ภายในสำนักจีเหรินจาย
ขอทานเจ็ดแปดคนในชุดสกปรกมอมแมมคุกเข่าตรงทางเข้าลานสำนัก
“พระอาจารย์วั่งจีช่างเป็พระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตจริงๆ ช่วยผู้คนให้พ้นจากความทุกข์ทรมาน”
“ขอบคุณพระอาจารย์ที่ช่วยเหลือขอรับ...”
“ท่านทั้งหลายรีบลุกขึ้นเถิด” ชายร่างผอมสวมเสื้อผ้าสีเขียวก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยพยุงขอทานลุกขึ้นจากพื้น โดยที่ไม่สนว่าร่างกายของพวกเขาจะสกปรกมอมแมมแค่ไหน
“พระอาจารย์ ในสำนักของเราอาหารเหลืออยู่ไม่มากนัก พรุ่งนี้เรายังต้องส่งอาหารไปยังหมู่บ้านใกล้เคียงอีกนะขอรับ ท่านช่วยชีวิตผู้คนเช่นนี้ เราไม่มีอาหารเพียงพอที่จะกินนะขอรับ”
สามเณรน้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ บ่น วั่งจีหันไปมองเขาแล้วกล่าวชี้แนะว่า “ชีวิตคนสำคัญดุจฟ้า แค่เพียงอาหารคำสองคำเท่านั้น ข้าไม่กินอาหารก็ย่อมได้ เ้าแบ่งอาหารของข้าไปให้พวกเขากินเถิด”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น...” สามเณรน้อยรีบอธิบาย ทว่า วั่งจีกลับส่ายหน้าและพูดว่า “เ้าอาวาสเปิดพื้นที่รกร้างหลายแห่งในูเาหลังวัดเพื่อเพาะปลูกซึ่งตอนนี้กำลังขาดแคลนคน เ้าพาพวกเขาลงไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วส่งพวกเขาขึ้นไปบนูเา ภายภาคหน้าพวกเขาก็จะอาศัยอยู่ในูเาด้านหลังทำการเกษตรด้วยตนเองจะไม่มีปัญหาในการหาเลี้ยงชีพอีกต่อไป”
สามเณรน้อยถอนหายใจ “พระอาจารย์ ท่านกับเ้าอาวาสใจอ่อนเกินไป ตอนนี้วัดตงหวาคนจะเต็มแล้ว ข้าได้ยินมาว่าภายในวันสองวันนี้จะมีคนจากวังมา ผู้คนมากมายรออยู่ในวัดเช่นนี้หากเกิดการปะทะกับชนชั้นสูงเข้าจะทำเยี่ยงไรล่ะขอรับ?”
ั์ตาของวั่งจีเคลื่อนไหวนิดหน่อยและพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “พระพุทธเ้ามีเมตตา ในเมื่อชนชั้นสูงจากวังจะเสด็จ แน่นอนว่าข้าไม่อยากเห็นชาวบ้านต้องทนทุกข์ทรมาน ข้าเชื่อว่าพวกเขาจะเข้าใจ เ้าอย่ามัวแต่พูดมากอยู่เลยรีบพาพวกเขาขึ้นไปบนูเาเถิด”
“ขอรับ”
สามเณรน้อยพาคนไปที่วัดบนูเา ร่างของเขาหายไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางหมอกของูเาที่ห้อมล้อมในตอนกลางคืน
วั่งจีถอยสายตากลับมาและเตรียมปิดประตูตรงลานสำนัก ทว่า ก็ได้ยินเสียงเกือกม้าหลายตัวสอดประสานกัน
วั่งจีก้มหัวทำเหมือนว่าไม่เห็นและรีบปิดประตูลง แต่ก็มีมือหนึ่งกระแทกประตูดังตึง
เมื่อวั่งจีเงยหน้าขึ้นจึงเห็นป้ายอาญาสิทธิ์อยู่ตรงหน้าของเขา
“คารวะเซ่อเจิ้งอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” วั่งจีซ่อนความรำคาญระหว่างเงยหน้ามาทักทายผู้มาเยือน
ฉู่สือเก็บป้ายอาญาสิทธิ์และผลักประตูให้เปิดออกก่อนจะไปยืนอยู่ด้านข้างเพื่อเปิดทาง
ชายที่อยู่ภายใต้แสงจันทร์นั้นสวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าหยกของเขาแฝงความเ็า คนผู้นั้นคือเซียวเจวี๋ย
“ชนชั้นสูงจากวังหลวงมาถึงหรือยัง?”
