ตอนที่ 28
“แฟนวีร์ ... คือศิลาใช่ไหม”
“คะ…คุณพูดอะไรครับ” ปัณณวีร์ถามออกไปพยายามทำเสียงให้เป็ปกติที่สุด แต่มันก็ยากเหมือนกันที่ต้องทำเป็ไม่รู้ไม่ชี้
มาวินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดตอบ “จะว่ายังไงดี คือพี่บังเอิญน่ะครับ เมื่ออาทิตย์ก่อนตอนเดินมาทางด้านหลังวีร์ แล้ววีร์กำลังคุยแชทอยู่ พี่เสียมารยาทแล้ว”
ปัณณวีร์ไม่รู้จะบ่ายเบี่ยงยังไงเลยในเมื่ออีกฝ่ายเห็นแบบนั้นกับตา ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ มาวินก็พูดขึ้นมาก่อนราวกับรู้ความคิดของปัณณวีร์ หรือเพราะเขาแสดงสีหน้าออกชัดเจนเกินไปก็ไม่รู้ "ดูจากบุคลิกของศิลาแล้วไม่น่าจะใช่คนที่คุยหวานอะไรกับใครไปทั่ว ถ้าไม่ใช่คนสำคัญ จริงไหมครับ"
"คุณอย่าเอาเื่นี้ไปบอกใครได้ไหมครับ" ปัณณวีร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนอย่างขอร้อง
"ได้มันก็ได้อยู่ครับถ้าวีร์ขอร้องแบบนี้ พี่ไม่ใช่พวกปากโป้งอยู่แล้ว เื่ของคนอื่นถ้าไม่เกี่ยวข้องกับพี่หรือตัวพี่ไม่ได้ผลประโยชน์พี่ก็ไม่สนใจหรอกครับ” มาวินพูดอย่างตรงไปตรงมา เพราะตัวเขาเป็คนแบบนี้อยู่แล้ว
“ขอบคุณนะครับ”
“แต่พี่อยากจะถามหน่อย วีร์กับเขาคบกันแบบหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้ ไม่อึดอัดแย่หรอ หากเป็พี่คงทำไม่ได้แน่ๆ ศิลาเองก็เป็คนดัง ทั้งฐานะและหน้าตาก็ดี คงมีคนเข้าหาไม่น้อยเลย ไม่หึงบ้างเลยหรอ” คนเปิดเผยเช่นเขาหากว่ามีแฟนและแฟนมีคนเข้ามาจีบเขาคงจะหึงออกนอกหน้ามากๆ คงจะเก็บเป็ความลับได้ไม่นาน
คำถามของมาวินไม่ใช่เขาคนแรกที่ถาม น้ำหนึ่งและดารินเองก็เคยถามเช่นเดียวกัน ปัณณวีร์พยักหน้าเล็กน้อยแล้วตอบกลับ “หึงสิครับ ผมก็เป็คน มีความรู้สึกเหมือนกัน ทำไมจะไม่หึงแฟนตัวเองล่ะครับ แต่เพราะมันจำเป็ต้องปิดเป็ความลับก็เลยต้องทนต่างหาก”
ใครว่าไม่หึงไม่หวง งานก็ส่วนงานปัณณวีร์เข้าใจดี เพียงแต่บางครั้งมันก็มีบ้างที่คนเข้ามาหาศิลาตรงๆ หรือใช้งานในการเข้าหาแม้คนของเขาจะไม่สนใจก็ตาม เพียงแต่ปัณณวีร์ไม่เคยพูดออกไปเท่านั้น เพราะไม่อยากให้ศิลาต้องคอยลำบากใจไปด้วย เพราะงานของอีกฝ่ายต้องเจอคนมากมายอยู่แล้ว
“ทำไมต้องปิดเป็ความลับด้วยล่ะครับ” มาวินยิ้มให้แล้วพูดต่อ “ตอนนี้มันปีไหนกันแล้ว หากเป็เมื่อก่อนผมก็พอเข้าใจว่าสังคมยังไม่เปิดรับเื่พวกนี้นัก แต่ตอนนี้มันเริ่มเปลี่ยนไปแล้วนะครับ ดูอย่างดาราบางคนที่กล้ายอมรับว่าตัวเองชอบผู้ชายสิครับ พวกเขาก็ยังคงมีงานเข้ามาให้เหมือนเดิม”
