บทที่ 99 อาสะใภ้สามที่แปลกประหลาด
สวี่จือจือยืดตัวบิดี้เี สวมเสื้อผ้าแล้วมองตัวเองในกระจก จากนั้นเปิดประตูเดินออกไป
เมื่อคืนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ เช้าวันนี้จึงได้เห็นแสงตะวัน
เมื่อประตูเปิดออกแสงอาทิตย์ก็สาดส่องเข้ามา สวี่จือจือหรี่ตาลงเล็กน้อย เห็นลู่จิ่งซานนั่งอยู่บนรถเข็นกำลังคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง
คนคนนั้นคือลู่หวยเฟิง อาของลู่จิ่งซานที่ไม่เจอกันนาน
หลายปีก่อนลู่หวยเฟิงได้เข้าทำงานเป็ครูที่โรงเรียนประถมของประชาคมแทนที่กู้ฉิงโหรว และแต่งงานกับเริ่นอิ๋งอิ๋งมาหลายปียังไม่มีทีท่าว่าจะมีลูก เมื่อลู่จิ่งซานแต่งงาน ทั้งสองได้ยินว่ามีหมอเก่งๆ อยู่ที่ในเมืองฉินจึงคิดจะไปดูกันสักหน่อย
การไปครั้งนี้กินเวลาตลอด่ปิดเทอมฤดูร้อน พอกลับมาก็ต้องวุ่นวายกับการเปิดเรียนของโรงเรียนอีก เมื่อวานได้ยินคนพูดว่าลู่จิ่งซานประสบอุบัติเหตุ ทั้งสองคนจึงทนอยู่เฉยไม่ได้ รีบกลับมาบ้านั้แ่เช้า
สวี่จือจือเดินเข้าไปทักทาย
เนื่องจากคุณนายลู่นั่งรถเข็น ทางเดินทุกแห่งของบ้านตระกูลลู่จึงทำเป็ทางลาด เพื่อให้เข็นรถเข็นขึ้นไปได้ง่าย ซึ่งก็อำนวยความสะดวกให้ลู่จิ่งซานไม่น้อย
ลู่ซือหยวนกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เริ่นอิ๋งอิ๋งกำลังช่วยเตรียม
เมื่อเห็นสวี่จือจือก็ชะงักไป ลู่จิ่งซานแต่งงานวันนั้น เธอได้แต่มองภรรยาของเขาอยู่ไกลๆ เห็นเพียงว่าหน้าตาพอใช้ได้ แต่พอมาเห็นวันนี้กลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายราวกับเทพธิดาที่เดินออกมาจากภาพวาด ในใจรู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง
ไม่กี่วันก่อนที่พวกเขาเพิ่งกลับมามีครูที่สนิทกันแอบบอกกับเธอว่าภรรยาของจิ่งซานก็อยากเป็ครูเหมือนกัน โควต้าครูที่ประชาคมของลู่หวยเฟิง เป็การมาทำงานแทนที่ของแม่ที่ตายไปแล้วของลู่จิ่งซาน หากสวี่จือจืออยากเป็ครู เพียงแค่ลู่จิ่งซานพูดคำเดียว เธอคิดว่าด้วยนิสัยของลู่หวยเฟิง คงจะยกงานให้สวี่จือจืออย่างแน่นอน
เมื่อคิดถึงตรงนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะลูบท้องตัวเอง หากยังไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ลู่หวยเฟิงก็จะไม่มีงานทำ ครอบครัวของพวกเขาจะไม่ต้องพังหรอกเหรอ หากสวี่จือจือตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก โควต้าของเธอจะยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีก
แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองลู่ซือหยวน เธอก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง
ในบ้านมีลูกสาวที่ถูกหย่าร้างเพราะไม่สามารถมีลูกได้ คงจะไม่ให้ลู่หวยเหรินหย่ากับเธอเพราะเธอไม่สามารถมีลูกได้หรอกมั้ง?
ในใจเธอกำลังคิดฟุ้งซ่าน ก็ได้ยินสวี่จือจือทักทาย “อาสะใภ้สาม พี่หยวนหยวน” แล้วก็พูดกับลู่ซือหยวน “พี่หยวนหยวน เดี๋ยวฉันมาผัดกับข้าวเอง ฉันขอไปทักทายคุณย่าก่อนนะ” พูดจบก็เดินออกไป
เริ่นอิ๋งอิ๋ง “...” เธอมองลู่ซือหยวนอย่างระมัดระวัง เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ยังคงหั่นผักต่อไป ก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ
ในความทรงจำของเธอ ลู่ซือหยวนเป็คนที่เสียงดังและโผงผางมาโดยตลอด อีกฝ่ายจะยอมช่วยสวี่จือจือทำครัวแบบนี้เหรอ?