แววตาของวั่งจีเป็ประกายแล้วส่ายหน้า ข่าวที่เขาได้รับคือองค์หญิงใหญ่แห่งวังหลวงจะมาที่วัดตงหวาเพื่อฝึกฝนเป็ระยะเวลาหนึ่ง ทว่า ไม่นึกว่าเซ่อเจิ้งอ๋องจะมาด้วย
“ท่านอ๋อง องค์หญิงใหญ่ทรงออกเดินทางมาก่อนพวกเราหนึ่งก้าว ว่ากันตามความจริงแล้วหากยังเสด็จไม่ถึงเราก็ควรที่จะพบกันระหว่างทางนะพ่ะย่ะค่ะ” ฉู่สือขมวดคิ้วและพูดว่า “คงไม่ได้มีเื่อะไรผิดพลาดใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ”
แม้ฉู่สือจะพูดจบไปเป็เวลานานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมา ทว่า พอเงยหน้าขึ้นเขาถึงเห็นว่าท่านอ๋องกำลังจ้องไปที่สำนักจีเหรินจายโดยไม่อาจจะรู้ได้ว่าแววตาที่ลึกล้ำนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อวั่งจีเห็นก็แอบถอนใจอยู่ภายในใจและรีบบอกว่า “สำนักอาจไม่ได้หรูหราหรือสุขสบายมากนัก ตอนนี้ยังไม่ดึกมากนัก เช่นนั้นให้ข้าเรียกคนมาพาพวกท่านขึ้นไปบนูเาก่อนไหมพ่ะย่ะค่ะ”
เซียวเจวี๋ยถอนสายตาและเหลือบมองวั่งจี “ไม่จำเป็ ข้าจะรอคนอยู่นี่ไปทำความสะอาดห้องเซียนฝางทั้งสองห้องเถอะ[1]”
วั่งจีที่ปฏิเสธไม่ได้จึงได้แต่ฝืนยิ้ม “พ่ะย่ะค่ะ”
ทว่า เมื่อเขาหันกลับมาเดินเพียงสองก้าวเท่านั้น ร่างกายก็สั่นสะท้านทันทีก่อนจะอาเจียนออกมาเป็เืจำนวนมาก
การอาเจียนเป็เือย่างลึกลับนี้ ฉู่สือถึงกับขมวดคิ้ว เมื่อมองวั่งจีที่ก้มหัวและร่างกายยังคงสั่นเทาไม่หยุด
“พระอาจารย์ ท่านสุขภาพไม่ดีหรือ?”
“ไม่...ไม่มีอะไรหรอก” วั่งจีกลืนเืแล้วหันมาส่งยิ้มให้พวกเขา “ท่านอ๋องโปรดรอสักครู่ กระหม่อมจะไปสั่งให้คนทำความสะอาดห้องให้พ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากพูดจบเขาก็รีบเข้าไปในสำนักพร้อมกับสีหน้าที่แปรเปลี่ยนเป็ชั่วร้ายในบัดดล
สมควรตายนัก! ใครกันที่กำลังทำลายจุดฝังหมุดหยินที่เขาวางไว้!!
...