“แต่ตอนนี้ศิลาเป็พระเอกนะครับ คุณมาวินคิดว่าหากเปิดเผยออกไปแล้วเขามาเล่นเป็พระเอกจะยังมีคนอินกับเขาอยู่หรอครับ” ปัณณวีร์ถามกลับ มาวินคิดตามแล้วพยักหน้าเบาๆ
“เห้ออ นั่นสินะ พี่ก็พอเข้าใจในมุมนี้ บางทีมันก็ไม่ได้ยุติธรรมเสมอไปจริงๆ ทั้งๆ ที่คนเราควรจะมองที่การแสดงมากกว่า แต่ไปโฟกัสกับสิ่งที่เขาเป็มากกว่าซะงั้น”
“นั่นแหละครับคือสิ่งที่ผมกังวล สังคมเราก็เป็กันแบบนี้ นอกจากคนดูแล้วยังมีตัวละครนางเอกอีกละครับ ก็มีให้เห็นที่ไม่ยอมเล่นบทนางเอกคู่พระเอกที่มีข่าวลือว่าเป็เกย์เพราะไม่อิน เื่แบบนี้มันละเอียดอ่อนมากนะครับ” ปัณณวีร์อธิบาย
“พี่เข้าใจครับ พี่ก็ลืมไปว่าบางครั้งคนเราก็ทำอะไรตามใจตัวเองไม่ได้นัก ... แล้ววีร์เคยคิดไหมว่าจะออกจากวงการบันเทิงวงการมายา ออกไปใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขโดยไม่ต้องมาคิดว่าจะทำอะไรได้บ้าง ไม่ต้องมาคิดหน้าคิดหลังว่าทำแล้วจะมีผลอะไรตามมาบ้าง”
ปัณณวีร์เงียบไป เขาเองก็ยังไม่ได้คิดถึงวันนั้นเหมือนกัน เพราะตอนนี้ต่างคนต่างมีสิ่งที่ต้องทำของตัวเอง พอถูกถามแบบนี้ก็ทำให้ได้คิดว่าหรือจริงๆ แล้วทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่ตัวของเขากันไม่ใช่อยู่ที่ศิลา ศิลามักบอกเสมอว่าเขาพร้อมจะเคียงข้างเขาทุกอย่าง ไม่ว่าปัณณวีร์จะตัดสินใจยังไง มีเพียงแต่ปัณณวีร์ที่คอยห่วงหน้าที่การงานของศิลา กังวลแทนอีกฝ่ายไปมากมายเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องมาเสียทุกอย่างไปเพียงเพราะว่าคบกับเขา สำหรับศิลาแล้วนั้นขอแค่ที่ตรงนั้นมีปัณณวีร์ ไม่ว่าจะเป็งานอะไรเขาก็ทำได้หมดไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น
“เอาจริงๆ นะครับศิลาดูเหมือนคนมีความสุขที่ไหนเวลาทำงาน พี่เป็คนนอกไม่ได้สนิทกับเขายังพอมองออกเลย” มาวินพูดต่อ หลายปีมานี้เห็นศิลาออกงานแต่ละทีก็มีใบหน้าเดียวคือนิ่งเฉย มียิ้มบ้างเล็กน้อยเท่านั้น ไม่รู้ว่าเป็คนหน้านิ่งแบบนี้มาั้แ่ไหนแต่ไรหรือเพราะว่าที่ทำอยู่ไม่มีความสุขกันแน่
ปัณณวีร์นึกคิดตาม ตัวเขาเองก็รู้ว่าศิลาเป็คนที่ไม่ค่อยชอบออกงาน ไม่ค่อยชอบไปที่ที่คนเยอะั้แ่ก่อนที่จะมาเป็ดาราแล้ว แต่เพราะมาอยู่วงการนี้นานวันเข้าจึงทำให้ปัณณวีร์รู้สึกหลงลืมไปบ้างว่าจริงๆ แล้วศิลาไม่ได้ชอบเลย
“มันไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบทำ แต่เขามาอยู่ตรงนี้เพราะผม..” เพราะอยากเด่นอยากอยู่ในสายตาของปัณณวีร์ หรือจริงๆแล้วสิ่งที่เขากังวลแทน คิดแทนนั้นกำลังทำให้อีกฝ่ายต้องทนอยู่ในโลกที่อีกฝ่ายไม่ได้อยากจะอยู่
“ขอบคุณคุณมาวินที่ช่วยนะครับ”
มาวินทำหน้างุนงงเล็กน้อยเพราะไม่รู้ว่าตัวเองช่วยอะไร “ช่วยอะไรหรอครับ”
