ไม่นานแขนขาแข็งทื่อของโจวไหวก็อ่อนยวบลงลูกชายคนโตของสกุลโจวประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่ง ริมฝีปากของเขาขยับเล็กน้อยในที่สุดก็สามารถเอ่ยออกมาว่า “นี่เกิดอะไรขึ้นกับข้า?”
"ท่านพ่อ จู่ๆ ท่านก็ชักกระตุกจนหมดสติ เกือบจะต้องสิ้นใจแล้วขอรับ"ลูกชายคนโตของสกุลโจวยังคงรู้สึกกลัวเล็กน้อยเขามองไปที่อวี๋เจียวและเอ่ยอย่างจริงใจว่า"ต้องขอบคุณแม่นางเมิ่งที่ช่วยเหลือถึงสามารถรักษาชีวิตนี้ของท่านเอาไว้ได้"
โจวไหวมองอวี๋เจียวด้วยความประหลาดใจเล็กน้อยเคยได้ยินเพียงว่าสกุลอวี๋ใช้เงินซื้อหญิงสาวคนหนึ่งจากสกุลเมิ่งเพื่อเสริมมงคลให้คุณชายห้านึกไม่ถึงว่าแม่นางที่ถูกซื้อตัวมาผู้นี้จะมีวิชาหมอติดตัวเขาหันไปเอ่ยขอบคุณอวี๋เจียว
สตรีแซ่โจวกลับมาจากตามผู้เฒ่าอวี๋ไปเอาสมุนไพรครั้นเห็นโจวไหวลุกขึ้นยืนราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ยังพูดคุยทั้งรอยยิ้มดูไม่ออกแม้แต่นิดว่าเมื่อครู่ใกล้ตาย นางอดซาบซึ้งในพระคุณของอวี๋เจียวไม่ได้ชื่นชมวิชาหมอที่เก่งกาจของนาง เอ่ยถามขึ้นว่า "ค่ารักษาเท่าใดเ้าคะ? ข้าจะให้สือโถวไปเอาที่เรือน"
อวี๋เจียวมองไปทางอวี๋หรูไห่"ท่านถามเื่ค่ารักษาและค่ายากับท่านผู้เฒ่าเถิดนี่เป็ครั้งแรกที่ข้ารักษา ข้าไม่ค่อยรู้เื่นัก"
อวี๋หรูไห่คิดไม่ถึงว่าอวี๋เจียวจะกล่าวเช่นนี้เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง"แม้ว่าอาการป่วยของโจวไหวจะเป็อาการป่วยหนักกะทันหันแต่สมุนไพรในเทียบยาก็ไม่นับว่าแพงอีกทั้งยังเป็ครั้งแรกที่ภรรยาของหลานห้าทำการรักษาก็จะรับเงินจากพวกเ้าแค่ห้าตำลึงเท่านั้น"
สตรีแซ่โจวค้อมเอวกล่าวขอบคุณอวี๋เจียวเอ่ยกับโจวไหวว่า "ควรดื่มยาเสริมหยางให้น้อยลงถึงจะดีเ้าค่ะ"
สองสามีภรรยาสกุลโจวหน้าแดงก่ำทันใดสายตาหลบเลี่ยง ในฐานะหมอ อวี๋เจียวคุ้นชินกับสถานการณ์เช่นนี้มานานแล้วเอ่ยกับโจวไหวเช่นปกติว่า "ครั้งนี้ท่านโชคดีที่แค่ชักแล้วหมดสติอาการม้าทะยานลมสามารถทำให้เสียชีวิตกะทันหันภายหลังอย่าได้หักโหมเื่บนเตียงจนเกินไป"
เมื่อทุกคนในห้องได้ยินคำกล่าวไม่ปิดบังของอวี๋เจียวสีหน้าของพวกเขาต่างฉายแววกระอักกระอ่วน
โจวไหวอายุมากแล้วเมื่อเื่เช่นนี้ถูกเอ่ยอย่างเปิดเผย ใบหน้าจึงเปี่ยมด้วยความเขินอายตอบกลับอย่างตะกุกตะกักว่า "ระ... รู้แล้ว"
สตรีแซ่โจวรีบเอ่ยขึ้นเช่นกัน"แม่นางเมิ่งลำบากแล้ว มาปลุกพวกเ้าในยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ถือเป็การรบกวนจริงๆ พวกเราจะกลับไปก่อนก็แล้วกัน"
กล่าวจบประคองโจวไหวพร้อมกับดึงบุตรชายที่ยังตะลึงงันอีกคนบุตรชายคนโตของสกุลโจวนามสือโถวรีบยกบานประตูขึ้นมาทันใด
ยากนักที่อวี๋หรูไห่จะกล่าวว่า"ข้าจะไปส่งพวกเ้า"
สตรีแซ่โจวเดินออกไปข้างนอกพลางหันกลับมาเอ่ยกับอวี๋เจียวอย่างมีไมตรีว่า"แม่นางเมิ่ง ต่อไปหากมีเวลาว่างก็ไปนั่งที่เรือนข้าบ่อยๆข้าจะทำแป้งทอดให้เ้ากิน”
อวี๋เจียวแย้มยิ้มพลางพยักหน้า
อวี๋หรูไห่ไปส่งคนสกุลโจวที่ประตูสตรีแซ่โจวกล่าวชมไม่ขาดปาก "ลุงอวี๋ หลานสะใภ้คนนี้ท่านหามาได้ดีมากนอบน้อมถ่อมตนจนนึกไม่ถึงว่าจะมีวิชาหมอที่ดีเช่นนี้!ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นด้วยตาตัวเอง ข้าคงไม่อยากจะเชื่อว่าสตรีจะรู้วิชาหมอ ลุงอวี๋ท่านรู้อยู่แล้วว่าแม่นางเมิ่งรู้วิชาหมอใช่หรือไม่เ้าคะ? ท่านถึงได้หาสะใภ้เช่นนี้มาให้คุณชายห้า?"
