ถึงแม้ว่าพรรคฝูเวยจะเป็กองโจรบนหลังม้ากองเล็กๆแต่ว่าปล้นฆ่าเผาหมู่บ้านมาหลายปี ทรัพย์สินสิ่งของมีมากมาย ข้าวสารอาหารข้าวของสารพัดกองพะเนินเป็โกดัง
นอกจากนี้เสวียนเทียนยังเจอหีบที่เก็บตั๋วเงินอีกใบหนึ่งข้างในมีตั๋วเงินถึงเกือบล้านตำลึง
ในคลังสมบัติ ยังมีของมีค่านานาชนิด เช่น ไข่มุกหินโมรา หยกขาว หยกเขียว เป็ต้น ของแต่ละอย่างมีค่าหลายพันตำลึงหรือแม้กระทั่งของล้ำค่าที่มีราคาถึงหลายหมื่นตำลึงก็มี มากถึงนับร้อยชิ้นราคารวมทั้งหมดมากกว่าล้านตำลึง
เสวียนเทียนใช้ห่อผ้าใส่ของมีค่าทั้งหมดไว้
ส่วนข้าวสารอาหารและข้าวของอื่นๆแม้ว่านำไปขายจะแลกเป็เงินจำนวนไม่น้อยได้แต่เสวียนเทียนไม่มีแรงและไม่สนใจขนาดนั้นแล้ว
หลังกวาดตั๋วเงินกับสมบัติล้ำค่าในคลังสมบัติมาเสวียนเทียนก็ไปยังที่อยู่ของหัวหน้าใหญ่
ตั๋วเงินในคลังสมบัติเป็สมบัติส่วนรวมของทั้งพรรคแต่เสวียนเทียนมั่นใจว่า ด้วยฐานะหัวหน้าใหญ่ของพรรคฝูเวย เขาย่อมไม่ได้มีแค่ตั๋วเงินแสนตำลึงที่อยู่ที่ตัวต้องมีสมบัติส่วนตัวซ่อนอยู่ไม่น้อยแน่ ในที่พักของหัวหน้าใหญ่รื้อค้นดูก็พบช่องลับอยู่บนกำแพงหลังภาพวาดผืนหนึ่งจริงๆเสวียนเทียนพบที่เปิดอยู่ใต้เตียงของหัวหน้าใหญ่รีบเปิดช่องลับออกดู
แสงสีทองพลันส่องแสงออกมาจากช่องลับทันทีเสวียนเทียนมองเข้าไป เห็นตรงกลางช่องลับมีใบไม้สีทองอยู่สิบใบ
“ทองคำหรือ?” ดวงตาของเสวียนเทียนทอประกาย
ทองคำสิ่งนี้ในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาเกรงว่าคงมีอยู่แต่ในคำเล่าลือเท่านั้นแต่เสวียนเทียนที่เกิดในตระกูลเสวียนที่มีอำนาจเป็ตระกูลขั้นสองย่อมรู้จักทองคำอย่างแน่นอน
ทองคำก็เหมือนกับเงิน เป็เงินตราไว้ใช้แลกเปลี่ยนเพียงแต่ว่าทองคำมีมูลค่ามากกว่าเงินมากนัก ดังนั้นคนทั่วไปจึงใช้เงินมีเพียงผู้ฝึกยุทธ์ชั้นสูงจำนวนหนึ่งที่แลกเปลี่ยนของที่ราคาสูงค่ามากใช้เงินยากจะเทียบมูลค่าได้ จึงใช้ทองคำแทน
หนึ่งตำลึงทอง อย่างน้อยก็มูลค่าเท่ากับหนึ่งร้อยตำลึงเงินมีมูลค่าเป็ร้อยเท่าของตำลึงเงิน
โดยทั่วไปแล้ว การซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างยอดฝีมือชั้นเบิกนภาตำลึงเงินยังคงเพียงพอใช้ในการค้าขายอยู่ มีน้อยครั้งที่จะใช้ทอง แต่เมื่อถึงจอมยุทธ์ชั้นปฐีสิ่งของที่ซื้อขายแลกเปลี่ยน บ่อยครั้งมูลค่าสูงกว่าสิบล้านตำลึงเงินดังนั้นจึงมักใช้ตำลึงทองแทน