ปัณณวีร์ไม่ได้ตอบ ทำเพียงสิ่งยิ้มให้แล้วลงจากรถไป หลังเลิกกองปัณณวีร์ก็กลับไปหาคนน้องที่รออยู่ที่คอนโด เพราะ่นี้ศิลาอยู่ใน่พัก ดารินไม่ได้รับงานเข้ามามีเพียงงานถ่ายเล็กๆ น้อยๆ ส่วนละครก็เป็ปีหน้าเลย ปัณณวีร์กลับมาถึงก็ได้กลิ่นอะไรไหม้ๆ จึงรีบสืบเท้าอย่างเร็วมาที่โซนห้องครัว
“ศิทำอะไรน่ะ!?” คนเข้ามาใหม่เอ่ยถามด้วยความใ แต่เ้าของห้องกลับใส่ถุงมือถือถ้วยออกจากหม้อนึ่งที่วางอยู่ในอ่างล้างจานและเปิดน้ำใส่อยู่
“พี่วีร์ ผมลองทำไข่ตุ๋นน่ะครับ เห็นพี่ทำแล้วมันง่ายดีดูสิ” ศิลาวางถ้วยไข่ตุ๋นที่ยังคงไม่สุกดีให้คนพี่ดู ปัณณวีร์ถึงกับถอนหายใจเพราะนึกว่าศิลาจะเผาห้องตัวเองซะแล้ว ร่างบางเดินเข้ามาดูแล้วยิ้มบางๆ ก่อนจะเอ่ยถาม
“แล้ว ทำไมหม้อมันเป็อย่างนั้นล่ะ”
“พอดีน้ำมันแห้ง ผมใส่น้ำน้อยไปหน่อยแล้วก็ลืมมาดู ดูอีกทีคือตอนได้กลิ่นไหม้ๆ ... ก็เลยเป็แบบนี้”
ปัณณวีรืได้แต่นึกในใจว่าศิลาไม่ควรจะเข้าครัวจริงๆ เพราะครั้งก่อนอยากลองทำข้าวต้มให้เขาทานตอนเขาไม่สบาย ดูวิธีทำแล้วก็บอกว่าทำง่ายจะทำให้เองแต่พอทำเสร็จกลับกลายเป็ว่าข้าวยังคงแข็งอยู่เพราะอีกฝ่ายรีบเอามาให้กินเนื่องจากอยากให้กินยาแล้วพักผ่อน ไม่พอยังเผลอใส่พริกไทยลงไปซะเยอะอีกต่างหาก
“คราวหน้าถ้าจะทำก็โทรถามพี่ก่อนนะ หรือให้พี่กลับมาทำให้ก็ได้” ปัณณวีร์กลัวว่าอีกฝ่ายจะทำไฟไหม้เข้าจริงๆ สักวัน ที่บอกแบบนี้ไม่ใช่ไม่อยากให้ศิลาทำอาหารให้แต่เพราะกลัวเป็อันตรายมากกว่า
“มันไม่น่ากินหรอครับ” ศิลาเอ่ยถามพลางมองถ้วยไข่ตุ๋นของตัวเอง
“ไม่ใช่ เพียงแต่มันยังสุกไม่ดี และอีกอย่างพี่ไม่อยากให้เหนื่อย หน้าที่ตรงนี้ให้พี่ทำดีกว่า” ปัณณวีร์เอื้อมไปจับมือของอีกฝ่ายไว้เพราะกลัวจะน้อยใจ “นั่งรอดีกว่า เดี๋ยวพี่ทำมื้อเย็นให้เนอะ”
แล้วจับจูงศิลาให้มานั่งที่รอข้างๆ ตรงเคาน์เตอร์สำหรับวางวัตถุดิบอาหาร ปัณณวีร์ถอดเสื้อแขนยาวออกแล้วหยิบเสื้อกันเปื้อนมาใส่แทน ก่อนจะไปค้นดูของในตู้เย็นว่ามีอะไรบ้างที่จะเอามาทำอาหาร จากนั้นก็เอาไข่ตุ๋นของศิลาไปนึ่งใหม่อีกรอบให้มันสุกให้ดีก่อน ศิลานั่งมองและจดจำทุกวิธีการทำเอาไว้ เพราะเขาอยากจะทำอาหารไว้รออีกฝ่ายบ้าง ไม่อยากให้ปัณณวีร์ต้องเหนื่อยเหมือนกัน ทำงานกลับมายังต้องมาทำอาหารให้เขาอีก
เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จทั้งสองก็ช่วยกันเก็บครัวล้างจานและมานั่งดูรายการทีวีไปพลางรอให้อาหารย่อย ปัณณวีร์หันมองศิลาเป็ระยะๆ ราวกับมีเื่อยากจะพูดด้วย จนคนถูกมองรู้สึกได้แล้วหันมาถาม
“มีอะไรรึเปล่าครับ??”
