“ท่านผู้าุโ วันนี้ข้า...”
ผู้ที่เดินออกมายกมือขัดเถี่ยหนิว แล้วหยิบถุงผ้าหนักๆ จากแขนเสื้อโยนให้อีกฝ่าย
“กลับไป หลังจากนี้เ้าไม่ได้รับอนุญาตให้มาที่นี่อีก” แม้จะพูดกับเถี่ยหนิว แต่สายตากลับจ้องไปยังคุณชายชุดขาวข้างๆ อย่างคลุมเครือ
“ท่านผู้าุโ!” เถี่ยหนิวไม่เข้าใจท่าทีอีกฝ่าย แต่เพียงแค่ััก็รู้ได้ว่าของในถุงผ้าคืออะไร นี่เป็ครั้งแรกที่เขาได้รับเงินมากมายขนาดนี้ ทำให้ไม่อาจสงบใจได้
อีกฝ่ายโบกมือแล้วกล่าวว่า “ลงไปจากเขา! หลังจากนี้เ้าไม่ได้รับอนุญาตให้บอกเื่ที่นี่กับใครอีก”
ท้ายที่สุดเถี่ยหนิวก็พยักหน้าและหันหลังเตรียมลงเขา ก่อนไปก็เหลือบมองคุณชายที่อยู่ข้างๆ ตอนแรกเขา้ากล่าวคำอำลา แต่รัศมีความเ็าจากคนคนนี้ทำให้ต้องหันหลังจากไปในทันที บรรยากาศแปลกประหลาดเช่นนี้ รีบออกไปจะดีกว่า
เหลือเพียงคนสองคนในป่าซึ่งเผชิญหน้ากันเงียบๆ สุดท้ายชายวัยกลางคนก็เป็ฝ่ายยอมแพ้ก่อน เขาถอนหายใจและเอ่ยว่า
“ในที่สุดเ้าก็มาจริงๆ”
“ท่านผู้าุโอูอีโปรดอธิบายให้ไป๋เจ๋อกระจ่างได้หรือไม่ขอรับ”
“อธิบายอะไร” อูอีหาบริเวณที่ดูสะอาดตาแล้วนั่งลง เงยหน้ามองเด็กหนุ่มตรงหน้าซึ่งอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรชายตน
หลิ่วไป๋เจ๋อยืนอยู่ท่ามกลางผืนป่า แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาเกิดเป็เงากระดำกระด่างพาดผ่านเหนือร่าง อูอีลอบถอนหายใจ แอบตำหนิหลิ่วชิงเหยียนผู้เป็บิดาของชายหนุ่มอยู่ในใจว่าชาติที่แล้วทำบุญด้วยอะไรถึงมีบุตรชายที่น่าอิจฉาเช่นนี้ แต่เมื่อครุ่นคิดแล้วก็หาเหตุผลได้ว่าเป็เพราะมารดาผู้ให้กำเนิดหลิ่วไป๋เจ๋อ
หลายปีก่อนมารดาของหลิ่วไป๋เจ๋อ มู่ซิงจู๋ ผู้เป็หญิงงามคนแรกของดินแดนเจ๋อ เื่ความงามไม่ต้องพูดถึง นางยังมีพลังทางจิติญญาที่กล้าแกร่งยิ่ง ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างหมายปองนาง แม้แต่อูอีก็ไม่ต่างกัน ในตอนนั้นเขาเองก็ชมชอบมู่ซิงจู๋ ทว่าสุดท้ายแล้วเ้าหลิ่วชิงเหยียนผู้นั้นกลับได้นางไปครอง
น่าเสียดายที่โชคชะตากลับเล่นตลก มู่ซิงจู๋ซึ่งเป็ทายาทของตระกูลมู่ต้องแบกความรับผิดชอบอันหนักหนาเช่นเดียวกับตระกูลจิ่วฟาง เนื่องจากสืบสายเืโยวหลาน ตระกูลมู่อาศัยอยู่ในป่าใต้พิภพมาหลายชั่วอายุคนโดยไม่กลัวกำแพงพิษ น่าเศร้าที่ตอนนั้นนางตั้งครรภ์อยู่ใน่ใกล้คลอด ทว่าตระกูลมู่ต้องเผชิญความยากลำบาก เพื่อช่วยทุกคนในตระกูล มู่ซิงจู๋จึงแอบทำเื่ต้องห้ามจนได้รับาเ็สาหัส