สีหน้าของอวี๋หรูไห่ดูไม่สบอารมณ์"สกุลเมิ่งของนางมีหรือจะรู้วิชาหมอ? แต่หลานสะใภ้ของข้ามีพร์เื่สมุนไพรแม้ว่านางจะร่ำเรียนจากข้าเพียง่เวลาสั้นๆ แต่ก็ประสบผลสำเร็จอยู่บ้าง"
สตรีแซ่โจวเข้าใจความหมายในคำกล่าวของอวี๋หรูไห่จึงยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า "ยังคงเป็ท่านลุงอวี๋ที่สั่งสอนได้ดีแต่ภรรยาผู้นี้ของคุณชายห้าช่างไม่ต่างจากบังเอิญเก็บสมบัติได้จริงๆ เ้าค่ะ"
อวี๋หรูไห่ส่งคนสกุลโจวออกประตูเอ่ยเสียงเบาว่า “ในใต้หล้านี้การที่สตรีฝึกวิชาหมอไม่ใช่เื่มีเกียรติอะไรยิ่งไปกว่านั้นโจวไหวยังมีอาการเช่นนี้ เื่ที่ภรรยาเ้าห้ารักษาคนในวันนี้หากมีผู้ใดเอ่ยถาม เ้าก็อย่าได้แพร่งพรายออกไป”
สตรีแซ่โจวเข้าใจในทันใดตอบกลับฉับพลันว่า “ข้ารู้แล้วคืนนี้โชคดีที่ท่านลุงอวี๋มีวิชาหมอที่เก่งกาจถึงสามารถช่วยชีวิตบุรุษของข้าเอาไว้ได้เ้าค่ะกลับไปข้าจะกำชับเด็กๆ ให้เงียบปากเอาไว้เ้าค่ะ”
อวี๋หรูไห่พยักหน้าอย่างพอใจส่งคนสกุลโจวออกไปแล้วลงกลอนประตู
เขาอวี๋หรูไห่เป็หมอในหมู่บ้านมาครึ่งชีวิตจะปล่อยให้เด็กผู้หญิงที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมมาแย่งชิงชื่อเสียงไปได้อย่างไร
ภายในห้องสตรีแซ่จางของครอบครัวใหญ่เอ่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ "เมิ่งอวี๋เจียวเ้ายังรู้วิชาหมอด้วยหรือ?"
อวี๋เจียวพยักหน้า"เมื่อครั้งยังเด็ก ตอนไปเมืองหลวงกับท่านพ่อเคยได้เรียนเื่สมุนไพรมาบ้างพอมีความรู้อยู่บ้างเ้าค่ะ"
ขณะที่ครอบครัวใหญ่และครอบครัวรองเข้ามาสีหน้าของโจวไหวแสดงออกว่าใกล้จะสิ้นใจแล้วเห็นกับตาตนเองว่าอวี๋เจียวแค่ทิ่มเข็มลงไปไม่กี่ครั้งเท่านั้นพอเืถูกปล่อยออกมา โจวไหวก็ฟื้นขึ้นมาเสียแล้วนี่เรียกว่ามีความรู้อยู่บ้างได้อย่างไร?
สตรีแซ่จางหันไปเอ่ยกับสตรีแซ่ซ่งซ่งชุน "น้องสะใภ้รอง เ้าก็มีโชคดีเหมือนกัน หลานห้าร่างกายไม่ดีแต่งสะใภ้ที่รู้จักวิชาหมอสักคน ต่อไปมีนางคอยดูแล หลานห้าจะต้องหายดีอย่างแน่นอน"
ซ่งชุนมองอวี๋เจียวด้วยสายตากระตือรือร้นแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
อวี๋เจียวมองไปทางอวี๋ฉี่เจ๋ออวี๋ฉี่เจ๋อหลบสายตาของนาง เก็บพู่กันและกระดาษบนโต๊ะหันหลังเดินออกจากห้องโถงเพื่อกลับไปที่เรือนฝั่งตะวันออก
ฮูหยินเฒ่าอวี๋แค่นเสียงเ็าไม่พอใจที่อวี๋เจียวได้หน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า"แมวตาบอดชนหนูตายก็เท่านั้นยังจะเห็นนางเป็พระโพธิสัตว์มาช่วยชีวิตคนจริงๆอีก!โชคดีที่คนผู้นี้ฟื้นขึ้นมาได้ หากไม่รอดสกุลอวี๋ของพวกเราคงต้องแบกรับหายนะแทนนางแล้ว!"