“อ่อ” ปัณณวีร์เม้มปากเข้าหากันก่อนจะตัดสินใจถามออกไป “ศิ จริงๆ แล้วศิอยากจะทำงานอะไร เป็ดารามันไม่ค่อยเหมือนสิ่งที่ศิเป็เลย ตัวศิไม่ค่อยชอบงานสังสรรค์ที่คนเยอะหรือออกงานที่คนเยอะวุ่นวาย พี่เองก็ไม่เคยถามศิมาก่อน”
ศิลายื่นมือมาจับมือเรียวขึ้นแล้วใช้มืออีกข้างลูบวนเบาๆ ที่หลังมือ “ไม่รู้สิครับ ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอยากจะทำอะไร”
ตัวเขามีปัณณวีร์เป็เหมือนแสงสว่างมาั้แ่ต้น เลยไม่เคยคิดเลยว่าจริงๆ แล้วชอบทำอะไร และอยากจะเป็อะไร ชีวิตนี้ถูกคนเป็แม่กำหนดให้มาั้แ่เด็ก โรงเรียนและมหาลัยก็เช่นเดียวกัน ทำให้ศิลารู้สึกว่าต่อให้เขาอยากทำอะไรก็ไม่ได้ทำดั่งใจอยู่ดีจึงเลือกที่จะไม่ออกความคิดเห็นใดๆ
“ผมไม่เคยคิดเพราะตอนนี้ผมได้อยู่กับพี่แล้ว เลยคิดว่าทำอะไรก็ได้แค่มีพี่ก็พอ
“ไม่ใช่ดิ ศิต้องมีสิ่งที่ตัวเอง้าบ้าง ทำอะไรก็ได้ที่เราชอบ พี่รู้นะว่าอาชีพนี้ศิทำมันได้และทำได้ดีด้วยแต่มันไม่ใช่สิ่งที่ศิรักไง” ปัณณวีร์ไม่อยากให้ศิลายึดตัวเขาเป็หลักนักเพราะหากว่าวันใดวันหนึ่งที่ไม่มีเขาขึ้นมาอีกคนจะอยู่ลำบากเพราะเหมือนว่าแสงสว่างในชีวิตที่มีมันดับไปก็เดินต่อไปได้ยาก
“ผมไม่รู้จริงๆ แต่ถ้าเอาที่ผมชอบทำเวลาที่ว่างหรือเบื่อคงเป็การวาดรูปล่ะมั้งครับ” เป็สิ่งเดียวที่ศิลาชอบทำเวลาที่ว่าง ในตอนเด็กก็ชอบนั่งวาดรูประบายสีกับอาธิปบ่อยครั้งเวลาที่นั่งรอผู้เป็พ่อทำงาน
“จริงด้วย ศิวาดรูปสวยมากนะ”
“แต่มันทำเป็อาชีพได้ยากนะครับ ที่พี่ถามเพราะคิดว่าหากเราเปิดตัวว่าคบกัน กลัวผมจะไม่มีงานเข้ามาใช่ไหม” ศิลาถามกลับ
“ก็ศิเป็พระเอกดังเลยนะ ใครบ้างไม่รู้จักพระเอกหนุ่มหล่อคนนี้ หากว่าเปิดตัวแล้วนางเอกคนไหนอยากจะเล่นด้วยล่ะ เขาคงบอกว่าไม่อินกันทั้งนั้น” มือข้างที่ว่างอยู่ของปัณณวีร์ยกขึ้นมาลูบแก้มศิลา
“ไม่เล่นก็ไม่เล่นสิ ผมไม่สนใจอยู่แล้ว”
ปัณณวีร์ยิ้มแล้วถามขึ้นอีกคำถาม “ศิอยากออกจากวงการบันเทิงไหม ออกไปใช้ชีวิตแบบคนธรรมดาทั่วไป ไม่ต้องมาคอยสนใจเรตติ้งหรือกระแสสังคม”
