ูเี่อันไม่ใช่คนชอบหนีปัญหา ตอนที่แม่เธอจากไป ถึงแม้เธอจะไม่อยากยอมรับความจริงก็ตาม แต่เธอรู้ดีว่าตัวเองต้องข้ามผ่านมันไป เพื่อใช้ชีวิตอย่างที่แม่หวังไว้ให้ได้
เธอนั่งอยู่หน้าหลุมศพของแม่ตลอดทั้งคืน จนกระทั่งเมื่อเห็นแสงแรกของวันใหม่ เห็นดวงอาทิตย์ที่ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ เธอจึงนึกได้ว่า ถึงแม่ของเธอได้สลายรวมเป็หนึ่งเดียวกับพื้นดินตรงหน้า และได้จากเธอไปตลอดกาลแล้วก็ตาม แต่ทั้งหมดไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ที่ขึ้นลงไปตามเวลา เธอจะต้องใช้ชีวิตต่อไปให้ได้
เื่หนักหนาสาหัสแบบนั้นเธอยังยอมรับมันได้ แต่ทำไมในตอนนี้เธอถึงไม่กล้าคิดเื่ที่เจียงเส้าข่ายพูดเอาไว้นะ พิสูจน์ให้ชัดว่าเขาคิดยังไงกับเธออย่างนั้นเหรอ...
คนที่ให้สัญญากับหานรั่วซีว่าจะหย่ากับเธอ ก็คือลู่เป๋าเหยียน
คนที่บอกเธอว่าเขาไม่มีทางสนใจเด็กผู้หญิงอย่างเธอ สองปีข้างหน้าการแต่งงานครั้งนี้จะจบลง ก็คือลู่เป๋าเหยียน
แต่ตอนที่เธอถูกลักพาตัว ตอนที่เธอถูกดักทำร้าย คนที่ช่วยเธอไว้ ก็คือลู่เป๋าเหยียน
ไหนจะยังจูบอันแ่เบาเมื่อคืนบนรถอีก...
เธอไม่กล้าคิดไกลไปมากกว่านี้
ลู่เป๋าเหยียนบอกว่าจะหย่ากับเธอ แต่ก็โอบกอดเธอ จูบเธอ เธอมั่นใจว่าเขาชอบเธอได้จากการกระทำ แต่ก็ต้องปฏิเสธความคิดนั้นไปเมื่อนึกถึงสิ่งที่เขาพูดไว้ สู้ไม่คิดต่อเลยดีกว่า
เมื่อเธอกินอาหารเสร็จ เธอก็จัดการเก็บอุปกรณ์ทั้งหลายเรียบร้อย พลางคิดว่าควรจะส่งข้อความไปขอบคุณลู่เป๋าเหยียนดีหรือไม่
แต่ว่าพวกเราไม่เคยส่งข้อความหรือโทรหากันมาก่อน ถ้าอยู่ๆ เธอส่งข้อความไป เขาอาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครส่งมา จะให้โทรไปก็ไม่ได้จำเป็ขนาดนั้น...
ช่างมันแล้วกัน ไว้คืนนี้ค่อยขอบคุณกับเขาด้วยตัวเองดีกว่า
ูเี่อันล้มเลิกความตั้งใจดังกล่าว
เจียงเส้าข่ายเพิ่งกลับมาจากกินข้าว แต่จู่ๆ เพื่อนตำรวจอาชญากรรมก็รีบวิ่งเข้ามาและพูดว่า
“ทางเราเพิ่งได้รับแจ้งความเข้ามา ที่เขติอันมีคดีฆ่ายกครัว เส้าข่าย เจี่ยนอัน เดี๋ยวพวกเธอออกไปกับฉันที”
เพราะเกิดเื่แบบนี้อยู่เป็ประจำ เจียงเส้าข่ายและูเี่อันจึงรีบเก็บข้าวของ และวิ่งขึ้นรถตำรวจไปสถานที่เกิดเหตุทันที
วันนี้งานของลู่เป๋าเหยียนไม่ได้เยอะมาก จึงสามารถเลิกงานตรงเวลากลับบ้านได้ แต่เมื่อถึงบ้านเขากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของูเี่อัน