แม้เด็กในท้องจะรอดชีวิตแต่ดวงตากลับพิการไม่สามารถลืมขึ้นมองดูสิ่งต่างๆ ได้ มู่ซิงจู๋เองก็ใช้พลังจิติญญาและพลังกายจนหมดสิ้น แล้วหลับใหลไปตลอดกาลในป่าใต้พิภพ ส่วนตระกูลมู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย คนเดียวที่เหลือรอดคือมู่หรูอี้ซึ่งแต่งให้กับจิ่วฟางเจวี๋ย ผู้นำตระกูลจิ่วฟางในเวลานั้น
ในเวลานั้นมู่หรูอี้ไม่ได้อยู่ในป่าใต้พิภพกับตระกูลมู่ นางจึงรอดพ้นจากเภทภัย จิ่วฟางเทียนฉีเป็ลูกชายคนเดียวที่เกิดจากนางและจิ่วฟางเจวี๋ย ชายหนุ่มสืบทอดเชื้อสายโยวหลานของตระกูลมู่มาครึ่งหนึ่ง ดังนั้นจึงมีปานดอกกล้วยไม้ที่หางตาลากยาวถึงขมับ เป็การทิ้งร่องรอยสายโลหิตเพื่อตระกูลมู่...
อูอีหวนนึกถึงอดีตจนต้องทอดถอนใจด้วยความเศร้า แต่ก็ทำอันใดไม่ได้
บุรุษเบื้องหน้าดูผอมกว่าที่หลิ่วไป๋เจ๋อคิดเอาไว้มาก ใบหน้าดูซีดเซียวและเหนื่อยล้า เขาไม่รีบร้อนหาคำตอบเพียงเอ่ยถามอย่างเป็กังวล
“ท่านผู้าุโอูพบเจอสิ่งใดมาหรือขอรับ เหตุใดถึงดูเหนื่อยล้าเช่นนี้”
อูอีได้ยินเช่นนั้นแทบอยากจะร่ำไห้เหมือนเด็กและพูดด้วยสีหน้าขมขื่นว่า “เ้าพูดถูก หากเ้าได้กินอาหารที่ทั้งไร้สีสันและไร้รสชาติเช่นนั้นทุกวัน แล้วไม่ซีดเซียวสิถึงแปลก” คำพูดคำจาเช่นนั้นช่างคล้ายคลึงอูิโยวเสียจริง
หลิ่วไป๋เจ๋อใจกระตุก ราวสองเดือนผ่านไปนับั้แ่สามพี่น้องตระกูลอูออกจากชิงหลิ่วถัง ั้แ่นั้นตัวเขาและิโยวก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย จดหมายก็ไม่ได้เขียนสักฉบับ แม้อิ๋นซิงจะนำสาส์นมาส่งแต่มักจะเป็การไต่ถามจากิหลิง ไม่มีส่วนของิโยว ดูเหมือนว่าท่าทีเ็าในวันนั้นจะทำให้จิตใจของเขาเ็ปเสียจนขุ่นเคือง ยังไม่อาจขจัดความรู้สึกดังกล่าวออกไปได้
หลิ่วไป๋เจ๋อระงับความคิด เอ่ยถามอีกครั้ง
“ไป๋เจ๋อมีคำถามมากมายอยู่ในใจ ไม่ทราบว่าท่านผู้าุโอูจะตอบคำถามเ่าั้ได้หรือไม่ขอรับ”
อูอีเลิกคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เ้าหาที่นี่จนพบ ข้ายังจะทำอะไรได้อีกล่ะ แต่ก่อนตอบคำถามเ้าข้าก็มีคำถามหนึ่งมาถามเช่นกัน”
“ท่านผู้าุโอูโปรดเอ่ย! หากไป๋เจ๋อรู้ไม่มีทางปิดบังท่านอย่างแน่นอน”
อูอีโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เื่ใหญ่อะไร ข้าแค่อยากรู้ว่าเ้าเดินทางมาสำนักมิ่งเก๋อเพียงคนเดียวหรือ…”
“มีเพียงไป๋เจ๋อผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นติดตามมาขอรับ”