นางกดใบหน้าลงมองอวี๋เจียวน้ำเสียงราวกับไต่สวนหาความผิด "ดึกดื่นป่านนี้เ้าเป็สะใภ้ใหม่ยังออกมาเสนอหน้าเช่นนี้ ช่างไม่อายเสียจริง!วาจาไร้ยางอายเ่าั้เ้ายังเอ่ยมันออกมาได้หน้าตาสกุลอวี๋ของพวกเราใกล้จะถูกเ้าทำลายจนหมดสิ้นแล้ว!"
อวี๋เจียวหัวเราะเสียงเบา“ในฐานะหมอ การรักษาล้วนแต่เป็หน้าที่ เป็เช่นที่ฮูหยินเฒ่าพูดถ้าข้าไม่ถามถึงอาการป่วย ข้าคงช่วยชีวิตคนไว้ไม่ได้เมื่อถึงเวลานั้นสกุลอวี๋ของพวกท่านถึงจะต้องแบกรับหายนะครั้งใหญ่ข้าแค่ถามถึงอาการป่วย ไม่ทราบว่าประโยคใดทำให้สกุลอวี๋เสียหน้าเ้าคะ?”
ฮูหยินเฒ่าอวี๋พูดไม่ออกทันใดนางจดจ้องอวี๋เจียวด้วยความรังเกียจ "เ้าแค่โชคดีที่จะช่วยชีวิตโจวไหวไว้ได้ตอนนี้หางของเ้ากำลังจะกระดกขึ้นฟ้าแล้วงั้นหรือ? สกุลอวี๋ของข้าไม่มีที่ให้เ้ามาสอดวาจา!ไสหัวกลับไปยังห้องเก็บฟืนของเ้า!"
อวี๋เจียวไม่คิดว่าฮูหยินเฒ่าอวี๋จะพูดจาวางอำนาจบาตรใหญ่เช่นนี้ตอนแรกนางคิดว่าการเปิดเผยฝีมือเล็กน้อยจะเปลี่ยนทัศนคติที่คนสกุลอวี๋มีต่อนางแต่ดูเหมือนว่าความไม่พอใจที่ฮูหยินเฒ่าอวี๋มีต่อนางจะไม่เปลี่ยนไปสักนิด
รอยยิ้มบนใบหน้าของอวี๋เจียวหุบลงขณะที่นางกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง อวี๋หรูไห่ก็เดินเข้ามาจากข้างนอก ชำเลืองมองไปทางอวี๋เจียวชั่วครู่สายตาฉายแววสำรวจ “เ้ามีวิชาแพทย์?”
อวี๋เจียวพูดซ้ำอีกครั้ง"เมื่อตอนยังเด็กเคยตามท่านพ่อไปเมืองหลวงและกราบไหว้ท่านหมอผู้หนึ่งเป็อาจารย์ร่ำเรียนสมุนไพรมาจำนวนหนึ่ง ข้ายังจำได้อยู่บ้างเ้าค่ะ"
ใบหน้าเหี่ยวย่นของอวี๋หรูไห่ปรากฏรอยยิ้มเขาพอจะรู้เื่ของสกุลเมิ่งอยู่บ้างบิดาของเมิ่งอวี๋เจียวนามเมิ่งชิงอวิ๋นออกจากหมู่บ้านสกุลเมิ่งเพื่อไปทำมาหากินด้วยตนเองั้แ่ยังเยาว์หลังจากนั้นพาภรรยาและบุตรสาวกลับไปยังหมู่บ้านสกุลเมิ่งคนในหมู่บ้านถึงได้รู้ว่าหลายปีมานี้เขาอยู่ที่เมืองหลวงอันรุ่งเรืองนับเป็คนที่ได้พบเห็นโลกภายนอกอย่างแท้จริง
เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าเมิ่งอวี๋เจียวจะมีโอกาสเช่นนี้ถึงกับเคยกราบไหว้ท่านหมอในเมืองหลวงเป็อาจารย์หมอในเมืองหลวงย่อมไม่ใช่ผู้ที่คนบ้านนอกอย่างเขาเทียบเคียงได้
อวี๋หรูไห่คิดในใจ"เป็ดังคำกล่าวที่ว่าหากไม่ใช่คนคล้ายกันย่อมไม่ได้เข้ามาอยู่บ้านเดียวกันในเมื่อเ้ารู้วิชาหมอ เท่ากับเ้ามีวาสนาต่อสกุลอวี๋ของข้าจริงๆเมื่อไม่กี่วันก่อนเ้าทำเื่เลอะเลือน ยามนี้ได้รับบทเรียนแล้วนับแต่นี้ไปต้องดูแลร่างกายของเ้าห้าให้ดี รีบกลับห้องไปเถิด"