ในชั้นเรียนก็คึกคักขึ้นมาทันที ทุกคนต่างก็จับกลุ่มกัน และฉันกับหลี่โม่ต้องอยู่กลุ่มเดียวกันอยู่แล้ว
“ยังขาดอีกคนหนึ่ง” หลี่โม่ฟ๋านพูด
“หาใครก็ได้สักคนน่ะ” ฉันพูดอย่างไม่ใส่ใจ ณ เวลานี้ น้ำเสียงที่หวาดกลัวเสียงหนึ่งดังขึ้น “ฉันเข้าร่วมกับพวกนายได้ไหม”
ฉันงงงันอยู่ครู่หนึ่ง และเงยหน้ามองขึ้นก็คือเย่รั่วเซวี่ย เป็หนึ่งในดาวของชั้นเรียนของพวกเรา นิสัยเธอมีชีวิตชีวามองโลกในแง่ดี ไม่ว่าจะเป็ในหมู่ผู้ชายหรือผู้หญิง เธอล้วนเป็ที่นิยม
“ทำไมเธออยากจะเข้าร่วมกับพวกเราล่ะ?” ฉันถามอย่างตะกุกตะกัก ใบหน้าที่งดงามของเย่รั่วเซวี่ยนั้นได้ปรากฏสีหน้าที่ทะเล้น พูดด้วยน้ำเสียงที่ปลิ้นปล้อนว่า “แน่นอนว่าเป็เพราะคำพูดที่นายเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ ฉันรู้สึกว่านายฉลาดมาก พวกเรามาร่วมมือกัน ไม่แน่ว่าอาจจะพบอะไร”
“งั้นก็ได้” ฉันพยักหน้าพลางพูด เช่นนี้พวก 3 คนก็ถือว่าเป็กลุ่มสายสืบสาวหนึ่งกลุ่มแล้ว ตอนนี้ตลอดทั้ง่บ่ายได้หยุดเรียนแล้ว มีเวลาอีกมากให้พวกเราได้ตรวจสอบ
เย่รั่วเซวี่ยมีหน้าตาที่สวยพริ้มเพรา นิสัยน่ารักมีชีวิตชีวา ทำให้สายตาของฉันติดอยู่ที่เธอ พวกเรา 3คนเดินอยู่ในโรงเรียน ทั้งโรงเรียนไม่ได้เป็เพราะว่าการตายของคนทั้งสองถึงทำให้เงียบสงัดได้ นักเรียนในชั้นเรียนอื่นๆ ล้วนทำกิจกรรมอยู่ที่สนามกีฬา
“นายว่าทำไมชั้นเรียนอื่นไม่เหมือนกับชั้นเรียนของพวกเราล่ะ” เย่รั่วเซวี่ยพูดกับพวกเรา
“ใครจะรู้ แต่ว่าอิจฉาพวกเขาจัง” มองดูนักเรียนที่กำลังเล่นบาสเกตบอลอยู่ที่สนาม ฉันพูดอย่างเลี่ยงไม่ได้ เทียบกับพวกเขาแล้ว ชีวิตของพวกเราดั่งกับอยู่ในนรก ใครๆ ก็ไม่รู้ การโหวตในครั้งต่อไปจะตกไปอยู่ที่ใคร
“ทำไมชั้นเรียนของพวกเราต้องถูกสาปด้วยล่ะ การโหวตเมื่อกี้เป็เพียงแค่การเล่นพิเรนทร์เท่านั้น” เย่รั่วเซวี่ยพูด
“ไม่ชัดเจนน่ะ แต่ทว่าพวกเราควรจะตรวจสอบบริเวณรอบๆ โรงเรียนสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะพบอะไร” ฉันพูดไปอย่างนั้น หลังจากนั้นพวกเราก็เดินเตร่ไปมาในโรงเรียน
“คุณป้าค่ะ คุณรู้ไหมเมื่อก่อนทั้งโรงเรียนเคยเกิดเื่อะไรขึ้นไหม?” เย่รั่วเซวี่ยะโโลดเต้นอยู่ในโรงอาหารพลางสอบถาม คนที่เธอถามล้วนเป็คนแก่ที่ทำงานในโรงอาหารมาเป็เวลาสิบกว่าปีทั้งนั้น พวกเขาน่าจะรู้ว่าครั้งอดีตโรงเรียนเคยเกิดเื่อะไรขึ้น
“ไม่มี ภายในโรงเรียนไม่เคยมีเื่อะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น” แม่ครัวคนหนึ่งตอบ
“ถ้าเช่นนั้นเมื่อก่อนในโรงเรียนเคยมีคนตายไหม?” เย่รั่วเซวี่ยถาม
