“ได้ยินว่าอยากจะซื้อบ้านเหรอ? ยังหาที่เหมาะไม่ได้?” หวังเมี่ยวเอ๋อพูดออกมาทื่อๆโดยที่ไม่รู้ว่ามีเนื้อหาสื่อถึงอะไรกันแน่
“คือเป็เพราะว่าไม่อยากได้พวกตึกที่มีลิฟต์น่ะค่ะแล้วตอนนี้ที่ดินก็หาซื้อยากจะตายไปบ้านที่มีไม่กี่ชั้นต่างก็อยู่ออกไปทางนอกเมืองหมด หาซื้อยากจริงๆ ค่ะ” ปัญหาของการซื้อบ้านเื่นี้แม้แต่ไข่มุกลึกลับเองยังไม่อาจจะช่วยแก้ไขได้
หวังเมี่ยวเอ๋อยิ้มขึ้น “ที่จริงฉันรู้จักบ้านที่้าจะขายอยู่นะเหมาะกับความ้าของเธอดีด้วย แต่ว่าราคาก็ออกจะแพงหน่อย เอาไว้พาไปดูไหมล่ะ?”
หลินลั่วหรานยื่นไปจับมือของอีกฝ่ายเอาไว้ก่อนจะพร่ำบอกคำขอบคุณ “แบบนั้นช่วยได้เยอะเลยค่ะ่นี้ฉันกังวลเื่นี้มาก เื่ราคาไม่มีปัญหาเลยฉันยังมีก้อนแร่ที่ยังไม่ได้ผ่าอยู่อีกก้อนยังไงน่าจะพอเป็เงินดาวน์ได้อยู่บ้างนะคะ?"
เมื่อได้ยินว่าหลินลั่วหรานยังมีก้อนแร่อยู่อีกหวังเมี่ยวเอ๋อรู้เื่ที่เธอได้เงินหกล้านมาเมื่อครั้งก่อนก็คิดขึ้นมาได้ว่าก้อนแร่ของหลินลั่วหรานจะต้องไม่แย่แน่ๆเื่บ้านหลังนั้นก็ต้องพาเธอไปดูได้อยู่แล้ว
หวังเมี่ยวเอ๋อโบกมือปฏิเสธ ก่อนจะกดเสียงลงพูด “ผักที่เธอเอามาให้น่ะดีกว่าผักที่ตระกูลซุยหาซื้อมาเสียอีก ไม่ใช่แค่รสชาติดีแต่่นี้ยังรู้สึกว่าท้องไส้ดีขึ้นมาด้วย ริ้วรอยเล็กๆ บนหน้าก็ไม่มีแล้วมีประโยชน์เสียยิ่งกว่าผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแบรนด์ดังๆ เสียอีก ต้องขอบคุณเธอจริงๆนะน้องสาว...ผักพวกนั้นต้องแพงมากเลยใช่ไหม? หรือว่าจะเป็ผักเทคโนโลยีใหม่?”
หลินลั่วหรานได้แต่คิดในใจฉันบอกออกไปว่าปลูกในพื้นที่ลึกลับได้ไหมนะ? เธอจึงได้แต่ตามน้ำคำพูดของพี่หวังไปโดยไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับใดๆ ทิ้งให้เป็ความลึกลับอยู่แบบนั้น
เมื่อคิดดูแล้วพวกเธอก็ไม่ใช่คนที่รู้จักอะไรกันมานานมากนักลองนับดูก็เป็เวลาไม่เกินสองเดือนที่ผ่านมาเท่านั้นอายุห่างกันไปกว่าหนึ่ง่อายุ แต่นิสัยกลับเข้ากันได้ดีจนน่าประหลาดหวังเมี่ยวเอ๋อดูเหมือนกับพี่สาวคนโตที่คอยช่วยหลินลั่วหรานโดยไม่้าสิ่งตอบแทนอยู่หลายครั้ง
หลินลั่วหรานรู้ดีว่าเธอต้องลำบากเพราะรูปลักษณ์ภายนอกของตัวเองจึงอยากจะตอบแทนเธอในด้านนี้มาตลอด ่นี้เธอก็ไปหาข้อมูลมาไม่น้อยในใจของเธอมีวิธีการขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ยังไม่สำเร็จเท่านั้นเธอไม่อยากจะให้ความหวังอะไรมากนักจึงได้แต่พูดออกไปโดยไม่ใส่รายละเอียดอะไรมากนัก
“พี่หวังเดี๋ยวฉันจะมีของขวัญอะไรให้ ถึงตอนนั้นช่วยรับเอาไว้ด้วยนะคะ เป็เซอร์ไพรส์น่ะ!”