พรรคฝูเวยนี้เป็เพียงกองโจรบนหลังม้ากองเล็กๆกลับมีใบไม้ทองคำสิบกว่าใบ เสวียนเทียนคิดไม่ถึงอยู่บ้าง ทองคำแต่ละใบอย่างน้อยก็หนักสิบตำลึง มูลค่ามากกว่าพันตำลึงเงิน ทองสิบกว่าใบก็เท่ากับหมื่นตำลึงเงินแม้ว่าจะไม่นับว่ามาก แต่ใบไม้ทองคำสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว พบยากใช้กันน้อย
ในสายตาของผู้ฝึกยุทธ์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์ทองคำไม่ใช่สื่อกลางแลกเปลี่ยนแต่เป็สมบัติล้ำค่าไม่แปลกที่หัวหน้าใหญ่จะเก็บทองคำสิบใบนี้ไว้ราวกับของล้ำค่าเก็บไว้ในพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง
ในช่องลับนั้น นอกจากทองคำสิบกว่าใบนั้นแล้วด้านล่างใบไม้ทองคำก็ยังมีตั๋วเงินอยู่ไม่น้อย หนาเป็ฟ่อนเป็ตั๋วเงินราคาพันตำลึงทั้งสิ้น ดูไปแล้ว อย่างน้อยที่นั่นก็มีเงินถึงหลายแสนตำลึงสมบัติส่วนตัวของหัวหน้าใหญ่พรรคฝูเวยแทบจะเท่ากับสมบัติส่วนรวมของทั้งพรรค
เสวียนเทียนเก็บใบไม้ทองคำกับตั๋วเงินออกมา
ข้างใต้ตั๋วเงินมีม้วนผ้าค่อนข้างเก่าชิ้นหนึ่งอยู่เมื่อมองเห็นม้วนผ้าชิ้นนี้กลางหว่างคิ้วของเสวียนเทียนก็ะเืขึ้นมาเล็กน้อยเสวียนเทียนพลันสนใจขึ้นมาม้วนผ้าเก่านี้ดูไปแล้วคล้ายกับลายแทงสมบัติที่เขาได้มาจากตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าใกล้สำนักกระบี่์มากส่งกลิ่นไอแบบเดียวกันออกมา
เสวียนเทียนเก็บใบไม้ทองคำกับตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อแล้วคว้าม้วนผ้าเก่านั้นขึ้นมาเปิดออกดูก็เป็ดังคาด แม้กระทั่งขนาดก็เหมือนกับลายแทงสมบัติในของเสวียนเทียนและเช่นเดียวกัน บนแผนที่ก็มีสิ่งที่ขาดหายไปมากมาย
เสวียนเทียนรีบหยิบลายแทงสมบัติชิ้นนั้นขึ้นมาทันทีนำมาทาบต่อกัน ปรากฏว่าทาบกันได้แนบสนิท
จุดที่ลายแทงสมบัติชิ้นนี้ขาด ลายแทงสมบัติชิ้นนั้นมีจุดที่ลายแทงสมบัติชิ้นนั้นขาด ลายแทงสมบัติชิ้นนี้ก็มีพริบตาเดียวเนื้อหาในลายแทงก็สมบูรณ์ขึ้นมามาก
แต่ว่ายังน่าเสียดายลายแทงสมบัติทั้งสองยังคงมีจุดที่ขาดไปเหมือนกันอยู่บ้าง ประมาณหนึ่งส่วนสามทำให้เส้นทางการเดินทางบนลายแทงสมบัตินี้ขาดหายที่เก็บสมบัติก็ยังหาไม่เจอว่าอยู่ที่ใด
