จี๋เหยียนพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปจากที่นี่ เขาคงจะเตรียมจัดการเย่เฟิง โดยการฆ่าเย่เฟิงทันทีที่ออกจากแดนลับ
ในแดนลับ ภายใต้แสงแห่งการสืบทอด เย่เฟิงยังคงดูดซับพลังทั้งเก้าจากดวงแสงมรดกที่ส่งมาให้เขา ในฝ่ามือโคจรพลังอย่างต่อเนื่อง และเหมือนมีอักขระไร้ที่สิ้นสุดเคลื่อนไหวภายในร่างกายเขา ขั้นตอนนี้ดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เย่เฟิงไม่กล้าเกียจคร้านแม้แต่น้อย เพราะมีพลังมหาศาลส่งผ่านมายังร่างเขาและหลอมรวมทีละนิด หากระหว่างทางเกิดความผิดพลาด เขาคงเจอหายนะอันใหญ่หลวง
พลังทั้งเก้าไหลเวียนภายในร่างเย่เฟิงอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการผสมผสาน เย่เฟิงรู้สึกว่าพลังต่าง ๆ ในร่างตัวเองถูกยกระดับถึงจุดสูงสุด
“จะทะลวงงั้นหรือ?” เย่เฟิงรู้สึกดีใจมากที่รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงภายในร่างกาย จึงรีบโคจรพลังหยวนและเร่งการผสานของพลังทั้งเก้า
ผ่านไปสักพัก ร่างกายของเย่เฟิงเปล่งแสงจ้า แสงเก้าสีสาดส่อง เสียงครืนๆ ดังขึ้นราวกับคลื่นทะเล โลหิตกำลังพลุ่งพล่าน เส้นชีพจรขยายตัวจนแข็งแรงทนทาน ััได้ว่าสามารถบรรจุพลังหยวนได้มากขึ้น เนื้อหนังกระดูกเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง มันทรงพลังขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง พลังหยวนมหาศาลไหลเวียนผ่านเส้นชีพจรเกิดเป็วัฏจักรโจวเทียน หล่อเลี้ยงและบำรุงทุกองค์ประกอบอย่างต่อเนื่อง
“นี่มัน...” ผู้คนเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของเย่เฟิงก็ต่างชะงักงันและเผยสีหน้าใ
“ไม่นึกว่าหมอนี่จะทะลวงขั้นพลัง กลายเป็ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นรวมชี่ นวมรดกนี้ทรงพลังอย่างที่คิดไว้!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว ตอนนี้การเปลี่ยนแปลงของเย่เฟิงคือสัญญาณของการทะลวงขั้นพลัง แล้วพวกเขาจะไม่ใได้อย่างไร
นี่จ้านเทียน อี้ชิง และจงเทาเผยแววตาเย็นเยียบ ความอิจฉาและความเคียดแค้นทวีคูณ บางทีหากคนอื่นได้ไปพวกเขาคงไม่เกลียดเฉกเช่นตอนนี้ แต่เป็เพราะความแค้นระหว่างเย่เฟิงกับพวกเขามันมีมากเกินไป
ความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเย่เฟิงดำเนินอย่างต่อเนื่อง แสงเก้าสีวิวัฒนาการไม่หยุด เข้าสู่ขั้นรวมชี่ทีละนิด ๆ
แต่ขณะเดียวกันข่าวการตายของเฒ่าประมุขได้แพร่สะพัดไปทั่ววังเทพโอสถ ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างเศร้าเสียใจ เฒ่าประมุขเป็ดั่งวีรบุรุษ ภายใต้การปกครองของเขา วังเทพโอสถเจริญรุ่งเรืองดุจดั่งพระอาทิตย์กลางท้องฟ้า ทว่าบัดนี้เฒ่าประมุขจากไปแล้ว ทำให้เกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างสองกองกำลัง วังเทพโอสถจึงสั่นคลอนและไม่ปรองดองสมานฉันท์ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก้าวต่อไปของวังเทพโอสถควรจะเดินไปทางไหน? อนาคตของพวกเขาจะเป็เช่นไร?
