ประตูอัตโนมัติเปิดออก
เธอเห็นป้าเพ็ญยืนรออยู่ด้วยใบหน้าเศร้า
ทั้งสองกอดกันแน่น น้ำตาไหลเงียบ ๆ
ในอ้อมกอดนั้นไม่มีคำพูดใด ๆ
มีเพียงเสียงสะอื้นกับหัวใจสองดวงที่สูญเสียสิ่งสำคัญไปตลอดกาล
บ้านไม้หลังใหญ่ในตรอกจันทน์อันเงียบสงบ
เงาร่มไม้สูงทอดตัวบนระเบียงเก่า
เมื่อรถของป้าเพ็ญจอดลง วีวี่ก็ยังคงนั่งนิ่งอยู่ในเบาะหลัง
แสงแดดอ่อนของกรุงเทพฯในยามนี้ ส่องลอดม่านใบไม้
กลิ่นดินชื้นหลังฝนเมื่อคืนแตะปลายจมูก
หัวใจเธอสั่นอย่างประหลาด
“วีวี่ ถึงบ้านแล้วลูก”
เสียงของป้าเพ็ญแ่เบา
แต่ก้องกังวานในใจหญิงสาวจนแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่
วีวี่ค่อย ๆ เปิดประตูรถ
เสียงกระเป๋าเดินทางลากผ่านกรวดหน้าบ้าน
เธอเงยหน้ามองบ้านจันทรโรจน์ที่เธอเคยจากไปอย่างเด็กสาว
บัดนี้บ้านหลังนี้กลับดูเล็กลงในสายตา
แต่ภาระในใจกลับใหญ่โตเกินจะรับ
บานประตูไม้บานเดิมที่เคยเปิดรับเสียงหัวเราะ
กลายเป็ประตูที่ขังเสียงสะอื้นไว้ในอากาศ
เธอสูดลมหายใจลึก—กลิ่นไม้เก่าและดอกปีบจาง ๆ ลอยฟุ้ง ทุกอย่างดูคุ้นเคย แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ก้าวแรกเข้าไปในบ้านเล็ก บ้านของคุณยายที่แยกจากบ้านหลังใหญ่
รองเท้าแตะคู่เดิมของคุณยายยังคงวางอยู่ข้างชั้นวาง
ผ้าเช็ดเท้าลายดอกที่คุณยายถักวางรอรับทุกคน
แม้แต่แว่นสายตาเก่าของยายก็ยังวางบนหนังสือสวดมนต์เหมือนเ้าของบ้านยังอยู่ แต่ความจริงนั้น
วีวี่เดินไปช้า ๆ
ปลายนิ้วแตะโต๊ะรับแขก
ภาพถ่ายกรอบเงินที่วางอยู่ —
ภาพวันรับปริญญา
เธอในชุดครุย กอดคุณยายอมราที่ยิ้มกว้าง
วีวี่จ้องนาน น้ำตารื้น
เธอนั่งลงบนเก้าอี้โยก
เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดเบา ๆ เหมือนคุณยายกำลังโยกตัวอ่านหนังสือในยามเช้า
ความทรงจำซ้อนทับมา —
วันฝนตกที่คุณยายไม่ห้ามเธอออกไปตากฝน
“วีวี่อย่ากลัวเปียกฝน ทำให้เรามีภูมิคุ้มกัน เพราะมันก็แค่อาบน้ำสระผม แล้วก็ทานซุปอุ่น ๆ ก็ดีขึ้นแล้ว
หากเรากลัวอะไรมากเกินไปเราจะไม่กล้าเริ่มอะไรใหม่ ๆ เลย”
“ทุกอย่าง ถ้าเรารู้วิธีแก้ และปฏิบัติตามก็ไม่ต้องกลัวอะไร สิ่งที่ต้องกลัวคือการไม่กล้าเริ่มต่างหาก”