“อันนี้ฉันจะรู้ได้ยังไง สาวน้อยตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาอาหาร ถ้าเธอไม่มีอะไรก็ออกไปเถอะ” สีหน้าของแม่ครัวกลางคนคนหนึ่งเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเย่รั่วเซวี่ยจึงรีบออกมา
เย่รั่วเซวี่ยเลี่ยงไม่ได้ที่จะออกมาจากโรงอาหาร และก็เห็นพวกเรารออยู่พอดี
“เธอถามอะไรได้แล้วหรือยัง?” ฉันรีบร้อนถาม
เย่รั่วเซวี่ยส่ายหน้า สีหน้าท่าทางเลี่ยงไม่ได้ที่จะตอบว่า “ไม่ได้อะไรทั้งนั้น แต่ฉันมีความรู้สึกว่า พวกเขาน่าจะรู้อะไรบางอย่าง ก็แค่ไม่อยากที่จะบอกฉัน”
“เธอมั่นใจอย่างนั้นเชียวเหรอ?” ฉันถามพลางหัวเราะ
“แน่นอน ฉันน่ะ ดูโคนันมาแล้วห้าร้อยตอน คนที่รู้และเข้าใจวิธีการฆ่าคนในห้องสามร้อยกว่าวิธี” เย่รั่วเซวี่ยแกว่งหัวไปมาอย่างภาคภูมิใจ ในระหว่างที่เธอไม่สนใจได้เผยความทะเล้นออกมา ทำให้ใจฉันเต้น แต่ทว่าเธอเป็ดาวโรงเรียน ผู้ชายกระจอกๆ อย่างฉันเธอคงไม่มอง นึกแล้วฉันก็ส่ายหน้า ต้องพยายามรักษาระยะกับเธอแทบล้มประดา
นอกจากกลุ่มของพวกเราแล้ว กลุ่มอื่นๆ ก็ได้ดำเนินการสืบแล้ว พวกเรามีเวลาเพียงพอตลอดทั้ง่บ่าย ทั้งโรงเรียนกว้างมาก อาคารเรียนก็มีมากมาย ในขณะเดียวกันก็มีโกดังเก็บของอีกมากมาย
เดินวนไปมาอยู่ในสนามกีฬา พวกเราก็ได้สอบถามผู้คนอีกมาก แต่คำตอบที่ได้มีแค่หนึ่งเดียว นั่นก็คือไม่รู้
“จะทำยังไงดี ทั้งหมดไม่มีใครรู้เลย หากเป็เช่นนี้จะทำยังไงดีล่ะ” เย่รั่วเซวี่ยพูดอย่างรีบร้อน
“ลองหาดูสักหน่อยน่ะ พวกเขาต้องรู้อะไรบ้างแน่นอน” ฉันพูด
“ถ้าเช่นนั้นควรจะไปถามใครล่ะ” หลี่โม่ฟ๋านถาม
“ไปถามคุณตาที่ต้มหม้อน้ำกันเถอะ เขาอยู่ที่โรงเรียนนี้มานานาที่สุดแล้ว” ฉันลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดหลังจากนั้นฉันก็พาเย่รั่วเซวี่ยกับหลี่โม่ฟ๋านมาที่สถานที่ต้มหม้อน้ำ
ตาเฉินที่ต้มหม้อน้ำ คือคนที่แก่ที่สุดในโรงเรียน ผิวพรรณหยาบกร้าน ใบดำเหมือนถ่าน ลักษณะซื่อๆ และเงียบขรึม ทุกคนล้วนเรียกเขาว่าตาเฉิน สำหรับชื่อจริงๆ ของเขานั้นไม่มีใครรู้เลย
เขาอยู่ที่โรงเรียนนี้มาเกิน 20 ปีแล้ว เขายังโสดไม่มีคู่ครอง และยังถือว่าโรงเรียนเป็บ้านของตนมานานแล้ว ทุกวันจะพักอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ห้องหม้อน้ำ
เมื่อพวกเรามาถึงที่พักของเขา เขากำลังดูโทรทัศน์อยู่ สำหรับการมาของพวกเรา ทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อย
“ตาเฉิน พวกเรามาเยี่ยมตาน่ะ” เย่รั่วเซวี่ยกระโจนเข้ามา นิสัยเธอค่อนข้างกระตือรือร้น แม้ว่าจะเป็คนที่ไม่รู้จักก็ตาม แต่ไม่นานก็จะกลายเป็เพื่อนของเธอ และนี่คือเหตุผลที่เธอค่อนข้างจะได้รับการยอมรับจากชั้นเรียนของพวกเรา