สองคำถามนี้ผุดขึ้นในหัวของศิษย์วังเทพโอสถเกือบทุกคน พวกเขาคาดการณ์อนาคตของตัวเองมิได้ และยิ่งไม่รู้ว่าอนาคตของวังเทพโอสถจะเป็อย่างไร แต่ในเวลาเดียวกันนั้นมีผู้ฝึกยุทธ์มากมายเคลื่อนไหว ปิดวังเทพโอสถไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออก การป้องกันแ่า เพียงเวลาไม่นานบรรยากาศในวังเทพโอสถก็เต็มไปด้วยกลิ่นหายแห่งการฆ่าฟัน กองกำลังทั้งสองเริ่มแอบระดมกำลังเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้
ฟู่หยางและเซี่ยชิงซานยังคงอยู่ที่ยอดเขาเทพโอสถ แต่พวกเขาเริ่มแอบเคลื่อนไหวแล้ว การต่อสู้แย่งชิงที่มีมานานหลายสิบปี บางทีอาจจบลงในคืนนี้
ในแดนลับ จากการชำระล้างพลังอันแกร่งกล้า ในที่สุดเย่เฟิงก็ฝ่ากำแพงขั้นบ่มเพาะกายา ก้าวเข้าสู่ขั้นรวมชี่ แต่พลังทั้งเก้านั้นยังคงหลั่งไหลสู่ร่างเย่เฟิงไม่หยุดจนกระทั่งพลังทั้งเก้าในร่างเย่เฟิงถึงจุดอิ่มตัว จึงค่อย ๆ หยุดลง
ดวงแสงมรดกจางหาย ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาวะปกติ เย่เฟิงยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น โดยที่ลักษณะท่าทางเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ท่าทางเฉียบคมดุจมีดที่เพิ่งลับใหม่ ๆ ส่วนดวงตาคู่นั้นดูล้ำลึกขึ้นกว่าเดิมคล้ายมีแสงดาวปะทุออกมา
ภายในร่างกาย พลังหยวนอุดมสมบูรณ์ เส้นชีพจรขยายตัวใหญ่ขึ้น ทั้งยังมีพลังต่าง ๆ ไหลเวียนอยู่ในเส้นชีพจร สามารถแบ่งแยกความแตกต่างอย่างชัดเจน และค่อย ๆ กลับคืนสู่จุดตันเถียนและจุดชี่ไห่ ซึ่งเป็การวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการฝึกทักษะต่าง ๆ ของเย่เฟิงในอนาคต
“พลังทั้งเก้าแข็งแกร่งยิ่งนัก!” เย่เฟิงคิดในใจพลางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ
ทุกคนต่างทราบกันดีว่าการเลือกฝึกทักษะเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับพลังและคุณสมบัติของตัวเองจะสามารถสำแดงพลังได้ดีที่สุด นี่เป็เพราะผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่มีพลังคุณสมบัติดั้งเดิมเพียงประเภทเดียว ผู้มากพร์สามารถมีพลังคุณสมบัติได้ถึงสองประเภท พวกสัตว์ประหลาดอาจจะหาผู้ที่มีพลังคุณสมบัติสามประเภทได้จากหนึ่งในร้อย แต่หลังจากที่เย่เฟิงได้รับนวมรดกก็กลายเป็ผู้มีเก้าพลังคุณสมบัติทันที
หนึ่งคนมีสามพลังคุณสมบัติจะถูกเรียกว่าอัจฉริยะสัตว์ประหลาด มีความสามารถกล้าแกร่ง ส่วนผู้มีสี่พลังคุณสมบัติแทบไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น เช่นนั้นผู้ที่มีเก้าพลังคุณสมบัติอย่างเย่เฟิงก็คงเรียกได้ว่าผิดมนุษย์มนา เพราะไม่มีคำไหนที่เหมาะสมกับเย่เฟิงไปมากกว่านี้แล้ว