เสียงหัวเราะในวันนั้นยังคงก้องดังในใจของผู้รับฟัง
วีวี่มองผ่านกระจกบานเก่าเห็นลานบ้านที่ครั้งหนึ่งเคยวิ่งเล่น เห็นมะม่วงต้นเดิมที่คุณยายสอยไม้ขึ้นไปเก็บลูกให้หลานสาว
เห็นแมวสีส้มที่เคยเลี้ยง วิ่งเล่นกับเงาของต้นโมกต้นใหญ่ในสวนหลังบ้าน
“หนูกลับมาแล้วค่ะคุณยาย”
เสียงแ่เบาราวกระซิบ
ราวกับจะขอให้ิญญาอ่อนโยนของคุณยายรับรู้
เธอค่อย ๆ วางกระเป๋าเดินทางไว้ที่มุมบันได
เดินขึ้นไปยังห้องนอนเก่า เตียงไม้เตี้ย ผ้าห่มสีครีม
ถ้วย ชาม ที่คุณยายเคยสะสมไว้ในตู้ ทุกอย่างยังอยู่ครบ
ยกเว้นคนที่เคยเฝ้ารอให้เธอกลับบ้าน
วีวี่นั่งลงข้างเตียง ซบหน้ากับหมอน
สูดกลิ่นอ่อน ๆ ที่หลงเหลือ
เหมือนจะได้ยินเสียงกระซิบของคุณยายอีกครั้ง
“หลานรักของยาย ไม่ว่าจะไปไกลแค่ไหน ที่นี่ก็ยังเป็บ้านของหลาน”
เธอร้องไห้เงียบ ๆ ท่ามกลางห้องที่เต็มไปด้วยอดีต
บอกตัวเองซ้ำ ๆ ว่า แม้เ้าของบ้านจะจากไป
แต่ความรักและความทรงจำ จะไม่มีวันหายไปไหน
และเมื่อเสียงรถตู้ดังมาจากหน้าบ้าน
ป้าเพ็ญเดินมาเคาะประตูห้อง
“คุณวีวี่ ถึงเวลาไปวัดแล้วนะคะ”
หญิงสาวลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า
แต่แววตาในเงาสะท้อนกระจกกลับแน่วแน่
วันนี้ เธอจะไปส่งคุณยายครั้งสุดท้าย
ในฐานะหลานสาวที่ท่านรักและเลี้ยงดู
บ่ายวันนี้ แดดส่องลอดซุ้มประตูวัดเก่า
เสียงระฆังแ่เบาดังเป็จังหวะต้อนรับผู้มาร่วมไว้อาลัย
วีวี่ในชุดดำก้าวลงจากรถตู้
ยืนมองศาลาวัดที่ประดับพวงหรีดรายล้อม
กลิ่นธูปกับกลิ่นดอกไม้สดประสมกันในอากาศ
“วีวี่”
เสียงทุ้มจากลุงวิทยา ลูกชายคนโตของคุณอมรา
ชายสูงวัยร่างท้วมผิวขาว ใบหน้าอิ่มเหมือนคุณอมรา เดินตรงเข้ามากอดหลานสาวแน่น
“ดีใจที่กลับมาทันนะลูก ยายเขาคงดีใจ”
น้ำตาเอ่อขึ้นขอบตาอีกครั้ง
วีวี่ฝืนยิ้ม เจอหน้าลุงวุฒิ ชายสูงวัย ร่างสูงโปร่ง ผิวสีแทน ใบหน้าคมเข้ม ท่าทางเคร่งขรึม ซึ่งเป็น้องชายของลุงวิทยา
“เข้มแข็งนะวีวี่ คุณยายไปสบายแล้ว” ลุงวุฒิพูดสั้น ๆ แต่บีบไหล่เธอเบา ๆ ญาติคนอื่น ๆ ทยอยเข้ามาทักทาย
บ๊วยหวาน ลูกสาวลุงวิทยา ผู้มีใบหน้ายิ้มแย้ม ผิวขาว สูงพอประมาณ ผมยาวตรงประบ่าสีน้ำตาลเข้ม ยิ้มให้ทั้งน้ำตา