“พวกเธอมาหาฉันมีธุระอะไร?” ตาเฉินมองเธอพลางยิ้มแล้วพูด
“พวกเรามีเื่ที่จะถามตาหน่อยน่ะ” เย่รั่วเซวี่ยพูดอย่างไม่พูดพล่ามทำเพลง
“เื่อะไรก็พูดมาสิ” ตาเฉินตอบโดยที่ไม่ต้องคิด
“พวกเราอยากรู้ว่า เมื่อก่อนทั้งโรงเรียนเคยเกิดเื่ราวประหลาดอะไรไหม? เช่นมีคนตายหรืออะไร” เย่รั่วเซวี่ยถาม
“เื่นี้น่ะ ก็มีอยู่” ตาเฉินลังเลอยู่พักหนึ่งแล้วพูด
“เยี่ยมไปเลย คือเื่อะไรกันแน่” เย่รั่วเซวี่ยพูดด้วยความตื่นเต้น
“นั่นเป็เื่เมื่อ 3 ปีที่แล้ว เมื่อ 3 ปีก่อนหอพักหญิงได้มีนักเรียนหญิงคนหนึ่งะโตึกฆ่าตัวตายอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นทั้งหอพักมักจะได้เสียงผู้หญิงตอนเที่ยงคืน” ตาเฉินพูด
“ตาพูดอย่างนี้ ฉันก็นึกออกแล้ว มีเื่อย่างนี้เกิดขึ้นจริงๆ ตามที่เล่ากันว่านักเรียนหญิงคนนั้นได้คิดสั้นฆ่าตัวตาย” เย่รั่วเซวี่ยพูดขึ้นมาทันที
“ไม่ผิด เป็เื่นี้จริงๆ ต่อมาหอพักตึกนั้นก็ไม่มีการใช้งานแล้ว ถ้างั้นตึกนั้นอยู่ที่ไหนล่ะ” ตาเฉินชี้ไปด้านนอก ในโรงเรียงมีสิ่งก่อสร้างที่ไม่ใช้งานแล้วอยู่มากมาย ในนั้นมีอยู่หนึ่งตึกที่เคยเป็หอพักหญิงมาก่อน ปัจจุบันนี้ได้กลายเป็โกดังเก็บอุปกรณ์พลศึกษา
ฉันตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ สายตาจับจ้องอยู่ที่ภายในห้องของตาเฉิน ห้องเล็กๆ ห้องนี้เล็กมาก นอกจากโทรทัศน์กับเตียงค่าง และสิ่งของที่แขวนไว้บนกำแพงแล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก บนเตียงค่างระเกะระกะเป็อย่างยิ่ง และในมุมมุมหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าฉันจะพบกางเกง-ในลายลูกไม้สีดำตัวหนึ่ง ้ามีรอยสีขาว
ฉันส่ายหน้าแล้วเลิกมอง ตาเฉินยังคงพูดอยู่ ตามที่เล่ากันมาว่านักเรียนหญิงที่ฆ่าตัวตายเป็นักเรียนดีเด่น ไม่ว่าจะเป็ผลการเรียนหรือว่าหน้าตาก็ไม่เลวเลย พูดถึงตรงนี้ ตาเฉินถึงกับทอดถอนหายใจ “เด็กดีคนหนึ่ง ได้ฆ่าตัวตายอย่างกะทันหัน”
“จริงๆ แล้วเป็เช่นนี้” เย่รั่วเซวี่ยพยักหน้า คล้ายกับว่าได้พบอะไรบางอย่าง สายตาลุกเป็ประกายอย่างไม่หยุด
“พอแล้ว พวกเราควรจะไปได้แล้ว หากมีเวลาพวกเราจะมาเยี่ยมตาอีก” เย่รั่วเซวี่ยพูด ผ่านไปสักพัก เย่รั่วเซวี่ยได้เดินตามพวกเราออกมาแล้ว ตอนที่ใกล้จะไปฉันได้ชำเลืองมองดูตาเฉินทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็หันหลังเดินออกจากที่นั้น
ระหว่างทางกลับชั้นเรียน เย่รั่วเซวี่ยถามฉันว่า “พวกนายว่า การฆ่าตัวตายของนักเรียนหญิงคนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับคำสาปของชั้นเรียนของพวกเราไหม?”