“คุณผู้หญิงยังไม่กลับมาเลยครับ จะให้พ่อครัวเตรียมอาหารเย็นเลยไหมครับคุณชาย” ลุงสวีถาม
ลู่เป๋าเหยียนขมวดคิ้ว “ไม่ต้อง เตรียมของไว้อย่างเดียวพอ ฉันจะรอเธอกลับมา”
ลุงสวีแจ้งกับพ่อครัวตามที่เขาสั่ง ทว่ารอจนถึงหกโมงกว่า ูเี่อันก็ยังไม่กลับมา
ลุงสวีอาศัยโอกาสที่ลู่เป๋าเหยียนอยู่ชั้นบน จึงรีบโทรหาูเี่อัน เขาได้ยินเสียงดังวุ่นวายจากอีกด้านของโทรศัพท์ จึงถามด้วยเสียงดังกว่าปกติว่า
“คุณผู้หญิงครับ ทำไมถึงยังไม่กลับบ้านครับเนี่ย”
“หนูยังมีงานต้องเคลียร์อยู่เลยค่ะ วันนี้คงต้องทำโอที” ูเี่อันตอบ “ลุงสวีคะ รบกวนบอกให้พ่อครัวเตรียมมื้อเย็นให้ลู่เป๋าเหยียนหน่อยนะคะ หนูคงกลับไปไม่ทัน มือถือแบตใกล้หมดแล้ว ถ้ายังไงหนูวางสายก่อนนะคะ”
ลุงสวีรายงานเื่ทีู่เี่อันต้องทำโอทีบอกกับลู่เป๋าเหยียนในทันที เขาขมวดคิ้วหน้าเครียด
“เธอได้บอกหรือเปล่าว่าจะกลับกี่โมง”
“ไม่ได้บอกครับ แต่ผมได้ลองโทรไปที่สถานีตำรวจแล้ว ได้ข่าวว่าที่เขติอันมีคดีฆ่ายกครัว คุณผู้หญิงคงต้องจัดการเื่ทางนั้นครับ”
ลู่เป๋าเหยียนยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้นไปอีก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาบอกให้ลุงสวีแจ้งทางพ่อครัวว่าไม่ต้องเตรียมอาหาร แล้วจึงออกจากบ้านไป
เขาขับรถไปที่คลับเฮาส์บนยอดเขา
คลับเฮาส์ที่นี่ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดัง ที่จริงไม่มีแม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ ทุกคนจึงเรียกว่า “คลับเฮาส์ยอดเขา” คนที่รู้จักที่นี่ยังน้อยกว่ารู้จักชื่อร้านคาราโอเกะตามข้างถนนเสียอีก แต่สำหรับคนที่อยู่ในโลกธุรกิจและสังคมไฮโซ คลับเฮาส์แห่งนี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ในการยืนยันสถานะทางสังคม
ที่นี่เป็คลับเฮาส์แห่งเดียวที่ลู่เป๋าเหยียนจะมา การจะเป็สมาชิกของที่นี่ต้องได้รับคำเชิญจากคลับเฮาส์เท่านั้น ต่อให้มีเงินล้นฟ้ามาจากไหน หากไม่ได้รับเชิญแล้วล่ะก็คงได้ถูกห้ามไม่ให้เข้าอยู่นอกประตู
หากเปิดดูรายชื่อสมาชิก จะพบชื่อของเศรษฐีอันดับหนึ่งของแต่ละมณฑล รวมถึงเศรษฐีต่างประเทศบางคนก็มีชื่ออยู่ในนี้
ทุกคนต่างรู้ดีว่า หากมานั่งดื่มที่นี่แค่เพียงหนึ่งชั่วโมง สิ่งที่จะได้รับกลับไปคือคอนเนคชั่นที่ล้ำค่าราวกับคุยธุรกิจสำเร็จไปหนึ่งอย่าง
