ในบริเวณที่มีคนรายล้อมมากมายเป่าเจียไม่อาจจะอธิบายอะไรออกมาได้ จึงได้แต่หันไปมองค้อนใส่มู่เทียนหนานพร้อมกับพูดออกมา “แล้วนายเป็ใครล่ะ? นี่มันเื่ของพวกเรา เกี่ยวอะไรกับนายด้วย?”
“ฮึๆคุณนี่มันไม่อ่อนโยนเอาเสียเลยนะคุณฉิน ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงจะโดนแย่งคู่หมั้นไป” มู่เทียนหนานส่ายหัวไปมาพร้อมกับแสดงท่าทางราวกับว่า อยากจะช่วยหรอกถึงได้พูดออกมาและท่าทางนั่นก็ดูน่าหงุดหงิดเสียจริง
เปลวไฟกองเล็กสว่างวาบขึ้นมาในแววตาของหลินลั่วหรานผู้ชายคนนี้น่าเกลียดเกินไปแล้ว นั่นตั้งใจจะมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกเธอชัดๆเลวจริงๆ
อย่าเพิ่งพูดถึงว่าเธอกับหลิ่วเจิงไม่ได้มีอะไรต่อกันเลยเพราะแม้ว่าจะมีอะไรจริงๆ หลังจากที่ได้รู้ว่าเป็คู่หมั้นของเป่าเจียเธอจะมีความคิดอะไรได้อีก?
เมื่อเห็นว่ายิ่งมู่เทียนหนานพูดต่อไปก็จะยิ่งแย่สีหน้าของหลิ่วเจิงยังคงเรียบเฉย แววตาก็ถูกเลนส์แว่นปกปิดเอาไว้ได้เป็อย่างดีมีเพียงคิ้วของเขาเท่านั้นที่พอจะแสดงอารมณ์อะไรออกมาบ้าง
“มามุงอะไรกัน? แยกสิ ตอนนี้ไม่ใช่เวลาทำงานแล้ว” คำพูดของหลิ่วเจิงได้รับการเคารพในบริษัทมาโดยเสมอเพียงคำพูดนิ่งๆ สองประโยคของเขา ก็ทำให้เหล่าผู้คนที่กำลังมุงดูเหตุการณ์ต้องพากันแยกย้ายอย่างช่วยไม่ได้มีเพียงหลิวเหมยเท่านั้น ที่หันมาส่งสายตาที่เต็มไปด้วยความกังวลมาให้หลินลั่วหราน
นี่มันเป็เื่ที่ฉันสร้างขึ้นมาแต่กลับต้องมาทำให้เพื่อนลำบากไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะตอบแทนเื่โสมของหลินลั่วหราน ถูกโยกไป เนื่องจากการกระทำของคุณชายมู่ตรงหน้า
“ทำไมล่ะ อยากได้เมล็ดโสมคืนเหรอ?” หลินลั่วหรานยืนอยู่บนขั้นบันได แสดงท่าทีดูถูกออกมา
มู่เทียนหนานพูดออกมาโดยไม่ได้สนใจนัก “ไม่ใช่้าให้คืนแต่ตามมาเอาของที่ถูกขโมยไปคืนต่างหาก เมล็ดโสมนั่น มันถูกยัยหัวขโมยอย่างเธอเอาไปจากร้านของฉันมันก็เห็นกันชัดๆ อยู่”
หลินลั่วหรานเหยียดรอยยิ้มออกมา “ถึงจะไม่รู้ว่าคุณชายจะอยากได้เมล็ดพันธุ์โสมพวกนั้นไปทำไมต่อไปให้บอกว่าเป็บริษัทของคุณก็เถอะแต่ฉันก็ขอตัวอย่างมาจากพนักงานขายด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ว่าคุณจะว่ายังไงฉันก็มีเหตุผลของฉันเหมือนกัน!”
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของมู่เทียนหนานยังแสดงความขุ่นเคืองออกมาก็ยกยิ้มขึ้น “เมล็ดพันธุ์โสมพวกนั้นฉันทำมันหายไปตั้งนานแล้ว ทำยังไงคุณก็หามันไม่เจอหรอก แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ?”