“แล้วบุตรชายคนที่สองของข้าล่ะ ก่อนหน้านี้เขาไปหาเ้าที่ชิงหลิ่วถังมิใช่หรือ ั้แ่เล็กจนโต หากเขาได้อยู่กับเ้าก็จะติดตามไม่แยกจากไปไหน ราวกับแผ่นแปะแผล จะแกะก็แกะไม่ออก เหตุใดครานี้ถึงไม่ได้มาด้วยกัน”
คำอุปมาของท่านผู้าุโอูที่มีต่ออูิโยวทำให้หลิ่วไป๋เจ๋อพูดไม่ออก
“ท่านผู้าุโคงไม่รู้ว่าเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ิโยวได้เดินทางกลับไปยังหุบเขาไป่หลิงพร้อมพี่ชายพี่สาวของเขาแล้ว”
“อาเยี่ยและเสี่ยวหลิงก็กลับไปแล้วเช่นกันหรือ” อูอีขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วถามอีกครั้ง
“แล้วตระกูลหลานล่ะ”
หลิ่วไป๋เจ๋อรู้ว่าอูอี้าถามอะไร จึงบอกเกือบทุกอย่างตามความเป็จริง ทว่าก็ฝังกลบบางสิ่งไว้ในใจไม่ได้พูดออกมา
“จากที่เ้ากล่าว การทำนายเื่ในภายภาคหน้าให้คนทั้งสามของหลานเซียว เสี่ยวโยวบุตรชายของข้าคือหนึ่งในนั้น แต่ท้ายที่สุดเขากลับปฏิเสธอย่างนั้นหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า รู้สึกละอายใจเล็กน้อย หากไม่ใช่เพราะตนเองชิงปฏิเสธคำทำนายจากตระกูลหลานก่อน ิโยวคงไม่ละทิ้งโอกาสที่หายากนี้ตามเขา
“เ้าเด็กเหลือขอคนนี้ กลับไปข้าต้องจัดการเสียแล้ว” แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาอีก
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่อาจรู้ได้ว่าอูอีกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ั้แ่ผู้นำตระกูลหลานออกจากเฟิ่งจูไห่ ไป๋เจ๋อเดาว่าเขาอาจจะกลับไปที่ผาตั้วเซียนพร้อมครอบครัว”
อูอีครุ่นคิด “ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้ ตามนิสัยของหลานเซียวเขาสามารถไปมาอย่างเงียบๆ หลีกเลี่ยงสายตาของทุกคนได้ เพียงแต่ข้าไม่เข้าใจว่าในเมื่อสามารถเดินทางเข้าออกโดยไม่มีคนรู้เห็น เหตุใดจึงต้องป่าวประกาศให้ใต้หล้ารับรู้จนกลายเป็การประโคมข่าวใหญ่โต นี่ไม่ย้อนแย้งไปหน่อยหรือ”
“ท่านผู้าุโอู คำถามของท่านไป๋เจ๋อได้ตอบไปแล้ว ตอนนี้โปรดตอบคำถามของไป๋เจ๋อได้หรือไม่ขอรับ”
อูอีตบปากตนเอง เพราะรู้ว่าคงหลีกเลี่ยงไม่ได้จึงเอ่ยว่า
“เ้าถามมา แต่ต้องบอกก่อนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าข้าจะตอบได้”
หลิ่วไป๋เจ๋อพยักหน้า
“บิดาของข้าหลิ่วชิงเหยียน เวลานี้พำนักอยู่ในสำนักมิ่งเก๋อเหมือนท่านผู้าุโอูใช่หรือไม่ขอรับ”
อูอีพยักหน้า “ถูกต้อง!”