ศิลาพยักหน้าโดยเร็ว มันคือเื่ที่เขาอยากทำมากที่สุด แต่เพราะรู้ดีว่าปัณณวีร์ตั้งใจและทุ่มเทกับงานนี้มากเพราะเป็ความใฝ่ฝันของอีกฝ่าย หากว่าเื่นี้มันจะกระทบกับปัณณวีร์ ศิลาเองก็ไม่อยากจะให้เป็แบบนั้น ต่างฝ่ายต่างก็คิดเป็ห่วงกันและกัน
“อยากสิครับ มันคงจะดีไม่น้อยเลย พี่ล่ะ”
“แน่นอนว่าอยาก แต่ว่า...” แต่ว่ายังไม่ใช่ตอนนี้ ปัณณวีร์ไม่กล้าพูดออกไปเพราะเขาคิดว่ามันอาจจะดูเห็นแก่ตัวเกินไปที่ตัวเขายังคงอยากทำตามฝันอยู่ อยากทำงานที่อยากทำอยู่และศิลาต้องมารอเขา
“เมื่อไหร่ก็ได้ ผมไม่รีบ” ศิลาพูดขึ้นราวกับรู้ความคิดของปัณณวีร์ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ริมฝีปากหยักยิ้มให้อย่างอ่อนโยน เพราะเขาพร้อมจะอยู่ข้างๆ และเดินไปพร้อมกับปัณณวีร์เสมอ
“ขะ...ขอบคุณนะ” ปัณณวีร์เสียงสั่นเครือเล็กน้อย ศิลาเป็แบบนี้เสมอ ทุกสิ่งอย่างทำเพื่อเขาได้เสมอ ปัณณวีร์จึงอยากจะดูแลเอาใจอีกฝ่ายให้ดีๆ
“นี่ขี้แยอีกแล้วหรอ” ศิลาเอ่ยแซวพร้อมขยับเข้าไปหาแล้วอุ้มอีกฝ่ายมานั่งบนตักแทน
“ไม่ใช่สักหน่อย จริงสิพี่เกือบลืมเล่าให้ฟัง วันนี้พี่คุยกับคุณมาวินชัดเจนแล้วนะว่าพี่มีแฟนแล้วสบายใจได้ เพราะเขาก็ถามพี่ว่าแฟนพี่คือศิลาใช่ไหม”
“เขารู้ได้ยังไง??” ปัณณวีร์กอดคอคนน้องไว้แล้วเล่าเื่ในวันนี้ให้ฟังพร้อมทั้งบ่นเื่งานเล็กน้อยตามประสา จนรู้สึกง่วงจึงได้เข้าไปอาบน้ำและนอนพักผ่อนกัน
“ใกล้จะปีใหม่แล้ว ศิได้เซ็นสัญญาเป็พรีเซ็นเตอร์สินค้าหลายแบรนด์เลย ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาพักผ่อน ่นี้ก็ไม่ค่อยได้เจอกันด้วย จะซื้ออะไรให้ศิดี” ผ่านมาเกือบเดือน ตอนนี้เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีแล้ว ปัณณวีร์มานั่งเล่นที่ห้องของน้ำหนึ่งเพื่อนสนิทเพียงคนเดียวในกรุงเทพ
แต่พอถามไปแล้วกลับได้ความเงียบกลับมา ปัณณวีร์ที่ก้มหน้าก้มตาพิมพ์งานอยู่จึงได้เงยขึ้นมามองก็เห็นว่าน้ำหนึ่งนั่งเหม่อ มือเลื่อนจอไอแพดอยู่อย่างนั้นเรื่อยๆ ปัณณวีร์จึงสะกิดเพื่อเรียก อีกคนถึงได้หันมาสนใจ
“แกว่าอะไรนะ??”