เพราะฉะนั้น คนในวงการจึงรู้ดีว่าที่นี่ต่างหากที่เป็คลับเฮาส์อันดับหนึ่งของประเทศ
ลู่เป๋าเหยียนเป็เ้าของที่นี่ ที่ชั้นบนสุดของตึกนี้คือห้องชุดส่วนตัวที่ไม่เปิดให้ใครเข้าพักของเขา และการขึ้นไปได้ต้องใช้ลิฟต์ส่วนตัวเท่านั้น
ตอนที่เขาเข้าไป ในห้องชุดมีคนอยู่แล้วคือเสิ่นเยว่ชวนที่อยู่ในชุดสูทรองเท้าหนัง กับชายอีกคนที่ชื่อมู่ซือเจวี๋ย
มู่ซือเจวี๋ยตัดผมสกินเฮด ใบหน้าดูเข้มแข็งคาดเดายาก แขนสองข้างเต็มไปด้วยมัดกล้าม เขานั่งไขว่ห้างพลางคาบบุหรี่อยู่บนโซฟาหนังแท้ ท่าทางดูเย่อหยิ่งไม่กลัวใคร เหมือนคนที่สามารถลุกขึ้นมาฆ่าคนได้เป็ร้อยโดยไม่กะพริบตา
เขาเลิกคิ้วมองลู่เป๋าเหยียน “เอ๋? ไหนบอกว่าไม่มาไง”
“เมียไม่กลับบ้านล่ะสิ” เสิ่นเยว่ชวนพูดพลางช่วยมู่ซื่อเจวี๋ยจุดบุหรี่ “มีบางคนอุตส่าห์อ้างว่าไม่ค่อยสบายขอกลับบ้านก่อนแต่หัววัน ที่ไหนได้เมียดันต้องทำโอที”
มู่ซือเจวี๋ยหัวเราะลั่น ลู่เป๋าเหยียนมองผ่านเขาไปด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่เขาไม่กลัวหรอก เพราะสายตานั้นหยุดอยู่ที่เสิ่นเยว่ชวน
เสิ่นเยว่ชวนตัวสั่นนิดๆ “เอาน่ะ ข้างหน้านายคือชาผูเอ่อร์ชั้นยอด ครึ่งขีดราคาเป็พันหยวนเลยนะ วันนี้เพิ่งส่งมาที่นี่เอง”
ชุดชงชาที่นี่เป็ชุดที่ลู่เป๋าเหยียนไว้ใช้ที่นี่โดยเฉพาะ มันถูกทำความสะอาดไว้อย่างดี เขายกถ้วยชาขึ้นมาดมกลิ่นชา
“ชาชั้นยอด”
เสิ่นเยว่ชวนถอนหายใจ เขากำลังจะยิ้มออกมา แต่ลู่เป๋าเหยียนกลับวางแก้วลงและพูดขึ้นว่า
“แต่ดูท่านายคงต้องไปเนปาลสักรอบ”
สมกับที่เป็ลู่เป๋าเหยียน เขาอุตส่าห์เลี่ยงไปคุยเื่ชากลบเกลื่อนแล้วนะ เสิ่นเยว่ชวนคิด เขาเคยไปที่นั่นหลายครั้ง และสาบานกับตัวเองไว้แล้วว่าจะไม่อีกเป็อันขาด เขาอยากจะแกล้งตายไปซะเดี๋ยวนี้
“ทำไมกัน นายมีสิทธิ์อะไรมาทำกับฉันแบบนี้ ตอนนายป่วยอยู่โรงพยาบาล ูเี่อันไปเยี่ยมนายได้ก็เพราะความดีความชอบฉันล้วนๆ เลยนะ ฉันทำอะไรผิดงั้นเหรอ!!!”
เสิ่นเยว่ชวนได้ะเิความในใจออกมาเสียงดังลั่นห้องอย่างเคืองๆ
ลู่เป๋าเหยียนนั่งจิบชาอย่างไม่ไยดี “นายทำให้เธอใ”
เสิ่นเยว่ชวน “...”
ูเี่อันส่งสายตาเหยียดหยามไปให้เสิ่นเยว่ชวน “ไม่ได้เื่เลยนายเนี่ย อยู่กับลู่เป๋าเหยียนมาก็ตั้งหลายปี มีเื่ไหนบ้างที่เขาไม่ปิดเป็ความลับกับูเี่อัน ทำไมนายไม่เอาเื่พวกนั้นไปขู่เขาแทนล่ะ”
ลู่เป๋าเหยียนใช้สายตาเย็นมองมู่ซือเจวี๋ย
“นายอยากไปเนปาลแทนเสิ่นเยว่ชวน?”