เมื่อถูกมู่เทียนหนานมาทำให้วุ่นวายถึงที่บริษัทงานที่มีประโยชน์ต่อการฝึกศาสตร์ของเธอแบบนี้ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ความรู้สึกละอายในใจของเธอจึงเปลี่ยนเป็การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นก่อนจะยิ้มเยาะใส่มู่เทียนหนานออกมาอย่างห้ามไม่ได้
เป่าเจียและหลิ่วเจิงต่างก็ไม่รู้ว่าความจริงแล้วหลินลั่วหรานกับผู้ชายคนนี้มีความข้องใจอะไรต่อกัน หรือแม้แต่ตัวหลินลั่วหรานเองเธอไม่รู้ว่าคนธรรมดาสามัญอย่างเขาจะอยากได้เมล็ดโสมที่เต็มไปด้วยพลังแบบนั้นไปทำไมจึงทำให้เธอไม่เข้าใจการกระทำของเขาเป็อย่างมาก
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความพอใจของหลินลั่วหรานและยังได้ยินว่าไม่มีเมล็ดโสมอีกแล้ว ไม่ว่านั่นจะเป็เื่จริงหรือไม่ความไม่พอใจก็แสดงออกมาทางสีหน้าของมู่เทียนหนาน ความรู้สึกของเขาถาโถมเข้ามาราวกับว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดยั้งมันได้
มู่เทียนหนานส่งสายตาเขม่นใส่หลินลั่วหรานก่อนจะส่งเสียงออกมาจากในลำคอ แล้วหมุนตัวกลับเข้ารถไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกก่อนจะจากไปทั้งแบบนั้น
หลินลั่วหรานรู้สึกแปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่หลิ่วเจิงจะใช้มือดันแว่นตาของเขาพร้อมกับพูดขึ้นโดยทำท่าทางไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก “เื่การหมั้นของฉันกับเป่าเจียไม่ได้มีการแพร่ข่าวออกไปเท่าไร นอกจากบ้านของฉันคนที่รู้ก็มีเพียงบุคคลระดับเดียวกับตาของเป่าเจียเท่านั้น”
เป่าเจียหันไปมองหลินลั่วหรานด้วยความกังวลไม่รู้ว่าจะเริ่มอธิบายเื่นี้อย่างไรดี
หลินลั่วหรานตอบสนองกลับมาทันทีหรือว่าหลิ่วเจิงกำลังเตือนเธออยู่ว่าคนที่รู้เื่การหมั้นของเขาและเป่าเจียมีอยู่น้อยมากและยังเป็คนใหญ่คนโตมากมาย แบบนั้นก็เหมือนกับว่าคนที่จะสามารถรู้เื่ราวเหล่านี้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็คงจะเป็คนที่มีอำนาจมากขึ้นไปอีกไม่ใช่เหรอ?
ดูเหมือนว่าตัวเองจะไม่ทันระวังจนหาเื่ใหญ่ใส่ตัวอีกแล้วสินะ...เมื่อนึกถึงคำประกาศกีดกันจากไอลี่ที่ยังไม่ได้ถูกแก้ไขหลินลั่วหรานก็ยิ่งรู้สึกว่า่นี้ตัวเองเหมือนจะเดินเข้าไปหาความซวยเข้าเรื่อยๆทุกที
แต่ในเวลานี้จะมารู้สึกเสียใจไปก็คงจะไม่ได้ช่วยอะไร หลินลั่วหรานฝืนยิ้มพร้อมกับหันไปพูดกับทั้งสองคน “เมล็ดพันธุ์โสมที่ฉันได้มา คงจะเป็ของที่มีค่ามากต่อตระกูลมู่จริงๆ แต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถจะคืนให้เขาได้จริงๆความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ คงเป็เื่ที่หลีกหนีไม่ได้หรอก”
เป่าเจียตบลงที่บ่าของเธอเบาๆ “คิดว่าฉันไม่รู้หรือไงว่าเธอเป็คนยังไง? เธอไม่ใช่คนที่จะไปขโมยของคนอื่นเพราะความโลภหรอก ไม่ต้องกังวลไป เธอยังมีฉันอยู่นะ!”