แม้ว่าจะรู้สึกประหลาดใจ แต่หวังเมี่ยวเอ๋อก็รู้จักนิสัยของหลินลั่วหรานอยู่พูดว่าเป็เซอร์ไพรส์ ก็ไม่ควรจะบอกเธอล่วงหน้าหวังเมี่ยวเอ๋อได้แต่ทนเก็บความสงสัยเอาไว้ก่อนจะตกลงเื่วันไปดูบ้านกับหลินลั่วหราน
วันต่อมาหลินลั่วหรานก็นำเอาโสมป่าไปให้อาจารย์เจี่ยหลังจากที่ทั้งสองฝึกไท่เก๊กเสร็จแล้ว ถึงได้หยิบนำกล่องหุ้มผ้าไหมออกมาพร้อมทั้งส่งให้อาจารย์เจี่ยด้วยความนอบน้อม
อาจารย์เจี่ยแปลกใจเล็กน้อยไม่คิดว่าหลินลั่วหรานจะยังไม่ลืมเื่ของขวัญไหว้ครูที่เคยพูดไว้เมื่อเห็นกล่องหุ้มผ้าไหมสวยงาม ก็รู้ได้ว่าลูกศิษย์สาวคนนี้ตั้งใจเลือกมาให้จริงด้านในเป็อะไรเขาก็ไม่ได้ดู เพียงแต่รับมาด้วยสีหน้านิ่งเฉยแต่ในใจก็ยังรู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กๆ
โสมป่าอายุหกสิบปี น้ำหนักห้าสิบกรัมเดิมทีตามตลาดก็แบ่งขายเป็ตามกรัมกันทั้งนั้น อย่างไรก็ต้องหลายพันหยวนของที่ได้ผลิตมาจากพื้นที่ลึกลับของหลินลั่วหรานแม้แต่เหล่าพืชผักยังมีฤทธิ์ของยาบำรุงแล้วจะนับอะไรกับเมล็ดโสมป่าที่เดิมทีก็เต็มไปด้วยพลังอยู่แล้วแบบนี้
ของขวัญไหว้ครูที่ดูมีคุณค่าขนาดนี้แต่หลินลั่วหรานก็ยังรู้สึกไม่ค่อยดี เพราะสิ่งที่อาจารย์เจี่ยสอนให้กับเธอนั้นไม่ใช่แค่ไท่เก๊กธรรมดาทั่วไปอย่างที่เธอคิดในตอนแรก!
มันต่างไปจากคำอธิบายด้วยตัวอักษรเ่าั้หลินลั่วหรานประหลาดใจเป็อย่างมากเมื่อพบว่าสิ่งที่อาจารย์เจี่ยสอนให้เธอคือการควบคุมจิตใจแม้จะเป็แค่การกำหนดลมหายใจเข้าออก แต่เมื่อนำมาปรับใช้กับร่างกายของเธอแล้วกลับมีประโยชน์เป็อย่างมาก หรืออาจจะเรียกได้ว่า มันคือวิธีการฝึกศาสตร์อย่างหนึ่ง
หลินลั่วหรานไม่รู้เหตุผลเช่นกันเธอสามารถเห็นพลังต่างๆ ได้ทำให้เธอได้เห็นว่านอกจากพลังในเส้นเืของอาจารย์เจี่ยที่ดูมีพลังกว่าคนทั่วไปก็ไม่ได้มีอะไรที่ดูเหมือนกับผู้ฝึกศาสตร์ แต่กลับมีวิธีการฝึกศาสตร์ง่ายๆอย่างการกำหนดลมหายใจ นี่อาจจะเป็การแสดงให้เห็นว่า อาจารย์เจี่ยหรือบรรพบุรุษมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับผู้ฝึกศาสตร์หรือไม่เขาก็อาจจะเป็ทายาทของผู้ฝึกศาสตร์สักคน?
