็ยังทำแบบนี้ บอกว่าจะมาทานข้าวกัน ผมก็นึกว่าเราจะมาทานกันตามประสาแม่ลูก” ศิลาพูดด้วยน้ำเสียงปกติแม้ในใจจะไม่พอใจผู้เป็แม่อยู่ก็ตามที แต่เขาไม่เคยจะขึ้นเสียงใส่เธอเลยสักครั้ง
“แม่ก็แค่อยากแนะนำให้ลูกรู้จัก ไหนๆ ก็จะได้ร่วมงานกันแล้ว ทำความรู้จักกันไว้ก็ไม่เสียหาย”
“ไว้ค่อยทำความรู้จักกันในสถานการณ์อื่นก็ได้ครับ พามาทานข้าวแบบนี้ฝ่ายนั้นคงคิดว่าคุณแม่อยากจะได้เขาเป็สะใภ้ใจจะขาด”
“แม่ก็อยากได้จริงๆ” กนกหันมองหน้าลูกชาย
“คุณแม่ครับ”
“ศิลา ลูกก็อายุจะ 30 แล้วนะ แม่ไม่เห็นว่าลูกจะสนใจผู้หญิงคนไหนเลยอ่ะ มีปัญหาอะไรบอกแม่ได้” ศิลามองหน้าผู้ให้กำเนิด ในใจก็แอบคิดว่าหากบอกออกไปแม่จะสนับสนุนหรือคัดค้านกันแน่ ตัวศิลาเองก็ไม่แน่ใจเลยสักนิด
“แม่ครับ ตอนนี้งานของผมก็กำลังไปได้ด้วยดี ผมไม่อยากคิดเื่นี้ครับ”
“แม่เข้าใจ แต่คุยๆ กันดูหน่อยก็ได้หนิลูก”
“แค่งานแต่ละวันของผมก็เหนื่อยมากพอแล้วครับ ไม่มีเวลาไปคุยกับใครหรอก” ศิลาบอกอย่างเหนื่อยใจ
“แม่จะไม่บังคับ แต่ถึงยังไงได้แสดงละครด้วยกันแถมยังเป็คู่พระนางอีก ต้องมีกระแสจิ้นอยู่แล้วถ้าเคมีเข้ากัน ลูกก็ต้องเทคค...”
“นั่นก็เื่งานไงครับ ผมเข้าใจว่ายังไงก็ต้องสร้างกระแสให้กับละคร” ศิลาพูดแทรกขึ้นมาก่อนที่กนกจะได้พูดจบ เธอถอนหายใจอย่างเหนื่อยๆ
“โอเคๆ เราจะไม่พูดเื่นี้กัน” เธอตัดใจไปก่อนเพราะหากยังคงพูดเื่นี้กันต่อศิลาอาจจะโกรธมากกว่านี้
“ครั้งหน้าถ้าคุณแม่อยากจะทานข้าวตามประสาแม่ลูก ผมว่าเราทานที่บ้านนะครับ” ศิลาพูดประชดออกไป เพราะการที่ถูกหลอกให้มาทานข้าวกับแม่แต่ดันมีคนอื่นมาด้วยเขาไม่โอเค
“แม่ขอโทษนะลูก ครั้งหน้าไม่มีอีกแล้วนะคะ” กนกลูบแขนลูกชายเบาๆ อย่างเอาอกเอาใจ เพราะแต่ไหนแต่ไรมาเธอก็เอาใจศิลาตลอดอยู่แล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้านศิลาก็ขึ้นห้องของตัวเองไปทันที อาบน้ำสระผมเสร็จเรียบร้อยก็โทรคุยกับปัณณวีร์ เป็กิจวัตรยามที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน พร้อมกับบอกเล่าเื่ราวของวันนี้ให้กับคนพี่ฟัง