กิ่งไม้ต้นฮว๋ายประมาณหนึ่งกำมือปะทุในกองเพลิงที่สะท้อนเงาไม้ซึ่งไหววูบตามเปลวไฟ ท่ามกลางบรรยากาศอันขุ่นมัวของผู้คนคล้ายแว่วเสียงร้องโหยหวนของผีสางสอดประสานกับเสียงหอนของหมาป่า
“ฮึ”
เสียงเ็าของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมลมกระโชกแรงซึ่งหอบเอาเสียงร้องเ่าั้ไปราวกับว่าเมื่อครู่นั้นทุกคนต่างประสาทหลอนกันไปเอง
“ศพเด็กพวกนี้ก็เผาไปด้วยเถอะ” ชิงอีพูด “อย่าฝังพวกเขาในดินเลย”
ทุกคนกลับมายุ่งอีกครั้ง ชิงอีเหลือบแวบหนึ่งก่อนจะเดินกลับหมู่บ้านไปอย่างเงียบๆ
“ไปกันเถอะ” เธอแตะเ้าแมวอ้วน
ิญญาเหล่านี้ตายไปโดยเปล่าประโยชน์ทั้งที่ชีวิตของพวกเขายังไม่หมดอายุขัย ดังนั้น พวกเขาควรถูกส่งไปยังปรโลกโดยไวเพื่อที่จะได้กลับมาเกิดใหม่ให้เร็วที่สุด มีผีเด็กจอมซนทั้งหมดสิบหกตน ตอนนี้ไปแล้วสิบห้าตนเหลืออีกหนึ่งตนที่ยังยืนอยู่หน้าชิงอี
“เ้าผีน้อย เหตุใดเ้าจึงไม่ไปล่ะ?” ชิงอีจ้องมองผีน้อยผู้กล้าหาญ ซึ่งเป็ผีตนเดียวที่กล้าเข้าหานางแบบไม่กลัวตายต่างจากเหล่าผีตัวน้อยตนอื่นที่กลัวกลิ่นอายของนางจนไม่กล้าเข้าใกล้
“พี่สาวคนสวย ข้าอยากจะรอเสี่ยวฮวา ข้าอยากจะกลับไปเกิดกับนาง”
ดวงตาคู่สวยของชิงอีสั่นไหวเล็กน้อย “ใครคือเสี่ยวฮวา?”
“นางเป็เพื่อนที่ข้าเพิ่งรู้จักก่อนพวกท่านจะมา แต่นางถูกคุณลุงกับคุณป้าแปลกหน้าพาตัวไป” เด็กน้อยก้มหน้าลง “ไม่เพียงแต่เสี่ยวฮวายังมีเด็กคนอื่นอีกหลายคนด้วย”
ชิงอีจ้องบรรดาอาหารที่เย็นแล้วภายในบ้าน “ใครเป็คนทำอาหารเ่าั้ให้เ้า?”