“เหม่ออะไรเนี่ย” ปัณณวีร์ถามด้วยความเป็ห่วง กลัวเพื่อนจะมีเื่ให้เครียดหรือคิดหนัก
“เปล่า แกถามว่าไงนะ” แม้จะปฏิเสธแต่ปัณณวีร์ก็พอจะมองออกว่าน้ำหนึ่งต้องมีอะไรในใจอย่างแน่นอนเพียงแต่เธอไม่ยอมพูด ดังนั้นเขาจึงไม่อยากไปเซ้าซี้มากนัก แม้จะเป็เพื่อนกันแต่ก็ไม่อยากไปก้าวก่ายเื่ของอีกฝ่ายเท่าไร่
“ถามว่าจะซื้ออะไรเป็ของขวัญปีใหม่ให้ศิดี”
“อะไรที่แกซื้อ แม้จะเป็แค่อมยิ้มศิก็ดีใจหมดนั่นแหละ ต่อหน้าคนอื่นเหมือนคุณชายผู้เยือกเย็น แต่พออยู่กับแกทำไมไม่รู้ถึงกลายเป็เด็กน้อยคนหนึ่งไปได้” น้ำหนึ่งสลัดเื่ในหัวทิ้งแล้วพูดกับเพื่อนสนิท
“ขนาดนั้นเลย” ปัณณวีร์ขำเบาๆ
“ยิ่งกว่านั้นอีกเหอะ จะว่าไปก็ใกล้ถึงวันเกิดแกแล้วหนิ อยากได้อะไรเป็ของขวัญล่ะ” วันเกิดของปัณณวีร์นั้นผ่าน่วันปีใหม่ไปไม่กี่วันเท่านั้น แต่ปัณณวีร์ไม่ค่อยชอบให้ใครจัดวันเกิดให้ จึงมีเพียงคนสนิทเท่านั้นที่จะรู้ว่าเขาเกิดวันไหน เพราะวันที่เขาเกิดมาได้เพียงไม่กี่วันแม่ก็จากเขาไป พอรู้ความปัณณวีร์เลยเลือกที่จะไม่ฉลองวันเกิดเื่ ทำเพียงทานข้าวกันปกติ ตอนเช้าก็ไปทำบุญเท่านั้น แม้ไม่ใช่วันเดียวกับที่แม่จากไปแต่ความรู้สึกของปัณณวีร์ก็ยังคงคิดว่ามันไม่สมควรที่เขาจะมาจัดการสังสรรค์อะไรแบบนี้
“โตๆ กันแล้ว ไม่รู้จะอยากได้อะไร อีกอย่างนะอยากได้ก็ซื้อเองได้ป่ะ”
“ซื้อเองกับเพื่อนซื้อให้มันต่างกันนะ คนให้ ให้ด้วยความเต็มใจและอยากให้แกเก็บไว้ไงว่าทุกปีฉันไม่เคยลืมวัดเกิดแก แล้วก็ไม่ทิ้งไปไหนเราเป็เพื่อนกันแบบนี้ตลอดไป” น้ำหนึ่งพูดซึ้งๆ ปัณณวีร์จึงไม่รู้จะทำยังไงแก้เขิน
“อื้มมม ไม่ต้องมาดึงซึ้งเลย ว่าแต่แกเถอะ”
“ฉันทำไม?” น้ำหนึ่งเลิกคิ้วถาม
“ทำไมไม่ค่อยเห็นไปไหนมาไหนกับรุตแล้วล่ะ”
“ฉันก็ไม่ได้ไปไหนมาไหนกับนายนั่นซะหน่อย ก่อนหน้าก็เพราะเื่แกไงเลยได้เจอกันบ่อย” น้ำหนึ่งหันหน้าหนี ทำให้ปัณณวีร์จับพิรุธได้ว่าระหว่างสองคนนี้จะต้องมีอะไรแน่ เพราะหากว่าน้ำหนึ่งจะโกหก อีกคนจะไม่กล้าสบตาปัณณวีร์เนื่องจากจะถูกจับได้เพราะเป็คนที่โกหกปัณณวีร์ไม่เคยได้เลยแม้จะเป็ดาราแล้วก็ตาม แต่ต่อหน้าปัณณวีร์น้ำหนึ่งกลับเล่นละครไม่เป็ซะอย่างนั้น
“จริงดิ แล้วหลบหน้าทำไมอ่ะ หรือว่ารุตมันทำอะไรให้แกไม่พอใจหรอ” ปัณณวีร์เอียงคอมอง น้ำหนึ่งหยิบหมอนขึ้นมาแล้วใช้ดันใบหน้าหวานของเพื่อนสนิทออกห่าง
“ใช่ มันทำให้ฉันโกรธ ทำให้ฉันรำคาญ ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้” พูดจบได้ไม่ทันไร เสียงข้อความจากคนที่พูดถึงก็แจ้งเตือนขึ้นมาที่หน้าจอไอแพด
ศรุต : ฉันขอโทษ รับสายหน่อยสิ
ปัณณวีร์เหลือบมองและอ่านได้ทันอย่างถือวิสาสะก่อนที่น้ำหนึ่งจะปิดเคสไว้ แล้วทำเป็ไม่สนใจ พูดเื่อื่นกลบเกลื่อน
“แกบอกว่าอยากซื้อของขวัญปีใหม่ให้ศิใช่ไหม ไม่ต้องซื้ออะไรยากหรอก เอาตัวแกผูกโบว์เลย”