แม้จะรู้ว่าอาจจะต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีอำนาจมากแต่เป่าเจียก็ยังคงพร้อมจะยืนข้างเธอ ถ้าบอกว่าไม่ซึ้งใจก็คงจะเป็การโกหกดวงตาของหลินลั่วหรานชื้นขึ้นมา ในระหว่างที่กำลังจะพูดอะไรเพื่อคลายบรรยากาศก็ถูกคำพูดที่ผสมความลังเลของเป่าเจียพูดขัดขึ้นมาเสียก่อน
“อ้อถึงฉันกับหลิ่วเจิงจะหมั้นกันก็จริงแต่ก็ไม่ใช่ว่ามีความสัมพันธ์อะไรแบบที่เธอคิดหรอก อย่าได้เข้าใจผิดเชียว...”
คำพูดของเป่าเจียทำให้สมองของหลินลั่วหรานนิ่งไปสักพัก อะไรคืออย่าได้เข้าใจผิดเชียว การพูดแบบนี้มันก็เหมือนว่าเธอ้าจะแย่งแฟนไปจริงๆ น่ะสิ!
สุดท้ายหลิ่วเจิงก็เริ่มดันแว่นตาของตัวเองอีกครั้ง
“ฉันมีธุระ ขอตัวก่อนนะ” หลังจากพูดจบ เขาก็เดินจากไปโดยทิ้งหลินลั่วหรานและเป่าเจียเอาไว้แบบนั้น
หลินลั่วหรานและเป่าเจียต่างหันมาสบตากันก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้และนั่นก็ช่วยทำลายบรรยากาศขุ่นมัวระหว่างทั้งสองไปได้มากทีเดียว
หลิ่วเจิงที่หันหลังให้กับทั้งสองดวงตาทั้งสองภายในแว่นตา เต็มไปด้วยรอยยิ้มโดยที่ก็ไม่รู้ว่ากำลังรู้สึกดีใจเพราะอะไรกันแน่
.......
หลินลั่วหรานยังไม่ได้ลาออกจากงานขายเครื่องเพชรไปไหนแม้ว่าคำนินทาจากพนักงานเคาน์เตอร์คนอื่น จะทำให้คนสงบนิ่งอย่างเธอรู้สึกได้ถึงความกดดันมากมาย แต่ในตอนนี้ บนโลกใบนี้ นอกจากการหนีเข้าป่าใหญ่ไปหลินลั่วหรานก็ไม่รู้ว่าจะมีที่ไหนที่เหมาะกับการฝึกศาสตร์ของเธอไปกว่าสถานที่ขายอัญมณีแบบนี้อีกแล้ว
น่าแปลกเสียจริงหลังจากที่จากไปพร้อมกับความเงียบสงบของชายตระกูลมู่หลินลั่วหรานก็กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ร้ายอะไรขึ้นมา แต่หลายวันที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีการเคลื่อนไหวใดๆ จนทำให้หลินลั่วหรานค่อยๆ ลดการป้องกันลงเรื่อยๆ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่ใส่ใจอะไรแต่เป็เพราะ่นี้มีเื่ราวมากเกินไปแล้ว
และเนื่องจากการทำงานที่ดีของหลินลั่วหรานผู้จัดการโจวจึงจัดการเลื่อนให้เธอขึ้นมาเป็พนักงานประจำหรือก็พูดได้ว่าตอนนี้เธอสามารถขายอัญมณีได้ด้วยตัวเองแล้ว และในการขายทุกๆ ชิ้นก็จะได้รับส่วนแบ่ง แน่นอนว่าผู้คนต่างก็พากันลือว่าเป็เพราะเธอไปยั่วยวนมีความสัมพันธ์กับเ้านายอย่างหน้าไม่อายจึงได้รับสิ่งเหล่านี้มา