“คุณลุงกับคุณป้าขอรับ แต่พี่สาวคนสวย พวกท่านเพิ่งออกไปตอนที่พวกท่านมาถึงและพาเสี่ยวฮวาไปด้วย”
ทางด้านเ้าแมวอ้วนที่กำลังส่งเหล่าผีเด็กจอมซนลงใต้ดิน ชิงอีได้เล่าเื่ราวรวมทั้งข้อสงสัยไปหามันด้วย จากนั้นนางจึงกลับไปนั่งเก้าอี้ที่คลุมขนสุนัขจิ้งจอกไว้
ไม่นานนัก เ้าแมวอ้วนก็เข้าใจสถานการณ์ได้
“ตามที่ผีน้อยตนนั้นเล่า เด็กสิบหกคนนี้ตายมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งถูกนำร่างมาฝังไว้ใต้ต้นฮว๋ายใหญ่ได้ปีกว่าเท่านั้น ทุกคนในหมู่บ้านนี้ล้วตายไปั้แ่วันนั้นและดวงิญญาก็หายไปหมดแล้ว ทว่า ในวันนี้ของทุกเดือนจะมีิญญาพวกผู้ใหญ่จะกลับมาที่หมู่บ้านเพื่อทำอาหาร ทำให้ดวงิญญาเด็กๆ มารวมตัวกันก่อนจะถูกพาตัวไป”
“เช่นนี้มันก็สมเหตุสมผลแล้ว” ชิงอีพูดแววตาลึกล้ำ “เด็กสิบหกคนนี้สร้างจุดฝังหมุดหยินใต้ต้นฮว๋ายเพื่อรวบรวมิญญาชั่วร้าย ในวันนี้ของทุกเดือนแสงจันทร์จะมืดมิดที่สุด ผีหลายร้อยตัวก็จะมารวมตัวกันที่นี่โดยปริยาย”
“แต่จากที่ผีน้อยตัวนั้นเล่ามาทุกครั้งล้วนแต่เป็เด็กน้อยทั้งสิ้นที่มาที่นี่”
ชิงอีชี้ไปที่อาหารบนโต๊ะ “ผีน้อยตนนั้นบอกว่าทุกครั้งผู้ใหญ่ที่กลับมายังหมู่บ้านจะมีแค่พวกลุงกับป้าเท่านั้น ทั้งที่หมู่บ้านแห่งนี้น่าจะมีคนอยู่อย่างน้อยสิบคนและเป็ไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีเด็กสักคน คนชั่วที่บงการเื่นี้ต้องหลอกลุงกับป้าเ่าั้มาทำหน้าที่แทนพ่อแม่ให้มาที่หมู่บ้านนี้เพื่อทำอาหาร คนชั่วนั่น้าให้อาหารเหล่าผีน้อยทั้งสิบหกตนจริงๆ น่ะหรือ? เ้านั่นทำเพื่อดึงดูดเหล่าิญญาและลักพาตัวเหล่าผีน้อยที่โดดเดี่ยวเหล่านี้ไปต่างหาก”
หางของเ้าแมวอ้วนตั้งขึ้น พร้อมกับขนชี้ฟู “สารเลว นี่ไม่ใช่การแย่งงานปรโลกของพวกเราหรือไง? เรามาจัดการเื่นี้กันเถอะ!”
“ไม่ต้องรอให้เ้ามาบอกหรอก!” ชิงอียิ้มเย็น หลายปีมานี้ไม่มีใครที่กล้ามาคว้าอาหารจากปากนางเลยสักคน!
“ผีน้อย เ้าชื่ออะไร?” ชิงอีเหลือบมองเด็กน้อยที่สงสัย
“ข้าชื่อโก่วต้าน”
โก่วต้าน...
ชิงอีลูบไปที่จุดฝังเข็ม ช่างเป็ชื่อที่โง่เง่าเสียจริง
จริงๆ แล้วผีน้อยทั้งสิบหกตนถูกฆ่าตายด้วยวิธีอันชั่วร้ายเช่นนี้ควรจะเคียดแค้นเป็อย่างมาก ทว่า ผีน้อยเหล่านี้กลับยังคงบริสุทธิ์อยู่
วิธีการเช่นนี้ แม้กระทั่งชิงอีก็ยังคิดไม่ถึง
ต้องบอกว่าคนชั่วที่อยู่เื้ันั้นมีวิธีการบางอย่าง
“ต้นฮว๋ายแก่นั่นถูกเผาไปแล้ว ไอ้คนชั่วที่บงการเื่นี้คงจะไม่อยู่เฉยแน่” เ้าแมวอ้วนพูดพร้อมกับแลบลิ้นเลียขน
ชิงอีหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เช่นนั้นก็ดีเลยสิ แต่ข้าเกรงว่ามันจะแกล้งตายแล้วไม่ยอมมาน่ะสิ”
************************
[1] ห้องเซียนฝาง คือ เรือนตะวันออกและเรือนตะวันตก เป็ห้องที่อยู่ด้านข้างห้องโถงใหญ่และห้องสำคัญ