“พี่วีวี่ กลับมาแล้วจริง ๆ ดีใจนะคะ ถึงจะเป็งานแบบนี้ก็ตาม”
ข้างศาลามีโต๊ะสำหรับรับแขก ญาติหลายคนคุยกันเสียงเบา
บางคนพูดถึงความใจดีของคุณยาย
บางคนพูดถึงวีวี่ว่าตอนเด็กซนแค่ไหน
แต่ทุกเื่ราวล้วนกลับกลายเป็รอยยิ้มปนเศร้า
พิธีสวดเริ่มขึ้น
เสียงพระสวดมนต์ประสานกับเสียงร้องไห้แ่ ๆ
วีวี่นั่งนิ่งข้างป้าเพ็ญ ทุกคำสวดราวกับรอยมีดกรีดหัวใจ
ภาพวัยเด็กย้อนกลับมา
วันที่คุณยายพาเธอมาวัด ทำบุญวันเกิด
วันที่เธอถือกระทงมือละใบ เดินเคียงข้างยายท่ามกลางแสงเทียน
หลังสวดเสร็จ
กลุ่มญาติลุกขึ้นพูดคุย
“วีวี่ เดี๋ยวลุงกับลุงวุฒิจะคุยเื่พินัยกรรมต่อ เสร็จแล้วค่อยมาหาลุงนะลูก” ลุงวิทยาหันมาคุยกับวีวี่ก่อนจะปลีกตัวออกจากกลุ่มญาติ
“ค่ะ คุณลุง”
บ๊วยหวานเดินมาจับมือวีวี่
“หนูไม่คิดว่าจะร้องไห้หนักขนาดนี้เลยค่ะ มันเหมือนเสียแม่ไปอีกคน”
“พี่ก็เหมือนกันหวาน พี่ไม่ได้อยู่ตรงนี้กับยายตอนสุดท้ายเลย พี่รู้สึกผิดมาก”
บ๊วยหวานกอดวีวี่แน่น
“ยายรักพี่ที่สุดนะคะ ทุกวันยายเอารูปพี่มาอวดให้หนูดูตลอดเลย ถ้าบ๊วยได้ไปเยี่ยมท่าน”
เสียงระฆังดังขึ้น
วีวี่หันไปมองโลงศพซึ่งประดับด้วยดอกลิลลี่สีขาว กลิ่นหอมจาง ๆ ที่เธอจำได้ดี
เสียงพระสวดกับเสียงญาติรอบข้างเงียบลง
เธอหลับตา ภาวนาในใจ
‘ขอให้ยายไปสู่สุขติ ขอให้ยายรู้ว่าหลานกลับมาแล้ว’
น้ำตาอุ่นรินบนแก้ม เธอก้มกราบกับพื้น
เงียบงัน มีเพียงเสียงสายลมและกลิ่นดอกไม้
เวลาผ่านไปจนถึง่พิธีเผาศพ
ดวงอาทิตย์ยอแสง
เสียงกลองยาวและพระสวดดังต่อเนื่อง
ผู้คนทยอยเดินเข้าสู่เมรุ ป้าเพ็ญจับมือวีวี่ไว้แน่น
ขบวนหลาน ๆ ญาติ ๆ ยืนเรียงแถว
วีวี่ประคองกรอบรูปคุณยาย
มือสั่นแต่แววตามุ่งมั่น เธอเดินนำขบวน
ลุงวิทยา ลุงวุฒิ บ๊วยหวาน และญาติคนอื่น ๆ เดินตาม
เสียงสวดมนต์เบาลง
เ้าหน้าที่วัดเชิญให้วางดอกไม้จันทน์
วีวี่ยื่นดอกไม้จันทน์ในมือสั่นไหว แต่พยายามกลั้นน้ำตาไว้ แม้ในใจร่ำร้อง เศร้าโศกเพียงไร
“หลับให้สบายนะคะคุณยาย หนูรักคุณยายมาก ๆ ขอบคุณสำหรับทุกอย่างที่คุณยายทำให้วีวี่มาโดยตลอด”
ไฟเริ่มลุกที่เตา
เธอยืนมองเปลวไฟนั้นแผดเผาความรัก ความทรงจำ และอดีตอันสวยงามของความทรงจำอันล้ำค่านี้