มู่ซือเจวี๋ยเงียบลงทันใด
เขาเองก็อยากจะเอาเื่นั้นไปข่มลู่เป๋าเหยียนอยู่เหมือนกัน แต่ลู่เป๋าเหยียนบอกว่าตัวเองมีหลายร้อยวิธีที่จะทำใหู้เี่อันไม่เชื่อเขา แถมดีไม่ดีมองว่าเขาเป็คนบ้าอีกต่างหาก เสิ่นเยว่ชวนคิดอย่างหงุดหงิด
สุดท้าย เสิ่นเยว่ชวนจึงได้แต่ออกไปเตรียมตัว “ทำงานนอกสถานที่” ส่วนลู่เป๋าเหยียนและมู่ซือเจวี๋ยก็นั่งคุยเื่งานกันต่อ
กว่าลู่เป๋าเหยียนจะกลับไปที่บ้านก็เป็เวลาเที่ยงคืนแล้ว ทว่าูเี่อันก็ยังไม่กลับมา
เขารู้ดีว่านี่เป็เื่ปกติสำหรับอาชีพของูเี่อัน ถ้างานเข้าเมื่อไรอย่าว่าแต่กลับบ้านเลย เวลานอนยังจะไม่มี ว่าแล้วจึงลองโทรไปหาเธอ แต่เธอกลับปิดเครื่อง
“คุณผู้หญิงบอกว่ามือถือใกล้แบตหมดแล้วครับ” อยู่ๆ ลุงสวีก็เดินเข้ามา “คุณชายไปพักผ่อนก่อนเถอะครับ”
ลู่เป๋าเหยียนพยักหน้า แล้วจึงกลับห้องไป
เช้าวันรุ่งขึ้น ูเี่อันก็ยังไม่กลับบ้าน ภายนอกลู่เป๋าเหยียนอาจจะดูเหมือนเดิม ทว่าระหว่างขับรถไปบริษัท เขาตั้งใจขับอ้อมผ่านไปทางสถานีตำรวจ
ช่างบังเอิญ ที่เขาเห็นูเี่อันเดินอยู่ข้างถนนจากไกลๆ เธอยังคงอยู่ในชุดเดิมของเมื่อวาน ผมยาวดำขลับของเธอถูกมัดไว้อยากลวกๆ ดูยุ่งนิดๆ แสงแดดยามเช้าที่ลอดผ่านกิ่งไม้และสะท้อนเงาลงบนใบหน้าเธอนั้น ยิ่งทำให้เธอดูงดงามจับใจ
เธอเดินอยู่กับเจียงเส้าข่าย พวกเขาถือกาแฟกันคนละแก้ว ส่วนมืออีกข้างก็ถือถุงอีกสองถุง ทั้งสองคนเดินไปคุยไปดูเข้ากันได้ดี
เมื่อรถเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ ลู่เป๋าเหยียนเห็นสายตาที่เจียงเส้าช่ายมองูเี่อันได้อย่างชัดเจน สัญชาตญาณบอกเขาว่า มีอะไรบางอย่างไม่น่าไว้วางใจ
ลู่เป๋าเหยียนเหยียบเบรก ONE 77 จอดรถตรงหน้าสถานีตำรวจทันใด ูเี่อันนั่งรถลู่เป๋าเหยียนมาก็หลายครั้งจนจำเสียงรถของเขาได้ แต่ยังยากที่จะเชื่อว่า ลู่เป๋าเหยียนจะลงมาจากรถคันนั้นจริงๆ เธอรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในห้วงความฝัน
ทว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็ลู่เป๋าเหยียนจริงๆ เสียด้วย
สูทสีเข้มที่สั่งตัดเป็พิเศษทำให้เขาดูเพอร์เฟคไปหมด เนกไทแบรนด์เดียวกันที่ผูกอยู่ยิ่งทำให้ดูเป็นักธุรกิจมืออาชีพ ประกอบกับแขนเสื้อเชิ้ตสีขาวและกระดุมที่เรียบง่ายแต่ดูดีที่เผยออกมาทุกครั้งที่เขายกแขนขึ้น รายละเอียดทั้งหมดทั้งมวลยิ่งทำให้เขาดูเป็สุภาพบุรุษกว่าใคร
เขาสวมรองเท้าหนังแฮนด์เมดเงางาม ทุกย่างก้าวของเขาสะท้อนบรรยากาศอันน่าเกรงขาม ณ ่เวลานั้น ูเี่อันละสายตาจากเขาไปไม่ได้เลย สาวๆ ที่เดินผ่านไปต่างมองเขาอย่างชื่นชม เหลือก็แค่จะเข้ามาทักทายหรือไม่