“ไอ้บ้า” ปัณณวีร์ส่ายหน้าเบาๆ ต่อให้เขาไม่ทำแบบนั้นก็ถูกแกะอยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว พอเห็นว่าน้ำหนึ่งไม่พูดถึงศรุตต่อปัณณวีร์ก็ไม่ถามต่อเช่นเดียวกัน
งาน Cannes Film Exhibition ที่ปัณณวีร์ได้บัตรมานั้นจะถูกจัดขึ้นวันที่ 12 มกราคมซึ่งปัณณวีร์ก็ตัดสินใจแล้วว่าจะไปและศิลาก็จะตามไปด้วย ไม่ต้องสืบให้ยากเลยว่าเ้าตัวได้บัตรอีกใบมาจากไหน ต้องลำบากศรุตไปหามาให้ แต่ก็เก่งเหลือเกินที่ได้มา
“ตื่นเต้นจังเลย ครั้งแรกที่ได้มาฉลองปีใหม่ที่บ้านศิ ในฐานะแฟนของศิครั้งแรก” วันส่งท้ายปีศิลาก็ยังคงทำงานอยู่ พอเลิกงานก็เกือบจะสองทุ่ม จึงได้แวะมารับปัณณวีร์ที่คอนโดก่อน หากเป็เมื่อก่อนคงจะแยกกันไป แต่อย่างที่ศิลาบอกว่าตัวเขาจะค่อยๆ เปิด เปิดทีละเล็กทีละน้อย ปัณณวีร์ใส่แมสแล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งออกจากลิฟต์ตรงมาที่รถทันที แน่นอนว่าก็ต้องมีเห็นอยู่แล้ว ก่อนหน้านั้นศิลาก็ลงรูปอาหาร รูปที่ลงเป็รูปที่ถ่ายติดมือของปัณณวีร์ด้วย ทำให้แฟนคลับเข้ามาคอมเมนต์กันเยอะเลยว่ามือของใคร เพราะศิลามักจะทานข้าวที่คอนโดหรือบ้านมากกว่าออกไปทานข้างนอก ทำให้ติดเทรนด์ทวิตมาแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามือปริศนานั้นเป็ใคร
“จริงๆ อยากฉลองกับพี่สองคน” ศิลาหันมองคนนั่งข้างๆ และเอื้อมมือไปจับมือข้างที่ปัณณวีร์สวมกำไลคู่ของพวกเขาอยู่เอาไว้
“ได้ไง สงสารคุณกนก” ปัณณวีร์ว่า แม้ว่าเธอจะยอมรับเื่ของพวกเขาแล้วปัณณวีร์ก็ยังคงไม่กล้าเรียกอีกฝ่ายว่าแม่ได้อย่างเคย ั้แ่ตอนนั้นศิลาก็กลับบ้านน้อยมาก เรียกว่าอยู่คอนโดเป็หลักและตัวของกนกเองก็ยังไม่ได้ปักใจเชื่อในความสัมพันธ์นี้ของลูกชายเท่าไหร่นักว่าจะไปกันรอด เพียงแต่ตอนนี้เธอทำอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงมองดูอยู่ห่างๆ อย่างที่อาธิปมักบอกเสมอว่าจะไปบงการชีวิตลูกไม่ได้
หากว่าลูกเดินผิดหรือสะดุดล้มเราก็แค่คอยประคอง คอยเดินตามหลังอยู่ห่างๆ ให้ลูกได้เดินไปเอง เรียนรู้และยอมรับกับผลของการตัดสินใจนั้นด้วยตัวเอง
“ศิก็อย่าเ็ากับแม่นักเลย อ้อนเขาบ้างสิ” ปัณณวีร์แทบไม่เคยเห็นศิลาอ้อนกนกเลย หรือแม้แต่อาธิปเองก็ไม่เคย จะมีก็แต่อ้อนเขานี่แหละที่เห็นอยู่บ่อยครั้ง
“ไม่รู้จะอ้อนยังไง ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น” ศิลาว่า
“กับคุณพ่อก็สนิทกันนะ แต่ไม่เห็นศิอ้อนเลย”
“โตแล้ว ทำไมต้องอ้อนด้วยล่ะครับ” ปัณณวีร์ยื่นมือมายีผมคนที่เด็กกว่าด้วยรอยยิ้ม
“นั่นสิเนอะ ศิของเราโตแล้วงั้นก็เลิกอ้อนพี่ได้แล้วสิ”
“ไม่เหมือนกัน”
“ต่างกันตรงไหนเล่า”