“ยังมีใครอีกขอรับ”
อูอีตอบอย่างรื่นรมย์ว่า “นอกจากข้าและหลิวชิงเหยียนแล้ว ยังมีอวิ๋นหลานเฟิง ผู้นำตระกูลอวิ๋น จิ่วฟางเจวี๋ยแห่งตระกูลจิ่วฟาง และผู้นำอีกหลายตระกูลในดินแดนเจ๋อ”
เป็ไปตามคาด ไม่ต่างจากข้อมูลที่เขาหามาตลอดสองเดือน สิ่งเดียวที่คาดไม่ถึงคือจิ่วฟางเจวี๋ยผู้นำตระกูลจิ่วฟางจะอยู่ในหมู่คนเหล่านี้ด้วย เหตุใดจิ่วฟางเทียนฉีจึงไม่เคยเอ่ยถึงเื่นี้มาก่อน
“เหล่าท่านผู้นำตระกูลกำลังทำสิ่งใดในสำนักมิ่งเก๋อหรือขอรับ”
“เด็กน้อยตระกูลหลิ่ว คำถามนี้ข้าขอปฏิเสธที่จะตอบ คำถามต่อไป!” อูอีเงยหน้ามองท้องฟ้า หว่างคิ้วขมวดชนกันเล็กน้อย “หากเ้ามีคำถามใดให้รีบถาม ข้าไม่มีเวลามากนัก”
หลิ่วไป๋เจ๋อเอ่ย “พวกท่านจะออกมาเมื่อใด”
อูอีมองอีกฝ่ายและเอ่ยพูดด้วยท่าทีเคร่งขรึม “เ้าหนู ไม่ว่าตอนนี้เ้าจะมีข้อสงสัยมากมายเพียงใด ข้าก็บอกได้เพียงสิ่งเดียวว่าเวลาของพวกเราเหลือไม่มากแล้ว เวลาสำหรับพวกเ้าก็เหลือไม่มากเช่นกัน ก่อนถึงปลายฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ภายในเวลาไม่ถึงปีนี้ ถือเสียว่าผู้าุโอย่างพวกเราให้เวลาผู้เยาว์อย่างพวกเ้าได้ออกกำลังแล้วกัน”
“ท่านผู้าุโอู!”
“เ้าไม่จำเป็ต้องถามให้มากความ สิ่งที่เปิดเผยได้ข้าก็บอกไปแล้ว เ้าเองก็ตอบสิ่งที่ข้าถามแล้วเช่นกัน ถึงจะรู้สึกว่าเ้าไม่ได้บอกทุกอย่างก็ตาม ส่วนสิ่งที่ควรพูดข้าพูดไปหมดแล้ว กลับไปเถิด!”
อูอีลุกขึ้นตั้งท่าจะจากไป แต่ถูกหลิ่วไป๋เจ๋อขวางไว้
“ท่านผู้าุโอู ท่านรู้หรือไม่ว่ามีความปั่นป่วนแฝงอยู่ในแดนเจ๋อเรียบร้อยแล้ว เฟิ่งเทียนไม่มีใครควบคุม ดินแดนเจ๋อไม่มีคนดูแล ไม่ช้าหลังจากนี้จะต้องเกิดความวุ่นวายเป็แน่”
ความโล่งใจก่อนหน้าเลือนหายไป อูอีมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างคาดหวัง
“มีเ้า ิเยี่ย ิโยว เ้าเด็กจากตระกูลจิ่วฟาง อีกทั้งยังมีคนจากตระกูลอวิ๋นอีก มีดาวรุ่งมากมายในดินแดนเจ๋อ พวกเ้าจำเป็ต้องพึ่งพาพวกข้าที่เหมือนไม้ใกล้ฝั่งด้วยหรือ ขาดพวกข้าไปแล้วจะเป็อย่างไร คนเราไม่ได้เป็ะ เมื่อแก่ชราแล้วก็ต้องจากไปในไม่ช้า เ้าน่าจะเข้าใจ”
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไร ตัวเขานั้นเข้าใจหรือไม่เข้าใจ
อูอีตบไหล่เขาและเอ่ยว่า “พวกข้าก็เคยอยู่ในวัยเดียวกับเ้า ล้วนผ่านพ้นวันเวลาเ่าั้มา แล้วเหตุใดพวกเ้าจะทำไม่ได้ล่ะ”