ส่วนสายตาของลู่เป๋าเหยียนนั้นหยุดอยู่ทีู่เี่อันั้แ่แรก ราวกับว่าบนโลกใบนี้มีเพียงเธอเท่านั้น
เขาเดินเข้ามาช่วยถือถุงที่ใส่กาแฟอยู่เต็มหกแก้วไปจากมือูเี่อัน ูเี่อันจึงหลุดออกจากภวังค์
“ทำไมนายมาอยู่นี่ได้ ถ้าจะไปบริษัท...มันไม่ผ่านทางนี้นี่นา”
“ไม่ใช่ทางผ่านแล้วแวะมาดูเธอไม่ได้งั้นเหรอ” ลู่เป๋าเหยียนลูบแก้มูเี่อันอย่างทะนุถนอม “เมื่อคืนไม่ได้นอนเลยใช่หรือเปล่า” ขอบตาเธอคล้ำยิ่งกว่าเมื่อวานเสียอีก
พูดถึงเมื่อคืนแล้วเธออยากจะร้องไห้ คนอื่นได้หลับสบายอยู่ใต้ผ้าห่ม ส่วนเธอกลับต้องอยู่กับกระดูกเย็นๆ ในห้องผ่าตัด ไม่รู้ว่าเธอกินกาแฟไปกี่แก้วแล้วถึงยังตื่นอยู่ได้
“ไม่ได้นอนเลย เวลามีคดีฆาตกรรมก็งี้แหละ วินาทีเดียวก็นอนไม่ได้ งานยุ่งกว่านาย่ก่อนหน้านี้อีกนะ”
เธอไม่รู้ตัวเลยว่าเสียงของตัวเองดูออดอ้อนขอความเห็นใจขนาดไหน
ลู่เป๋าเหยียนถึงกับยิ้มออกมา เขาโอบเอวเธอและพาเธอเดินเข้าออฟฟิศไป
ูเี่อันรู้ตัวอีกที ก็ตอนที่ถูกเสียวอิ่งกับสารวัตรมองด้วยสายตากรุ้มกริ่ม พอเธอขยับตัวเล็กน้อยอย่างอึดอัด ลู่เป๋าเหยียนกลับยิ่งรัดเธอแน่นยิ่งขึ้น เขาหันหน้ามาถามเธอ
“พวกเธอกินข้าวเช้ากันหรือยัง”
“ยังเลย” ตอนนี้เธอรู้สึกว่าสายตาของพวกตำรวจแผนกอาชญากรรมต่างจับจ้องมาที่เธอ
“เดี๋ยวฉันให้คนมาส่งอาหารเช้าที่นี่ดีไหม” เสียงของลู่เป๋าเหยียนเต็มไปด้วยความรักใคร่ “อยากกินอาหารของจุยเยว่จวี้ หรือว่าที่อื่นดีล่ะ”
“จะ จุยเยว่จวี้ก็ได้...” เธอได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังมาจากไม่ไกล
“โอเค” ลู่เป๋าเหยียนยิ้มตอบรับ แล้วจึงทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้
“แล้วลิ้นเธอเป็ยังไงบ้าง”
คราวนีู้เี่อันเริ่มฉลาดขึ้นมาบ้างแล้ว เธอรีบหันมาหาเขาอย่างว่าง่ายแล้วแลบลิ้นออกมาให้ลู่เป๋าเหยียนตรวจดู
“เมื่อวานฉันใส่ยาแล้ว หายดีแล้วล่ะ” เพราะหน้าเธอเริ่มแดงขึ้นมาแล้ว จึงรีบพูดขึ้นมาว่า
“นายจะไปทำงานสายแล้วนะ”
ลู่เป๋าเหยียนมองนาฬิกา แล้วปล่อยมือจากูเี่อัน จากนั้นบอกลาทุกคนอย่างมีมารยาท และหันกลับมาพูดกับูเี่อันก่อนกลับเบาๆ ที่ข้างหูว่า
“อีกครึ่งชั่วโมงอาหารจะมาส่งนะ”
เขาออกไปจากออฟฟิศสักพักแล้วก็จริง แตู่เี่อันยังคงยืนเหม่ออยู่ที่เดิม พอรู้ตัวหันกลับมามองบรรดาเพื่อนเธอ แต่ละคนต่างทำสายตาล้อเลียนอย่างชัดเจน ทันใดนั้น สารวัตรเหยียนก็หันไปถามเสียวอิ่งอย่างสนิทสนม
“ที่รักจ๋า ลิ้นเธอเป็ยังไงบ้างจ๊ะ”
เสียวอิ่งรับมุกทันใด พร้อมแลบลิ้นออกมา
“เมื่อวานใส่ยาแล้ว หายดีแล้วจ้ะที่รัก~”
ูเี่อันอยากจะเป็ลม
“เมื่อกี้พวกฉันไม่ได้ดูน่าแหวะขนาดนี้นี่”