ผ่านไปหลายวันจนถึงวันที่มีนัดพูดคุยกันกับนักแสดงทุกคน ก่อนหน้านั้นปัณณวีร์ได้ส่งบทให้ทุกคนได้อ่านกันแล้ว ไม่ใช่อ่านแค่บทของตนเอง แต่เป็การอ่านทั้งเื่เพื่อจะได้รู้ว่าตัวละครที่ตัวเองต้องเล่นนั้นจริงๆ แล้ว้าอะไร วันนี้จึงมีนัดพูดกันกับผู้กำกับและนักเขียนก่อนที่จะเริ่มจัดตารางถ่ายและเตรียมการเวิร์คช็อป
“จะว่าไปแล้วก็ไม่คิดนะ ว่าเคมีของศิลาและนับดาวจะเข้ากันขนาดนี้ แต่จะติดก็ตรงที่พอออกจากบทบาทแล้ว ศิลาไม่ค่อยสนิทหรือพูดคุยกับน้องนับดาวเลย พี่มองว่าถ้าทั้งสองสนิทกันมากขึ้นการแสดงคงจะดูเป็ธรรมชาติมากขึ้นแน่ๆ” ผู้กำกับออกความคิดเห็นหลังจากลองให้ศิลากับนับดาวลองเข้าบทด้วยกันสักฉาก
ปัณณวีร์มองศิลาที่ก้มอ่านบทอยู่เล็กน้อยก่อนจะตอบกลับ “ศิลาก็เป็แบบนี้แหละครับ แต่พอเข้าฉากเขาก็สลัดตัวตนของตัวเองทิ้งได้หมดเลย ผมว่าก็ไม่น่าจะเป็ปัญหานะครับ”
“มันก็จริงอยู่ เดี๋ยวพี่ว่าบอกให้นับดาวเข้าหาเข้าไปคุยกับศิลาบ่อยๆ ดีกว่าเผื่อจะได้สนิทกันมากขึ้น” พูดจบผู้กำกับก็เดินไปหานับดาวที่อยู่มุมห้อง ปัณณวีร์เองก็ไม่ได้จะขัดอะไรเพราะมันก็คืองาน และมันก็ส่งผลดีต่อละครของเขา
“พี่วีร์คะโทรศัพท์ค่ะ จากบริษัทชาเขียวค่ะ เขาอยากจะคุยกับพี่ คงจะเป็เื่โฆษณา” ชาเดินเข้ามาบอก ปัณณวีร์จึงตอบรับในลำคอ มองไปที่ศิลาครู่หนึ่งก่อนจะเดินกลับไปห้องทำงานของตัวเองที่อยู่ชั้นสาม ศิลาเงยหน้าจากบทพอดี เมื่อเห็นคนพี่เดินออกจากห้องไปจึงได้ปลีกตัวออกมาแล้วตามปัณณวีร์ไป
“ครับผม ด้วยความยินดีครับ ยังไงให้คนเข้ามาคุยรายละเอียดได้เลยครับ” ปัณณวีร์ยืนหันหลังให้กับประตูห้องและคุยกับลูกค้าที่อยากจะเอาสินค้าของบริษัทตัวเองเข้ามาเป็โฆษณาแฝงในละครของเขาโดยไม่รู้ตัวว่ามีคนแอบเข้ามา
“ครับ สวัสดีครับ”
“คุยกับใครอยู่ครับ” ปัณณวีร์วางสายไปไม่นานเสียงของคนที่แอบเข้ามาก็ดังขึ้นทำเอาเ้าของห้องสะดุ้งใ
“ศิ พี่ใหมดเลย แล้วเข้ามาทำไมเนี่ยเดี๋ยวคนก็เห็นหรอก” ปัณณวีร์วางมือถือแล้วเดินเข้าไปหาคนน้อง
“ทุกคนอยู่ชั้นหนึ่งกันหมด อีกอย่างในห้องพี่ใครจะมาเห็น” ศิลาดึงคนตัวบางเข้าไปหาแล้วตวัดแขนกอดรอบเอวเอาไว้
“ซน”
“ผมคิดถึงแฟนหนิ เดี๋ยววันนี้จะไปนอนที่คอนโดนะครับ” ปัณณวีร์ยิ้มและพยักหน้ารับพร้อมกับยื่นมือไปลูบแก้มขาวเนียนของเด็กที่สูงกว่า