หัวใจบีบแน่นเหมือนถูกบีบจนหายใจไม่ออก
น้ำตาไหลไม่หยุด
บ๊วยหวานมากอดจากข้างหลัง
“ร้องไห้เถอะพี่วีวี่ ร้องให้พอเลยนะคะ คนเราอ่อนแอได้”
ทุกคนยืนมองเตาเผาอย่างเงียบงัน
รอยยิ้มในความทรงจำถูกส่งไปกับควันขาวที่ลอยขึ้นฟ้า
และในค่ำคืนนั้น วีวี่รู้ดีว่าเธอได้กลับบ้าน เพื่อบอกลาเป็ครั้งสุดท้าย
แม้มันจะเป็คำลาที่แสนเศร้าและไม่มีวันได้ยินคำตอบ
หลังจากเปลวไฟสุดท้ายจางหาย
สายลมยามเย็นปลิวเอื่อยผ่านลานวัด
วีวี่กับป้าเพ็ญช่วยกันเก็บอัฐิของคุณยายอมราไว้ในโกศแก้ว ซึ่งบางส่วนถูกเก็บไว้ที่วัด ส่วนหนึ่งเธออุ้มกลับบ้าน
เพื่อให้ “บ้าน” ยังได้เป็ที่พักพิงของคุณยายอีกครั้ง
บรรยากาศในบ้านจันทรโรจน์เงียบงัน
กลิ่นธูปคละคลุ้ง
รูปถ่ายคุณยายอมราที่ประดับดอกไม้สดถูกวางกลางโต๊ะรับแขก ญาติพี่น้องนั่งล้อมวงกันครบหน้า
บ๊วยหวานช่วยป้าเพ็ญเสิร์ฟน้ำชาให้แต่ละคน
ลุงวิทยาและลุงวุฒินั่งข้าง ๆ วีวี่
เสียงนาฬิกาแขวนเดินเป็จังหวะเดียวกับลมหายใจหนักอึ้งของทุกคน
ไม่นาน
ชายในสูทดำเดินเข้ามา
ทนายสมภพ – ทนายความคู่ใจของคุณยาย
ในมือของเขาถือซองเอกสารสีน้ำตาลปึกหนา
สายตาเคร่งขรึมแต่สุภาพ
“ทุกท่านพร้อมแล้วนะครับ ก่อนจะอ่านพินัยกรรม ขออนุญาตแจ้งเงื่อนไขบางประการตามเจตนารมณ์ของคุณอมราครับ”
ห้องทั้งห้องเงียบกริบ
เสียงแก้วน้ำชากระทบโต๊ะดังขึ้นเบา ๆ
วีวี่กลั้นใจ ตั้งใจฟัง
มือกำชายกระโปรงแน่น
ทนายสมภพเปิดเอกสาร หยิบกระดาษออกมาหนึ่งแผ่น
“คุณอมราตั้งใจให้มีการรวมตัวของครอบครัวทุกคนที่
บ้านหลังนี้ ในวันที่เสร็จสิ้นพิธีศพ เพื่อรับฟังเจตนารมณ์สุดท้ายของท่าน”
“โดยวันนี้จะเป็การเปิดพินัยกรรมในส่วนหนึ่งก่อน หากผู้ได้รับมรดกตกลงตามรายละเอียดในพินัยกรรม
พรุ่งนี้จะเป็การเปิดรายละเอียดพินัยกรรมทั้งหมด”
สายตาของลุงวิทยา ลุงวุฒิ และบ๊วยหวานต่างหันมาสบตากัน
วีวี่รู้สึกได้ถึงความตึงเครียดในอากาศโดยรอบ
“ข้อแรก” ทนายสมภพอ่านด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ขอให้หลานสาว วรรษมน จันทรโรจน์ เป็ผู้ถือครองบ้านจันทรโรจน์และทรัพย์สินในบ้านนี้
รวมถึงดูแลอัฐิคุณอมราบางส่วนที่นำกลับมา”