อูอีจากไปแล้ว ทิ้งหลิ่วไป๋เจ๋อให้ยืนเพียงลำพังในป่าทึบ เขามองไปยังสำนักมิ่งเก๋อด้วยความรู้สึกตะลึงงัน
มีสิ่งใดซ่อนอยู่ในสำนักมิ่งเก๋อ แล้วภายภาคหน้าจะเกิดเื่ใดขึ้น คำทำนายของท่านผู้นำตระกูลหลานที่เกี่ยวกับิโยวจะเป็จริงหรือไม่ หากเป็เช่นนั้นเขาจะหยุดมันได้อย่างไร
“บุตรชายตระกูลหลิ่ว” เสียงของอูอีดังมาจากผืนป่า “บุตรชายคนที่สองที่แสนซนของข้า ิโยว ข้าอูอีขอฝากเขาไว้กับเ้าด้วย หากหลังจากนี้เกิดสิ่งใดขึ้นหรือประสบปัญหาใดๆ ถือเสียว่านี่คือคำขอจากอูอี้ผู้นี้ ช่วยดูแลเขาให้ปลอดภัยด้วยเถิด”
“ท่านผู้าุโอู ข้า…”
ไม่มีเสียงตอบกลับมา ดูเหมือนว่าอูอีจะจากไปแล้วจริงๆ
สิบสี่วันต่อมาในวันที่ฟ้าแจ่มใส อูอีนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินเพื่อฟื้นฟูพลังจิติญญา พลันได้ยินเสียงเคาะสามครั้งจากป่านอกสำนักมิ่งเก๋อ เขาและฟานเถี่ยหนิวตกลงกันว่าจะใช้วิธีนี้เพื่อออกไปรับอีกฝ่าย แล้วตอนนี้ด้านนอกเป็ใครกันนะ
ภายใต้ความรู้สึกงุนงง อูอีลากร่างที่เหนื่อยล้าออกจากสำนักมิ่งเก๋อ ผ่านกับดักหลายชั้นมาถึงจุดที่เคยนัดหมายกับเถี่ยหนิว เพียงแต่เมื่อไปถึงกลับไม่เห็นใครสักคน
“ข้าได้ยินผิดอย่างนั้นหรือ”
ขณะกำลังจะหันหลังกลับ ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นกับข้าวหอมๆ ลอยมา เมื่อหันไปยังทิศทางนั้นก็พบตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่วางอยู่ใต้ต้นสนโบราณ
อูอีรีบก้าวเข้าไปแล้วยกผ้าที่คลุมไว้ออก ไอร้อนลอยออกมาจากด้านใน อาหารมากมายอัดแน่นอยู่ในนั้น ทำให้คนที่เห็นต้องน้ำลายไหล
อูอีเอื้อมมือไปดึงกระดาษแผ่นบางออกมา พบลายมือคดๆ งอๆ เขียนเอาไว้ว่า
[ ท่านผู้าุโ เถี่ยหนิวรู้แล้วว่าตนเองผิด เพราะไม่ควรพาคนเข้าไปยังสำนักมิ่งเก๋อโดยไม่ได้รับอนุญาต หวังว่าท่านจะยกโทษให้ ท่านผู้าุโให้เงินมามากเกินไปทำให้เถี่ยหนิวรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นจึงขอจัดส่งอาหารให้ท่านทุกวันที่สิบห้าของทุกเดือนเช่นเดิม รู้ว่าท่านไม่้าพบข้าอีก เถี่ยหนิวจึงนำอาหารมาส่งและออกไปทันที ท่านผู้าุโจะได้ไม่เห็นหน้าเถี่ยหนิว หลังจากท่านรับประทานเสร็จแล้วให้วางตะกร้าไม้ไผ่ไว้ที่เดิม เถี่ยหนิวจะมานำกลับในครั้งถัดไป ]
เมื่อเห็นข้อความนี้ อูอีก็นึกถึงความไร้เดียงสาของเถี่ยหนิวขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “เด็กคนนี้ ไม่เคยพบไม่เคยเจอ…”
—------------------------------