เก้าพลังคุณสมบัติแทบจะหาไม่ได้ในอาณาจักรจ้าวหรือแม้แต่เมืองชิงอวิ๋น นี่หมายความว่าหากวันใดวันหนึ่งเย่เฟิงฝึกเก้าพลังคุณสมบัตินี้ถึงจุดสูงสุด การโจมตีของเขาจะอัดแน่นด้วยเก้าพลังและจะไม่มีผู้ใดรับมือได้อีก
หลังจากหลอมรวมเป็หนึ่งกับนวมรดก ในสมองของเย่เฟิงได้มีความทรงจำอื่นที่ชัดเจนเป็อย่างมากเพิ่มเข้ามา ซึ่งเป็ความทรงจำเกี่ยวกับเส้นทางแห่งการปรุงยา ในนั้นมีวิธีการปรุงยาและสูตรปรุงยามากมาย รวมทั้งแก่นสารที่กว้างขวางและลึกซึ้งของวิถีโอสถ
เมื่อเย่เฟิงจัดระเบียบความทรงจำนี้ก็รู้สึกใมาก และคาดเดาถึงที่มาของความทรงจำนี้ได้ทันที มันคือสิ่งที่ประมุขทั้งเก้าแห่งวังเทพโอสถได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิถีโอสถในชีวิตทั้งหมด รวมทั้งเอกลักษณ์เฉพาะที่พวกเขามีต่อวิถีโอสถ บันทึกสูตรปรุงยาเ่าั้ยังมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า นึกได้เลยว่าสิ่งเหล่านี้มีค่ามากเพียงใด
มีหลายคนในอาณาจักรจ้าวแสวงหาวิถีโอสถ วาดฝันว่าในอนาคตของตนเองจะได้คารวะปรมาจารย์ปรุงยาเป็อาจารย์ แต่ถึงจะเป็ความฝันก็มีน้อยคนที่ทำสำเร็จ ปรมาจารย์ปรุงยาที่เก่งกาจบางคนไม่ค่อยรับลูกศิษย์ แม้จะรับแต่ก็เป็ไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ได้ทุกอย่าง
อย่างไรก็ตามเย่เฟิงกลับได้รับความทรงจำเื่วิถีโอสถของประมุขทั้งเก้าแห่งวังเทพโอสถ หากเื่นี้แพร่งพรายออกไป ชีวิตของเย่เฟิงคงหาไม่ ดังนั้นเื่ที่เขาหลอมรวมเป็หนึ่งกับเก้าพลังคุณสมบัติและได้รับความทรงจำของประมุขทั้งเก้าแห่งวังเทพโอสถ เขาย่อมไม่มีทางเผยแพร่ออกไปอย่างแน่นอน
คนภายนอกจะรู้เพียงว่าเขาอาศัยนวมรดกทะลวงขั้นพลัง เื่นี้ถือว่าไม่แปลกใหม่แต่อย่างใด
“ไม่นึกว่าเ้าจะทะลวงขั้นพลังได้!” นี่จ้านเทียนกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาคมกริบ
“ข้าทะลวงขั้นพลังแล้วเกี่ยวอะไรกับเ้า?” เย่เฟิงแสยะยิ้ม หลังจากทะลวงสู่ขั้นรวมชี่ เขาก็มั่นใจในพลังของตนขึ้นมาก
“เ้าได้รับสิ่งใดกันแน่?” จงเทาเดินออกมาแล้วกล่าวถาม
“เ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดกับข้า? ไปให้พ้น!” เย่เฟิงกล่าวโดยไม่แม้แต่จะปรายตามองจงเทา ทำให้สีหน้าของจงเทาดูไม่ค่อยดี แต่กลับมีไอสังหารพวยพุ่งออกจากร่าง
“แม้เ้าจะทะลวงขั้นพลัง แต่ยังไงวันนี้เ้าก็ต้องตาย!” ทันทีที่นี่จ้านเทียนกล่าวจบ แสงสีทองปะทุออกจากดวงตาพร้อมปลดปล่อยพลังต่อสู้
“เย่เฟิงได้นวมรดกไป นี่จ้านเทียนไม่ปล่อยเขาไว้แน่!” คนผู้หนึ่งกล่าวเมื่อเห็นนี่จ้านเทียนปลดปล่อยไอสังหาร แม้นี่จ้านเทียนจะถูกกดระดับการบ่มเพาะ แต่พลังก็แข็งแกร่งกว่าเย่เฟิง หากนี่จ้านเทียนคิดอยากฆ่าเย่เฟิงจริง ๆ เย่เฟิงคงรอดยาก
“อยากฆ่าข้า? เ้าคิดว่ามีคุณสมบัติพอหรือ” เย่เฟิงเหยียดยิ้มอย่างเ็า จากนั้นเขาเหลือบมองจงเทาและนี่จ้านเทียน “ถ้าอยากสู้ก็เข้ามาพร้อมกัน อย่าเสียเวลา!”