ดูท่าแล้ว ลายแทงสมบัติยังคงขาดอีกหนึ่งแผ่นรวมสามแผ่นเป็หนึ่ง แผนที่ถึงจะสมบูรณ์ไม่อย่างนั้นได้แผ่นหนึ่งหรือสองแผ่นมาก็ล้วนไร้ประโยชน์หาตำแหน่งจริงๆของสมบัติไม่เจอ
อย่างไรก็ตาม เมื่อต่อลายแทงสองแผ่นเข้าด้วยกันเสวียนเทียนก็มองออกได้คร่าวๆ ดวงตาฉายแววประหลาดใจเล็กน้อยแม้ว่าจะไม่รู้จุดที่แน่ชัดของสมบัติ แต่ดูจากเส้นทางอาณาเขตที่ชี้บอกก็คงจะเป็บริเวณใกล้เคียงกับอำเภอเป่ยโม่
อำเภอเป่ยโม่กว้างหลายร้อยลี้ทั้งยังเป็เทือกเขาป่ารกร้างทอดต่อกัน เขตูเาพื้นที่กว้างมหาศาลต่อให้รู้ว่าที่ตั้งสมบัติอยู่ในแถบใกล้เคียงกับอำเภอเป่ยโม่ เสวียนเทียนก็ไม่มีปัญญารู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของสมบัติได้
ไม่รู้ว่านี่เป็ลายแทงสมบัติที่ผู้ใดทิ้งเอาไว้แบ่งลายแทงออกเป็สามส่วน ทิ้งไว้ตามสถานที่ที่ต่างกัน
นอกจากจะหาลายแทงแผ่นที่สามเจอ ไม่อย่างนั้นก็คงหาตำแหน่งที่แน่ชัดของสมบัติไม่ได้แม้ว่าเสวียนเทียนจะสนใจสมบัติบนลายแทงเป็อย่างมาก แต่ก็ต้องปล่อยไปชั่วคราวเก็บลายแทงทั้งสองชิ้นเข้าไปในอกเสื้อ
ลายแทงทั้งสองชิ้นนี้เสวียนเทียนได้มาโดยไม่คาดคิดดังนั้นจึงไม่มีเงื่อนงำของลายแทงชิ้นที่สามแม้แต่น้อยไม่ควรค่าขบคิดเื่นี้ให้กลายเป็ความหงุดหงิด
ถ้ามีวาสนา ตนคงได้พบลายแทงชิ้นที่สามเองไม่มีวาสนาชีวิตนี้ก็ไม่อาจพบได้
หลังออกจากที่พักของหัวหน้าใหญ่เสวียนเทียนก็ไปค้นที่พักของหัวหน้ารองและหัวหน้าสามอีกหนึ่งรอบหัวหน้าสามยากจนอยู่สักหน่อย มีตั๋วเงินเก็บไว้เพียงหกหมื่นกว่าตำลึง หัวหน้ารองเก็บตั๋วเงินไว้น้อยกว่าหัวหน้าใหญ่แต่ก็มีสามแสนกว่าตำลึง
ตั๋วเงินนั้น เสวียนเทียนยิ่งมีมากยิ่งดีใจมีเท่าไรก็เก็บมา
ครั้งนี้ทลายพรรคฝูเวยทำให้เสวียนเทียนได้กำไรพอสมควร เพียงแค่ตั๋วเงินก็มากถึงสามล้านตำลึงแล้วยังมียาพลังปราณอีกจำนวนมาก มูลค่าถึงล้านตำลึงขึ้นไป
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เสวียนเทียนได้ลายแทงสมบัติผืนนี้มาเป็ชุดเดียวกับลายแทงที่อยู่ในมือ เกี่ยวข้องกับความลับของสมบัติชิ้นนี้
“ดูแล้ว การขจัดพรรคโจรพรรคหนึ่งได้รายได้น่าดูชมนัก อีกทั้งยังได้ช่วยขจัดภัยพาลให้ชาวบ้านด้วยยิงทีเดียวได้นกสองตัว!”