สักพักจ้าวลี่เจวียนก็มา ตอนนี้ไม่ต้องทำอาหาร เธอจึงได้นอนตื่นสายได้อีกหน่อย
สวี่จือจือล้างหน้าล้างตาเสร็จก็ถือโอกาสเด็ดพริกเขียวจากในสวนกลับมาด้วย สภาพอากาศตอนนี้เป็่ฤดูใบไม้ร่วง พริกส่วนใหญ่เริ่มเป็สีแดงแล้ว เธอจึงเด็ดพริกสีเหลืองอมเขียวเล็กๆ น้อยๆ มา นำน้ำมันหมูใส่กระทะตั้งไฟให้ร้อน นำพริกเหลืองอมเขียวที่หั่นไว้แล้วใส่ลงไปผัด พอผัดจนน้ำในตัวพริกแห้งแล้วก็ราดด้วยน้ำส้มสายชู
ได้ยินเพียงเสียงฉ่าและกลิ่นพริกที่ฉุนกึกก็โชยออกมา ฉุนจนเริ่นอิ๋งอิ๋งอดไม่ได้ที่จะจามออกมาหลายครั้ง
“อาสะใภ้สามออกไปก่อนเถอะค่ะ” สวี่จือจือกล่าว “ไม่ต้องเฝ้าเตาแล้วค่ะ”
เวลานี้เธอคิดถึงเครื่องดูดควันในชาติก่อนอย่างมาก
เริ่นอิ๋งอิ๋งพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไป
ผัดกับข้าวเป็ไหม ไม่ทำให้คนสำลักตายเลยเหรอ?
พออีกฝ่ายออกไปแล้วลู่ซือหยวนก็เข้ามาใกล้สวี่จือจือ แล้วกระซิบข้างหูเบาๆ “อาสะใภ้สามของบ้านเราทำเป็แต่เฝ้าเตา ทำกับข้าวไม่เป็หรอก”
คนในบ้านทำอาหารล้วนแต่เป็ท่านอาสามที่ทำ ไม่เพียงแต่ทำอาหารเท่านั้น งานบ้านอื่นๆ ก็ไม่ค่อยให้เริ่นอิ๋งอิ๋งทำ
หากจะพูดว่าผู้หญิงทั้งประชาคมชีหลี่ใครน่าอิจฉาที่สุด ก็ต้องเป็เริ่นอิ๋งอิ๋งนั่นแหละ
ไม่ต้องพูดถึงเื่ไกลตัว เอาแค่ลู่ซือหยวนก็เคยอิจฉาอาสะใภ้สามคนนี้เป็พิเศษ เหตุผลอื่นไม่มี ถึงแม้จะเป็ผู้หญิงที่ไม่สามารถมีลูกได้เหมือนกัน แต่การปฏิบัติต่อกันกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน
บ้านตระกูลลู่ไม่เคยรังเกียจเริ่นอิ๋งอิ๋งเลย ตรงกันข้ามคุณนายลู่ที่เป็แม่สามียังมักจะปลอบใจเริ่นอิ๋งอิ๋ง บ้านตระกูลลู่ของพวกเขามีลูกเยอะ หากทั้งสองชอบเด็กจริงๆ อย่างมากรับเลี้ยงสักคนก็ได้
ลู่หวยเฟิงก็คิดเช่นเดียวกัน แต่เริ่นอิ๋งอิ๋งกลับยึดติดกับเื่ลูกมากเกินไป ยาจีนที่ขมแสนขมก็ดื่มลงไปโดยไม่ขมวดคิ้ว ใครห้ามก็ไม่ฟัง
หลังจากที่เริ่นอิ๋งอิ๋งออกไปก็เริ่มต้มยาของตัวเองบนเตาเล็กๆ ที่อยู่นอกครัว ยาของเธอต้องดื่มทุกวัน จะหยุดพักวันเดียวไม่ได้
พอสวี่จือจือผัดกับข้าวเสร็จ เดินออกมาก็เห็นอีกฝ่ายกำลังรินยาต้มออกมาจากหม้อด้วยตะเกียบ
ยาจีนสีดำปี๋ มองดูน่าขยะแขยง
เมื่อเห็นสวี่จือจือมองมา เริ่นอิ๋งอิ๋งก็ชะงักไป ยาจีนหกออกมาเล็กน้อยโดยไม่ตั้งใจ อีกฝ่ายหดคอเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงใสๆ ของสวี่จือจือ “อาสะใภ้สามต้มยาอยู่เหรอคะ”