การเรียนรู้การกำหนดลมหายใจช่วยให้ความร้อนใจของหลินลั่วหรานเบาบางลง หลินลั่วหรานมองว่าการให้โสมป่าเป็ของขวัญให้แก่อาจารย์เจี่ยเป็สิ่งที่สมควรแล้วเธอจึงไม่ได้รู้สึกเสียดายมันเท่าไรนัก
......
วันนี้เป็วันหยุดของหลินลั่วหรานเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่ารถที่เพิ่งซื้อมาไม่นานไม่ค่อยได้ถูกเอาออกมาใช้จะให้จอดทิ้งไว้เฉยๆ ก็น่าเสียดาย เธอจึงขับรถไปตามนัดที่จะไปดูบ้านกับเป่าเจี่ยด้วยตัวเอง
พี่หวังบอกเอาไว้แล้วว่าจะรอพวกเธออยู่ที่โรงงานหวู่หลินเมื่อหลินลั่วหรานขับเข้าไปถึง ก็เห็นรถฮัมเมอร์เตะตาของพี่หวังได้ในทันที
ใช่แล้วหวังเมี่ยวเอ๋อดูแลธุรกิจของตระกูลหวังด้วยตัวเองนิสัยของเธอจึงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ราวกับผู้ชาย เธอมักจะพูดเสมอว่าต้องเป็ฮัมเมอร์เท่านั้นถึงจะดูกล้าหาญดุดันคู่ควรกับเธอ...เพราะแบบนี้เป่าเจียจึงรู้สึกเคารพเธอมาก่นี้คนที่เธอเคารพก็มีเพียงหวังเมี่ยวเอ๋อเพียงคนเดียวผู้บังคับบัญชาฉินรู้สึกดีใจเป็อย่างมากที่ตกลงหมั้นให้เธอไว้ั้แ่แรกเพราะไม่อย่างนั้นในตอนที่หลานสาวที่เต็มไปด้วยความกล้าแก่นราวกับเด็กผู้ชายคนนี้ต้องแต่งงานจากออกไปเขาคงต้องกังวลมากทีเดียว
“พี่หวัง เราจะไปไหนกันเหรอ?” เมื่อเห็นไอดอลของตัวเอง เป่าเจียก็แปลงร่างเป็น้องหมาตัวน้อยเข้าไปประจบ
หวังเมี่ยวเอ๋อยกมือทักทาย “ตามพี่ไปเดี๋ยวก็รู้เองไม่พาไปขายหรอกน่า” ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยความกระฉับกระเฉงเมื่อหลินลั่วหรานเห็นท่าทางดุดันของหญิงสาวทั้งสอง ก็ได้แต่ยอมแพ้
หลายปีที่ผ่านมานี้จำนวนรถส่วนตัวในเมือง R เพิ่มขึ้นมากบางครั้งรถติดเสียจนขี่จักรยานออกมาเองยังดีเสียกว่าหลินลั่วหรานจึงจัดการจอดรถเอาไว้ที่โรงงานแล้วนั่งรถของฮัมเมอร์ของพี่หวังมากับเป่าเจีย
“เอ พี่หวังทำไมฉันถึงรู้สึกว่า่นี้พี่ดูขาวขึ้นนะ?” น้องหมาขี้ประจบอย่างฉินเป่าเจียนั่งอยู่บริเวณที่นั่งข้างคนขับนั่งพิจารณาหวังเมี่ยวเอ๋อมาตลอดทาง
หวังเมี่ยวเอ๋อยิ้มกว้างออกมาเสียจนริ้วรอยตามขอบตาพากันปรากฏให้เห็น “จริงเหรอ? พี่ซุยของเธอก็พูดแบบนี้ แต่คิดว่าหลอกกันเล่นเสียอีกสงสัยว่าผักที่น้องหลินให้มาจะเป็ของดีจริงๆ นะ!”