ในใจของเสวียนเทียนคิดขึ้นเงียบๆ
แม้ว่าในใจจะพูดแบบนี้แต่ในความเป็จริงพรรคเล็กพรรคหนึ่ง จำนวนคนก็มีถึงร้อยสองร้อยคนถ้าหากไม่มีเหตุผลที่สลักสำคัญจริงๆ เสวียนเทียนก็ไม่สนใจจะไปฆ่าล้างบาง
สังหารคู่แค้น เก็บของที่ไร้เ้าของมานั่นเป็เื่ปกติ แต่การตั้งใจสังหารคนเพื่อปล้นชิงทรัพย์ ย่อมไม่อาจทำได้เช่นนั้นไม่ต่างอะไรจากเหล่าโจร
วิญญูชนย่อมมีสิ่งที่ควรทำและสิ่งที่ไม่ควรทำ
หลังเก็บตั๋วเงินได้หลายล้านตำลึงเสวียนเทียนก็แบกห่อผ้าใบใหญ่เดินออกมาจากค่ายของพรรคฝูเวย ขึ้นม้ากิเลนดำวิ่งห่างจากไป
วันที่สองเสวียนเทียนก็เข้ามาในอำเภอเป่ยโม่ตอนเที่ยงวันเสวียนเทียนก็มาถึงหมู่บ้านหวงปั้วที่ไกลออกมาจากตัวเมืองของอำเภอเป่ยโม่ร้อยลี้
ตระกูลหวงมาตั้งรกรากที่อำเภอเป่ยโม่ ในหมู่บ้านหวงปั้วนี้
เวลาเพียงสี่ปีตระกูลหวงที่มีฐานอยู่ที่หมู่บ้านหวงปั้วก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในอำเภอเป่ยโม่ กลายเป็ตระกูลเพียงตระกูลเดียวที่คุกคามตระกูลหนิวเฉิง จางสามตระกูลได้
อำเภอเป่ยโม่มีทั้งหมดสามสิบหมู่บ้าน การค้าในอำเภอตระกูลหนิว เฉิง จางสามตระกูลร่วมกันอยู่ทั้งหมดสิบสามหมู่บ้านตระกูลหนิวครองตระกูลเดียวเจ็ดหมู่บ้านตระกูลเฉิงกับตระกูลจางครองตระกูลละห้าหมู่บ้าน
ตระกูลอื่นๆ ล้วนแต่ต้องเข้าหาตระกูลหนิว เฉิงจางสามตระกูลจึงจะได้ส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ มาบ้าง ถ้าหากตั้งตัวอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับทั้งสามตระกูลขั้นหนักก็ตัวตาย ตระกูลถูกกำจัด ขั้นเบาก็ถูกขับไล่จากดินแดนไม่อาจก้าวเข้าอำเภอเป่ยโม่ได้อีก
หมู่บ้านหวงปั้วแต่เดิมเป็หมู่บ้านที่ตระกูลหนิวเฉิง จาง สามตระกูลร่วมกัน
แต่หลังจากตระกูลหวงมาลงหลักปักฐานที่หมู่บ้านหวงปั้วทุกสิ่งก็เปลี่ยนไป
ยอดฝีมือชั้นเบิกนภาจำนวนไม่น้อยที่เป็ศัตรูกับตระกูลหนิวเฉิง จางสามตระกูล เพราะไม่พอใจกับการยึดครองเบ็ดเสร็จของทั้งสามตระกูลเมื่อเห็นตระกูลหวงมีความสามารถจะคานอำนาจกับสามตระกูลได้ เมื่อล่าสังหารสัตว์อสูรเก็บผลึกอสูร ขนหนัง หรือแร่ธาตุ รวมทั้งสมุนไพรต่างๆ มาได้ก็ยินยอมขายให้แก่ตระกูลหวงแทน
ตระกูลหวงมีสินค้าเข้ามาไม่ขาดอีกทั้งราคายังพิเศษ ดังนั้นไม่นานก็แย่งตลาดในหมู่บ้านหวงปั้วได้ เบียดตระกูลหนิวเฉิง จางสามตระกูลออกไปได้ ทั้งยังขยายตลาดออกไปรอบๆ ไม่หยุด
หมู่บ้านชิงหนิวและหมู่บ้านซางอวี๋ที่อยู่ข้างๆตระกูลหวงก็ก้าวเข้าไปทำการค้าแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ของทั้งสองหมู่บ้านก็มาขายของให้แก่ตระกูลหวง