“เข้าถึงบทบาทได้เก่งจริงๆ”
“หึงไหม” ศิลาเอ่ยถามอย่างไม่จริงจังนักเพราะรู้ว่าปัณณวีร์เข้าใจว่ามันเป็งาน แน่นอนว่าพวกเขาเป็มืออาชีพมากพอ แต่ถึงอย่างนั้นศิลาก็อยากจะให้คนพี่หึงตัวเอง
ปัณณวีร์หัวเราะเล็กน้อยพร้อมส่ายหน้า “จะหึงทำไม ก็งานหนิ”
“หึงหน่อยก็ดี ผมชอบ” จะบอกว่าแปลกก็ว่าแปลก จะว่าปกติก็ว่าได้ ปัณณวีร์ระบายยิ้มออกมา นิ้วเรียวบีบเข้าที่จมูกโด่งของดาราหนุ่มอย่างมันเขี้ยว
“บ้ารึเปล่า แล้วก็กลับไปได้แล้ว หายออกมาแบบนี้ได้ไงกัน”
“ขอกำลังใจก่อน”
“อะไร?” ปัณณวีร์ถูกรั้งคอเข้าไปหา ริมฝีปากหยักประกบลงมาพอดิบพอดี สอดลิ้นร้อนเข้าไปในโพรงปากได้โดยง่าย แล้วละเมียดละไมชิมความหวานฉ่ำจากปากปัณณวีร์อย่างอ้อยอิ่ง ใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไปมาที่แก้มนุ่มเบาๆ ปัณณวีร์ไม่ปล่อยให้ศิลาเป็ฝ่ายเก็บความหวานในปากของตัวเองฝ่ายเดียว ดูดดึงลิ้นร้อนเบาๆ บ้างเพื่อแลกเปลี่ยนกัน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“พี่วีร์คะ” และแล้วเสียงของชาก็เป็ตัวที่ทำให้พวกเขาทั้งสองผละออกจากกันแม้จะรู้สึกเสียดาย ศิลาเลียริมฝีปากของตัวเองเล็กน้อยก่อนจะพูดเสียงเบา
“คืนนี้พี่ต้องทบต้นทบดอกให้ผมนะ”
“ห้ะ??”
“พี่วีร์คะ” ปัณณวีร์เม้มริมฝีปากเข้าหากันอย่างประหม่าก่อนจะเดินไปเปิดประตูให้ชา
“มีอะไรรึเปล่าชา”
“พี่วีร์คะ น้องศิลาหายไปไหนไม่รู้ค่ะ” ชาขึ้นมาเพื่อมาบอกปัณณวีร์เนื่องจากหาศิลาไม่เจอ หายไปเพียงแค่แป๊บเดียวก็ถูกตามซะแล้ว
“ผมอยู่นี่ครับ” ศิลาเดินมายืนด้านหลังของปัณณวีร์ก็ทำเอาชางุนงงไป ปัณณวีร์จึงพูดไขความข้องใจก่อน
“พอดีน้องมีเื่จะคุยกับพี่ เป็เื่ส่วนตัวน่ะ”
“อ่อค่ะ พอดีผู้กำกับอยากคุยกับน้องศิลาน่ะค่ะ” บอกแค่นั้นชาก็เข้าใจเพราะรู้ว่าศิลากับปัณณวีร์เองก็รู้จักและสนิทกันอยู่ในระดับหนึ่ง
ใช่แล้วล่ะ ความสัมพันธ์ของทั้งสองที่คนนอกรู้และเห็นคือพวกเขารู้จักกันเนื่องจากปัณณวีร์เป็เพื่อนพี่ชายและก็สนิทกันในระดับหนึ่ง
แต่ไม่รู้เลยว่าความสัมพันธ์ทั้งสองเลยคำว่าสนิทมาแล้ว....
TBC.