เป่าเจียพยักหน้าด้วยความประทับใจทั้งสามพากันยิ้มหัวเราะ ก่อนจะเดินทางมาถึงจุดหมาย
เมื่อมองไปยังรอบข้างที่เต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างคุ้นตาแสดงให้เห็นว่าที่นี่ไม่ได้ออกมาไกลจากตัวเมืองนัก ที่นี่เต็มไปด้วยตึกอารามและก็เป็อพาร์ทเม้นท์มีลิฟต์เหมือนกันนี่? หลินลั่วหรานสงสัยแต่หวังเมี่ยวเอ๋อกลับยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
เมื่อเดินเข้ามาก็พบว่าเป็ถนนโบราณที่ถูกปรับปรุงใหม่ของเมือง R สไตล์ของยุคิชิง บรรยากาศโบราณชวนดึงดูดผู้คนมากมายให้เข้ามาเยี่ยมเยือน
เป่าเจียค่อนข้างมั่นใจในการเลือกของไอดอลของตัวเองจึงผลักหลินลั่วหรานที่ยืนนิ่งให้เดินตามพี่หวังไป
พี่หวังหยุดอยู่หน้าประตูสีแสดบานใหญ่ที่อยู่ห่างจากถนนโบราณเส้นนั้นสองเส้นถนนก่อนจะหันมาถามหลินลั่วหรานด้วยความภาคภูมิใจ “บ้านหลังนี้เป็ไง?”
กำแพงรอบถนนเส้นนี้ต่างเป็อิฐโบราณรวมเข้ากับประตูสีแสดบานใหญ่ ทำให้ตาของหลินลั่วหรานเริ่มพร่ามัวเธอไม่รู้เลยว่าในบริเวณใกล้ๆ กับศูนย์กลางของเมือง R จะมีบ้านแบบนี้อยู่ด้วย
“นี่เป็ของส่วนตัวเหรอคะ?” หลินลั่วหรานรู้สึกขายหน้าขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ทนไม่ไหวจนต้องถามออกมาเื่นี้จะว่าเธอก็คงไม่ได้ เธอชินกับการเป็เพียงชาวบ้านธรรมดาๆ คนหนึ่งไม่รู้บ้านแบบนี้สามารถซื้อขายกันได้เธอคิดว่ามันเป็สถานที่ประวัติศาสตร์มาโดยตลอดด้วยซ้ำ!
หวังเมี่ยวเอ๋อหัวเราะลั่นออกมา “ยัยเด็กโง่นี่มันผ่านการปรับปรุงสร้างใหม่มาแล้ว ถ้าเป็บ้านเก่าของกี่ร้อยปีก่อนจริงต่อเ้าของบ้านยอมขายให้ แม้แต่แผ่นอิฐก็ต่างเป็โบราณวัตถุทั้งนั้น อยู่แล้วรู้สึกสบายใจเหรอ?”