“ไม่น่าจะใช่” ฉันส่ายหน้าพลางพูดว่า “หากว่าหลังจากที่นักเรียนหญิงคนนั้นได้ตายแล้วเป็ผีร้ายที่้าจะแก้แค้น ก็ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับพวกเรา นักเรียนหญิงคนนั้นฆ่าตัวตายเมื่อ 3 ปีก่อนแล้ว แต่ว่าเมื่อ 3 ปีก่อนพวกเรายังเรียนอยู่ชั้นม.ต้นอยู่เลย”
“โอ้ พูดอย่างนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้วสิ” เย่รั่วเซวี่ยพูดอย่างหน้าม่อยคอตก
“อย่างน้อยก็รู้มาเื่หนึ่ง โรงเรียนแห่งนี้ไม่ได้สงบอย่างที่พวกเขาพูดกันแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเกิดเื่อะไรบางอย่าง ทำให้พวกเขาจำเป็ต้องปิดบัง” ฉันวิเคราะห์อย่างใจเย็นแล้วพูด
“นายพูดไม่ผิด ฉันจะไม่วางมือแน่นอน” พอเย่รั่วเซวี่ยพูดจบ อาการหน้าม่อยคอตกก็หมดไป เธอชูกำปั้นด้วยความมั่นใจ และยืดอกขึ้นจนทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะมองจนตาค้าง
เธอมองฉันที่กำลังจ้องเธออยู่ เย่รั่วเซวี่ยเพิ่งรู้สึกว่าไม่ปกติ มองฉันด้วยความเคอะเขินและโกรธเคียง หลังจากนั้นก็เดินไปด้านหน้าสุด เธอะโไปมาอยู่ด้านหน้าสุด ผมที่ดำสนิทพลิ้วไหวไปตามลม มองเรือนร่างที่สวยงามและอ่อนเยาว์ของเธอ สายตาฉันเกิดความหลงใหล
หลี่โม่ฟ๋านที่อยู่ข้างๆ พูดว่า “จางเว่ย นายชอบเธอเหรอ?”
ฉันตะลึงงันอยู่แวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็ฝืนยิ้มพลางส่ายหน้าพูดว่า “อย่างฉันจะไปชอบอะไรเธอได้”
หลังจากกลับมาถึงห้องเรียน เพื่อนๆ ก็เริ่มทยอยกลับกันมาแล้ว พวกเขาต่างก็มีข่าวคราวกลับมากันบ้าง ข่าวเหล่านี้บางอย่างก็เป็เพียงแค่ข่าวเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างก็คือข่าวลือ
ไม่นานนักเรียนในห้องเรียนก็เริ่มนั่งกันเต็มห้อง เื่นี้เกี่ยวข้องกับความเป็ความตายของคนทั้งชั้นเรียน แม้แต่คนที่ชอบตลก ณ เวลานี้ก็มีสีหน้าที่เอาจริงเอาจัง
“ทุกคนนำข่าวคราวที่สืบได้มาพูดกันหน่อย” กวานเหยายืนพูดบนแท่นพูดหน้าชั้นเรียน
“ฉันพูดก่อน ฉันสืบได้ว่าเมื่อ 3 ปีก่อน หอพักนักเรียนหญิงมีนักเรียนหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตาย” เย่รั่วเซวี่ยยกมือขึ้นแล้วะโพูดเป็คนแรก หลักจากนั้นคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ มีการตอบรับ
“ฉันก็สืบเจอข่าวนี้เหมือนกัน ในขณะเดียวกันฉันยังรู้มาอีกว่านักเรียนหญิงที่ฆ่าตัวตายนั้นเป็นักเรียนรุ่นก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออยู่ห้อง 5 เหมือนกัน” เกาเจิ้นพูด
“นี่ยังไม่เท่าไหร่ ฉันจะบอกข่าวที่ดุเดือดที่สุดให้ทุกคนรู้” หวางอู่ที่ชอบออกหน้าออกตาเป็ที่สุด ยืนขึ้นอย่างห้าวหาญ หลังจากนั้นพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ฉันเพิ่งโทรหาพี่ชายที่เป็ญาติกัน ให้เขาส่งลูกน้องไปตรวจสอบสถานที่พำนักของโรงเรียนแห่งนี้ดู พวกเธอลองทายดูสิว่าฉันเจออะไร? โรงเรียนแห่งนี้เมื่อก่อนเป็สุสาน!”