เพราะแบบนั้นเธอจึงต้องใช้สมาธิกับ่เวลาในตอนกลางวันมากเป็พิเศษแถมยังต้องไปเรียนไท่เก๊กในตอนเช้าอีก หลังจากเลิกงานก็ไปอยู่ดูแลเด็กชายตัวน้อยตอนกลางคืนก็ต้องฝึกศาสตร์ และยังต้องหาเวลาไปดูตึกใหม่ที่ใกล้ๆ เมือง R อีกตารางเวลาของหลินลั่วหรานจึงแน่นจนไม่รู้จะขยับไปไหนอย่างไรแล้ว
ในสถาการณ์แบบนี้อย่าว่าแต่กังวลว่าคุณชายตระกูลมู่จะมาเอาคืนเมื่อไร แต่เพียงแค่เวลาจะเข้าไปดูพื้นที่ลึกลับเธอยังไม่ค่อยจะมี หลังจากจัดการพื้นที่ และปลูกพืชผักสมุนไพรจนเรียบร้อยแล้วเธอก็ไม่ได้เข้าไปดูแลอะไรมากนัก
ตอนนี้ในพื้นที่ลึกลับเหลือเพียงสนามหญ้ารอบนอกที่ยังคงมีผืนหญ้าอย่างในตอนแรก หญ้าสดที่ถูกถอนขึ้นมาต่างถูกเธอใช้ถักทอจนกลายเป็เสื่อเอาไว้เก็บพืชผักและยังเก็บไปให้เป่าเจียและพี่หวังอีกมากมาย
บ่อน้ำแร่ยังคงใสสะอาดเหมือนอย่างเคยต้นไม้ต้นน้อยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไม่ห่างหายบนพื้นดินที่ไม่แน่ใจว่าควรจะเรียกว่าเป็ไร่ยาหรือสวนผักก็ต่างเต็มไปด้วยเหล่าสมุนไพรและพืชผักที่เติบโตอยู่ร่วมกัน โดยไม่มีปัญหาใดๆ
หลินลั่วหรานถือกล่องไม้ที่ถูกห่อด้วยผ้าหนาสีแดงไว้ในมือเธอยังคงไม่แน่ใจว่าควรจะถอนโสมต้นไหนขึ้นมาดี
โสมต้นน้อยอาศัยอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มากว่าสองเดือนแล้วหากนับตามเวลาดูแล้ว ตอนนี้มีอายุกว่าห้าสิบปีแล้ว ในความคิดของหลินลั่วหรานโสมที่มีอายุมากกว่าร้อยปี ถึงจะถือเป็โสมแก่แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อวันก่อนที่ได้ไปถามร้านขายสมุนไพรมาในตอนนี้โสมร้อยปีแพงเสียจนไม่รู้จะพูดอย่างไร แถมยังหาของจริงได้ยากลำบากนักเมื่อเห็นแบบนั้น อายุห้าสิบปีก็น่าจะมอบออกไปได้แล้ว
ชายชราที่หลินลั่วหรานไปเรียนไท่เก๊กด้วยนามสกุลเจี่ยเธอตั้งใจว่าจะมอบต้นโสมให้เป็ของขวัญไหว้ครู อายุห้าสิบปีไม่ถือว่าราคาแพงอะไรมากนัก และก็ไม่ได้ราคาถูก
เื่ของรูปร่างของรากโสมต่างๆเป็เื่ที่หลินลั่วหรานไม่เข้าใจนัก เธอจึงได้แต่ถอนต้นโสมขึ้นมาด้วยความระมัดระวังเมื่อสามารถถอนขึ้นมาได้ โดยไม่ทำให้รากเล็กของต้นโสมขาด เธอก็ภูมิใจเป็อย่างมากเธอกลัวว่าหากเธอไปทำอะไรเพิ่มเติมจะทำให้คุณสมบัติของโสมเปลี่ยนไปจึงได้แต่วางมันลงไปในกล่องผ้าไหมเท่านั้น
เมื่อไม่กี่วันมานี้หวังเมี่ยวเอ๋อเองก็มาหาและนั่นก็ยิ่งทำให้หลินลั่วหรานรู้สึกปวดหัว เพราะเธอเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าความจริงของขวัญที่ต้องเตรียม ไม่ได้มีเพียงชิ้นเดียวเสียหน่อย!