ใบหน้าของหลินลั่วหรานขึ้นสีแดงขึ้นมาเมื่อเป่าเจียเห็นท่าทางเขินอายของเธอก็หัวเราะตามมาอีกคน
เนื่องจากหวังเมี่ยวเอ๋อคุยไว้แล้วว่าวันนี้จะพาคนมาดูบ้าน ประตูใหญ่สีแสดจึงไม่ได้ถูกล็อกเอาไว้และก็ไม่ได้ปิดเอาไว้สนิทนัก
หวังเมี่ยวเอ๋อผลักประตูพาหลินลั่วหรานเข้าไปด้านในและน่าจะเพื่อความสะดวกในการให้รถผ่านเข้าออก ธรณีประตูบานใหญ่จึงถูกเปิดออกไว้หลังจากเดินเข้ามาด้านซ้ายมือคือห้องขนาดใหญ่ที่ถูกปรับให้กลายเป็โกดังจอดรถที่มีความลึกค่อนข้างมาก ดูเหมือนว่าจะสามารถจอดได้ถึงสองคัน
ต้นอบเชยต้นใหญ่ถูกปลูกเอาไว้บริเวณมุมกำแพงของโกดังจอดรถมีความสูงกว่าเท่าตัวของกำแพง ดูเหมือนจะมีอายุบ้างแล้ว แม้ตอนนี้จะเป็ฤดูหนาวแต่กิ่งก้านใบกลับยังดูเขียวชอุ่ม ให้ร่มเงาแก่พื้นที่แห่งนี้
บริเวณใกล้กำแพงถูกปลูกเรียงรายไปด้วยพุ่มกุหลาบจีนและยังมีสวนหินพร้อมบ่อเลี้ยงปลาถูกสร้างเอาไว้ แสงอาทิตย์ฤดูหนาวสาดส่องลงมาปลาคาร์ปตัวโตแข็งแรงแหวกว่ายไปทั่ว เมื่อเดินเข้ามาแล้วหลินลั่วหรานก็รู้สึกก้าวขาไม่ออกอยู่เล็กน้อย
ดูเหมือนว่าที่แห่งนี้จะมีความกว้างไม่ต่ำกว่าสองร้อยตารางเมตรบนพื้นถูกปูด้วยก้อนอิฐขนาดสามตารางฟุต บริเวณใกล้ๆกับตัวบ้านก็ยังปลูกต้นหวูถงต้นใหญ่เอาไว้ โต๊ะเก้าอี้หินถูกวางไว้ภายในต้นไม้ใหญ่ดูแล้วน่าจะเอาไว้เพื่อนั่งพักตากลม
ภายในบ้านไม้ มีห้องอยู่สามห้องต่างดูเหมือนตึกขนาดสองชั้นเล็กๆ ทั้งนั้น ด้านข้างก็เป็ห้องใหญ่ห้องเดียวที่มีเพียงหนึ่งชั้นห้องที่อยู่ห่างออกไปที่สุดก็คือห้องที่ถูกสร้างให้เป็โกดังจอดรถห้องนั้นอีกสองห้องที่อยู่ติดกับโกดังจอดรถ คือห้องครัวและห้องทานอาหารห้องใหญ่
ห้องที่อยู่ตรงกลาง ชั้นล่างเป็ห้องรับแขกและห้องหนังสือ ้าต่างก็เป็ห้องนอนภายในยังถูกประดับไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่ได้ดูขัดกับสไตล์ของบ้านเอาไว้ไม่เพียงแต่รู้สึกสบาย แต่เมื่อเข้ามาอยู่แล้ว ก็ไม่มีทางที่จะไม่สะดวก
อย่าพูดถึงอาการใจเต้นของหลินลั่วหรานเลยแม้แต่เป่าเจียเอง เดินเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าวก็ร้องะโออกมา “หรูเกินไปแล้ว...จะให้ชาวบ้านธรรมดาๆแบบพวกฉันใช้ชีวิตอยู่ในที่แบบนี้ได้ยังไงกัน...”
แต่หลินลั่วหรานกลับรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปอยู่ในบ้านโบราณในสมัยหลายร้อยปีก่อน
หวังเมี่ยวเอ๋อรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้จึงลากทั้งสองเดินผ่านห้องอาหารเข้าไปก่อนจะพบกับประตูที่พาออกไปยังด้านหลังของตัวบ้าน
เมื่อเห็นด้านหลังที่มีขนาดใหญ่กว่าด้านหน้ากว่ากี่เท่าเป่าเจียที่แทบจะหยุดหายใจกับภาพตรงหน้าสุดท้ายก็หลุดสบถคำที่ไม่ค่อยสุภาพนักออกมา
“แม่เ้า!”