“อืม” เริ่นอิ๋งอิ๋งพยักหน้ารินยาต่อไป
สวี่จือจืออดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายอีกครั้ง เธอรู้สึกว่าอาสะใภ้สามคนนี้แปลกๆ แต่จะให้บอกว่าแปลกตรงไหน เธอก็บอกไม่ได้
การกินข้าวของบ้านตระกูลลู่จะกินกันทั้งครอบครัวที่โต๊ะใหญ่ในห้องโถงเสมอ วันนี้คนเยอะขึ้นมาอีก มีอาสามกับอาสะใภ้สามมาด้วย ไหนจะลู่จิ่งซานขาเจ็บยังต้องนั่งรถเข็นอีก รถเข็นสองคันวางอยู่ตรงนั้นทำให้ที่ดูจะแคบลงไปบ้าง แต่ไม่ถึงกับนั่งไม่ได้
“ฉันนั่งตรงนั้นก็ได้ค่ะ” เริ่นอิ๋งอิ๋งก้มหน้าก้มตาพูดอย่างรีบร้อน “กับข้าวพวกนี้ฉันกินไม่ได้” เธอยังต้องกินยาอยู่
คนที่นั่งประจำที่อยู่ในห้องก่อนแล้วต่างชะงักไป
“กินตรงนี้แหละ” ลู่หวยเฟิงกล่าว ในน้ำเสียงมีความจนปัญญาอยู่บ้าง
นานๆ ทีพวกเขาถึงได้กลับมากินข้าวสักครั้ง จะให้ภรรยานั่งอยู่ข้างๆ คนเดียวได้ยังไง?
น้ำตาของเริ่นอิ๋งอิ๋งก็ไหลออกมา
สวี่จือจือ “...” เธอรู้สึกงุนงงเล็กน้อย ทำไมถึงร้องไห้ล่ะ?
แต่คนในบ้านตระกูลลู่กลับเห็นจนชินตาแล้ว
“กินข้าวกันเถอะ” คุณนายลู่เหลือบมองสะใภ้สามอย่างเฉยเมย แล้วหันมายิ้มให้สวี่จือจือ “กินเยอะๆ นะ”
สีหน้าของเริ่นอิ๋งอิ๋งซีดเผือดลงทันที ในห้องเงียบสงัดลง
แต่ในเวลานี้เองก็มีเสียงดังขึ้นที่หน้าประตูบ้าน “คุณย่าคะ พวกเรามาโขกศีรษะให้คุณย่าแล้วค่ะ” เป็เสียงของอันฉิน
คุณนายลู่เหลือบมองลู่จิ่งเหนียนอย่างเฉยเมย “ปิดประตูรั้วหรือยัง?”
ลู่จิ่งเหนียนพูดอย่างตื่นเต้น “เมื่อกี้ตอนกินข้าวผมปิดประตูแล้ว รับรองว่านกสักตัวก็บินเข้ามาไม่ได้”
หญิงชราก็คือหญิงชราจริงๆ คาดการณ์ได้แม่นยำมาก ไม่แปลกใจเลยว่าเมื่อกี้ตอนกินข้าวถึงได้เรียกให้เขาปิดประตู ที่แท้ก็คำนวณไว้แล้วนี่เอง
“คุณแม่” จ้าวลี่เจวียนสงสัยเล็กน้อย “คุณแม่รู้ได้ยังไงคะว่าพวกเขาจะมา?”
คุณนายลู่เหลือบมองสะใภ้ใหญ่อย่างเฉยเมย “ต่อไปเื่การแต่งงานของจิ่งเหนียน อย่าเพิ่งหลงเชื่อคำพูดของใครแล้วตกลงนะ เื่การแต่งงานของเขา ถ้าฉันไม่พยักหน้า คำพูดของเธอก็ไม่เป็ผล”
จ้าวลี่เจวียนพูดไม่ออก เธอเพียงแค่ถามคำถามในใจ ทำไมถึงได้โยงไปถึงเื่การแต่งงานของลูกชายได้ล่ะ?
แต่เธอไม่กล้าพูดอะไรอีก ถ้าพูดอะไรมากกว่านี้เกรงว่าแม้แต่ข้าวก็ไม่มีสิทธิ์กินแล้ว
เฮ้อ...กลุ้มใจจริงๆ!
.............................