ตอนนี้ตระกูลหวงไม่เพียงตลาดในหมู่บ้านหวงปั้วได้ทั้งหมดเท่านั้นแต่ตลาดเก้าส่วนของอำเภอชิงหนิว ตลาดหกส่วนในอำเภอซางอวี๋ ตระกูลหวงก็ชิงมาครองแล้วถ้าหากไม่ถูกขัดขวางให้ตระกูลหวงเติบโตต่อไป ใช้เวลาอีกไม่นาน หมู่บ้านหวงปั้วหมู่บ้านชิงหนิวหมู่บ้านซางอวี๋ทั้งสามหมู่บ้านก็คงตกอยู่ในความของตระกูลหวงโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้ว่าจะครองการค้าในสามหมู่บ้านแต่เมื่อเปรียบกับหนิว เฉิง จางสามตระกูลแล้วกำลังของตระกูลหวงก็ยังห่างชั้นอยู่ไกล แต่นี่ก็ไม่ใช่ลางดีตระกูลหวงจากศูนย์เติบโตมาครองสามหมู่บ้านได้ ก็อาจจะขยับขยายเป็หกหมู่บ้าน เป็เก้าหมู่บ้าน...หรือแม้กระทั่งสุดท้ายแล้วก็แย่งชิงการค้าส่วนใหญ่ไปจากตระกูลหนิวเฉิง จางสามตระกูลได้
เื่นี้ตระกูลหนิว เฉิงจางสามตระกูลไม่อาจทนได้ พวกเขาเป็เ้าเป็นายเหนือแห่งอำเภอเป่ยโม่ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับตระกูลใหญ่จำนวนหนึ่งในเมืองใหญ่ข้างเคียงแต่เดิมครองตลาดในอำเภอเป่ยโม่ได้เบ็ดเสร็จไร้ความกังวลใจได้กำไรมาซื้อทรัพยากรในการฝึกฝนให้แก่คนในตระกูล ให้ตระกูลแข็งแกร่งยิ่งขึ้นแต่เมื่อตระกูลหวงปรากฏขึ้นมา กลับทำลายภาพฝันของพวกเขา ทำให้พวกเขาเห็นถึงอันตราย
ถ้าหากเป็ตระกูลธรรมดากล้าเข้ามาแย่งการค้าของตระกูลหนิว เฉิง จางสามตระกูลเช่นนี้ ทั้งสามตระกูลคงใช้ไม้แข็งเล่นงานไปนานแล้วไม่ทำลายตระกูลหวง ก็ไล่ตระกูลหวงออกไปจากเขตนี้เสีย
แม้ว่าตระกูลหวงจะมีจำนวนสมาชิกไม่มากแต่พลังวัตรกลับไม่ต่ำเตี้ยเลย
ตระกูลหนิว เฉิงจางทั้งสามตระกูลมีเพียงผู้นำตระกูลเท่านั้นถึงจะมีพลังวัตรชั้นเบิกนภาขั้นสามแต่ตระกูลหวงมียอดฝีมือชั้นเบิกนภาขั้นสามถึงสองคน ส่วนคนอื่นไม่ใช่ชั้นเบิกนภาขั้นสองก็ชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งนอกจากเด็กรุ่นหลัง ก็มีผู้ใหญ่คนเดียวเท่านั้นที่เป็คนพิการนอกจากนั้นล้วนเป็ยอดฝีมือชั้นเบิกนภา
หากใช้ไม้แข็งต่อกรกับตระกูลหวง ต่อให้ตระกูลหนิวเฉิง จางทั้งสามตระกูลเอาชนะได้ก็ต้องแลกมาด้วยความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงยอดฝีมือชั้นเบิกนภาขั้นสามไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาที่บีบจนสุดทางต้องตกตายไปด้วยกันนี่ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลหนิว เฉิง จาง้าจะเห็น
ตระกูลหนิว เฉิงจางสามตระกูลเห็นเพียงพลังวัตรฉากหน้าของคนในตระกูลหวง แต่พวกเขาไม่รู้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ตระกูลหวงแต่ละคนาเ็ไม่แพ้อีกคนหากเทียบความสามารถดั้งเดิมแล้ว แค่นิ้วมือเดียวพวกเขาก็ทำลายตระกูลหนิว เฉิงจางทั้งสามตระกูลได้ แต่ตอนนี้กลับไม่อาจลงมือไม่อย่างนั้นหากอาการาเ็กำเริบขึ้นมาจะยิ่งสาหัสชีวิตนี้จะรักษากลับมาเหมือนเดิมได้หรือไม่ก็ยากจะคาดเดา
“หมู่บ้านหวงปั้ว! ข้ากลับมาอีกแล้ว!” หวงเทียนควบม้ามาถึงหน้าหมู่บ้านหวงปั้วในดวงตาเปี่ยมด้วยอารมณ์
สี่ปีแล้วที่ไม่ได้พบหน้าบิดามารดา ท่านตาท่านลุง ต้องต่อสู้กับตระกูลหนิว เฉิง จางทั้งสามตระกูลทั้งในที่ลับในที่แจ้งร่างกายของพวกเขาจะยังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่?