“เพราะพี่เป็เมีย” พูดจบศิลาก็ได้ฝ่ามือเล็กตีเข้าให้ที่ต้นแขนเพราะความเขินที่ถูกแซว แม้ว่าจะมีกระจกกั้นระหว่างพวกเขากับคนขับรถก็ตาม และคนขับรถก็เป็คนของดารินเอง เป็คนขับรถประจำให้ศิลา รู้เื่ของปัณณวีร์และศิลาโดยที่ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาออกว่าเป็อะไรกัน แต่ก็เป็คนที่เก็บความลับได้ดี ไม่เอาไปพูดไปบอกใคร
“ก็จริงหนิ” ถึงอย่างนั้นศิลาก็ยังคงยักไหล่ใส่แม้จะถูกตีถูกหยิกจากคนข้างๆ ก็ไม่ปริปากราวกับแรงที่ปัณณวีร์ตีไม่ได้มีผลอะไร
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารมื้อดึกที่รอปัณณวีร์กับศิลามาทานพร้อมกันนั้นเป็ไปด้วยดีเพราะมีศรุตเป็คนที่คอยเชื่อมระหว่างทุกคน กนกกับศิลาก็ยังคุยกันน้อยเหมือนเคย แต่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมากที่เวลาอยู่ด้วยกันแล้วจะรู้สึกถึงบรรยากาศชวนอึดอัด
“แม่ครับ ตักปลาราดพริกให้หน่อย” ศิลาพูดขึ้นทำเอาทุกคนพากันอึ้งเงียบไปตามๆ กัน รวมถึงกนกด้วยที่ไม่คิดว่าลูกชายจะเอ่ยปากขอ เธอยิ้มรับทันทีเมื่อคิดได้ก่อนจะรีบตักเนื้อปลาใส่จานให้ศิลาทันที
“อร่อยนะลูก ไม่เผ็ดมาก” กนกบอกด้วยรอยยิ้ม และมองศิลาตักมันเข้าปากอย่างมีความสุข ปัณณวีร์กับศรุตมองหน้ากันก็ได้แต่ลอบอมยิ้ม
หลังทานอาหารเสร็จ อาธิปกับกนกก็นั่งเล่นอยู่ที่โซฟาดูทีวีกันสองสามีภรรยา ปัณณวีร์นั่งเล่นเอาเท้าแช่อยู่ในสระน้ำกับศรุต ส่วนศิลานั้นไปเอาไวน์อยู่สำหรับการดื่มฉลองส่งท้ายปีเก่า
“งานที่บริษัทเป็ยังไงบ้าง”
“ก็ยุ่งๆ นิดหน่อย ั้แ่ที่คุณแม่ให้ขึ้นเป็ประธานบริหาร งานก็เยอะจนล้นมือเลยแหละ ไม่แปลกเลยทำไมแม่ไม่ค่อยมีเวลา” เพราะั้แ่ที่เกิดเื่และกนกไม่สามารถจัดการได้ ซ้ำยังทำให้บริษัทเสียหายอีกเธอก็ได้ลงจากตำแหน่ง คอยช่วยให้คำปรึกษาศรุต แต่ก็ไม่ได้บอกอะไรมากเพราะศรุตนั้นมีความสามารถ ทำได้เองโดยที่เธอไม่ต้องห่วงแล้ว กนกจึงอยู่ที่บ้านกับอาธิปและไปเที่ยวกันตามประสา ซึ่งศรุตเองก็อยากให้แม่กลับมาใช้ชีวิตกับพ่อแบบนี้เหมือนกัน ไม่ต้องมาคิดเื่งานให้ปวดหัว
“แล้วทะเลาะอะไรกับหนึ่งอ่ะ” ปัณณวีร์ถามขึ้น
“รู้หรอ”
“ก็วันนั้นไปหามันอ่ะ หนึ่งมันบอกว่าแกทำมันโกรธ” ศรุตหันมองปัณณวีร์แล้วถาม
“แค่นั้นหรอ ไม่ได้บอกหรอว่าทำอะไรให้โกรธ” คนถูกถามส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหรี่ตามองอย่างจ้องเอาคำตอบ
“แล้วไปทำอะไรให้หนึ่งมันโกรธอ่ะ ปกติก็เห็นเถียงกันออกบ่อยแต่ก็ไม่เคยเห็นโกรธแบบนี้” ศรุตคิดอยู่นานว่าจะบอกดีไหม แต่น้ำหนึ่งไม่ปริปากบอกเพื่อนสนิทอย่างปัณณวีร์ตัวเขาจะกล้าบอกได้ยังไง เพราะยังไงเื่นี้ก็ส่งผลต่อน้ำหนึ่งจึงไม่อาจพูดออกไปได้
“ไปถามหนึ่งเอาเองเถอะ ถ้าเขาไม่พูดฉันก็ไม่กล้า”
ปัณณวีร์ถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากัน “เื่อะไรกันอ่ะ มันดูซีเรียสขนาดนั้นเลยหรอ??”
TBC.