น้ำเสียงของเย่เฟิงเฉยชา ราวกับพูดเื่ธรรมดาที่ไม่สำคัญ แต่คำพูดของเขาทำให้ผู้คนใจเต้นระรัว สายตาที่มองเย่เฟิงก็ดูน่าเหลือเชื่อ
“ให้นี่จ้านเทียนกับจงเทาบุกพร้อมกัน เย่เฟิงผู้นี้จะใจกล้ามากไปแล้ว แต่เขาเพิ่งทะลวงขั้นพลัง พลังคงต้องแกร่งขึ้นมาก ถึงกล้าท้าทายสองคนนี้” ผู้คนไม่น้อยคิดในใจ พวกเขาต่างสงสัยในพลังของเย่เฟิงหลังจากทะลวงขั้นพลัง ไม่รู้ว่าเย่เฟิงพูดไม่คิดหรือมีพลังที่แข็งแกร่งจริง ๆ
“คุยโวโอ้อวด!”
อย่างไรก็ตามคำพูดของเย่เฟิงที่ดังเข้าไปในหูของนี่จ้านเทียนกลับเป็เหมือนความอัปยศอดสู เขานี่จ้านเทียนเป็ผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่ 2 ในรายนามขั้นรวมชี่ บัดนี้กลับถูกผู้ที่เพิ่งบรรลุขั้นรวมชี่เหยียดหยาม แล้วเขาจะไม่โมโหได้อย่างไร!
พลังต่อสู้ปะทุออกจากร่างนี่จ้านเทียน ก่อนจะซัดหมัดโจมตีเย่เฟิง กระแสอากาศพลอยปั่นป่วนไปด้วย และพลังอันน่าสะพรึงกลัวพร้อมทำลายทุกสิ่ง
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!”
เย่เฟิงเผยสีหน้าเย็นเยียบ ก่อนจะปล่อยฝ่ามือภูผาพิฆาตออกไป คล้ายผสานด้วยคุณสมบัติหอกที่อัดแน่นไปด้วยพลังมหาศาล!
หลังจากเย่เฟิงบรรลุขั้นรวมชี่ พลังฝ่ามือภูผาพิฆาตที่เขาปล่อยออกไปแข็งแกร่งขึ้นไม่รู้กี่เท่า
“ตูม!!!” เสียงะเิดังกึกก้อง สองการโจมตีเข้าปะทะกัน คลื่นทำลายล้างแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ แต่ด้วยพลังฝ่ามือที่น่าสะพรึงกลัวนั่น นี่จ้านเทียนถึงกับตัวสั่นสะท้าน จนถอยหลังไปหลายก้าว อวัยวะภายในสั่นคลอน สีหน้าดูย่ำแย่อย่างมาก
หลังจากเย่เฟิงบรรลุขั้นรวมชี่ พลังก็น่าหวาดกลัวขึ้นอย่างที่คาดการณ์ไว้!
“มีพลังแค่นี้แต่อยากฆ่าข้าเนี่ยนะ?”
เย่เฟิงแสยะยิ้มขณะมองนี่จ้านเทียนด้วยสายตาดูแคลน “ถ้าตอนแรกข้าอยู่ขั้นรวมชี่ เ้านี่จ้านเทียนจะมีสิทธิ์ทำตัวอวดดีต่อหน้าข้าได้เยี่ยงไร?”
“ก็แค่ขั้นรวมชี่ที่ 1 เ้านับเป็สิ่งใดกัน ถ้าออกจากแดนลับแห่งนี้ ข้านี่จ้านเทียนแค่โบกสะบัดมือก็ฆ่าเ้าได้แล้ว!”
นี่จ้านเทียนเผยหน้าเขียว แม้คำพูดของเขาจะแข็งกร้าว แต่กลับปกปิดความหมายที่ซ่อนอยู่ไว้ไม่มิด
“วูบ!” ตอนนั้นเองมีเสียงหนึ่งดังมาจากที่บางแห่ง นาทีนี้มีรอยแยกมิติพร้อมกับพลังมิติแผ่ซ่านออกมาปรากฏขึ้นท่ามกลางฝูงชน