เสียงกระซิบเบา ๆ ดังขึ้นจากญาติ
วีวี่รู้สึกเหมือนทุกสายตาหันมาจับจ้อง
“ข้อสอง
เงินสดจำนวนหนึ่งร้อยล้านบาทในบัญชีธนาคารของคุณอมรา ขอมอบให้หลานสาว วรรษมน ในฐานะทายาทหลัก
แต่มีเงื่อนไขสำคัญ
คือ ต้องกลับมาใช้ชีวิตในประเทศไทย
และอยู่ดูแลบ้านหลังนี้ หากฝ่าฝืนหรือเดินทางกลับไปต่างประเทศก่อนครบ
กำหนดสิทธิ์ในมรดกนี้จะตกเป็ของบุตรชายทั้งสองคนของข้าพเ้าแทน”
เสียงฮือเบา ๆ จากญาติ
บ๊วยหวานตาโต
ลุงวิทยาหันมาแตะไหล่ลูกสาวราวกับให้กำลังใจ
“ข้อสาม”
ทนายหยิบเอกสารอีกแผ่นขึ้นมาอ่าน
“หุ้นของบริษัท จันทร กรุ๊ป จำกัด จำนวน 1,500,000 หุ้น จะถูกถือในนามของวรรษมน โดยมีสิทธิ์ในการบริหาร
และในกรณีที่วรรษมนประสงค์จะขายหุ้นหรือโอนสิทธิ์ ต้องได้รับความเห็นชอบจากคุณวิทยาและคุณวุฒิร่วมลงนาม”
วีวี่นิ่งงัน
ความรับผิดชอบความคาดหวังถูกถาโถมเข้ามา
แต่แฝงความห่วงใยของคุณยายที่อยากให้เธอกลับมา
เริ่มต้นใหม่ที่บ้านและช่วยสานต่อธุรกิจครอบครัว
บ๊วยหวานกระซิบเบา ๆ
“พี่วีวี่ ยายเขารอให้พี่กลับบ้านจริง ๆ นะ มรดกส่วนใหญ่ยกให้พี่หมดเลย”
ทนายสมภพวางเอกสารลง
“ทั้งหมดนี้คือเงื่อนไขเบื้องต้น หากวรรษมนยินดีรับเงื่อนไข มรดกทุกอย่างจะตกเป็ของคุณทันที
แต่ถ้าไม่ ขอให้แจ้งเจตจำนงก่อนวันเปิดพินัยกรรมฉบับสมบูรณ์ในวันพรุ่งนี้เพื่อจัดสรรสิทธิ์ต่อไป”
บรรยากาศในห้องรับแขกแน่นขนัดไปด้วยความรู้สึกหลากหลาย ความหวัง ความกังวล ความตื่นเต้นปนเศร้า
ทุกคนรอคำตอบของวีวี่
ในความเงียบนั้น
“ดิฉันยินดีรับเงื่อนไขค่ะ” วีวี่พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบงันที่รอดูท่าทีของผู้ที่ได้รับมรดกก้อนโตซึ่งเป็มรดกส่วนใหญ่ของคุณอมรา
หญิงสาวเม้มปากแน่น หยิบภาพถ่ายคุณยายมาวางไว้บนตัก
ในใจของเธอ
ไม่ใช่เพียงมรดกที่ได้รับแต่คือความรับผิดชอบและหน้าที่
หลังทนายสมภพแจ้งเงื่อนไขของวีวี่จบ
ทนายวางเอกสารลง แล้วยื่นในส่วนนี้ให้วีวี่
ทุกคนในห้องต่างนิ่งงันอย่างไม่เชื่อสายตาว่าคุณอมราจะมอบสมบัติในส่วนที่หลายคนในบ้าน้าให้กับหลานสาวคนนี้
อย่างตั้งใจ..
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้