“คุณเข้ามาหาฉันก็เพื่อตั๋วนมผงงั้นหรือ?” คุณแม่มือใหม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ความระแวดระวังเมื่อครู่นี้พลันสลายไปในพริบตา เธอยืดคอขึ้นพลางมองซิงซิงที่กำลังนอนหลับปุ๋ยอยู่ในอ้อมแขนของซย่านี
แม้ว่าซิงซิงจะผอมแห้งแต่เด็กคนนี้ก็ได้เชื้อพ่อมาบ้าง เขาเกิดมาขาวกระจ่างใสทำให้คนรู้สึกดีกับเขาั้แ่แรกเห็น ซย่านีมาโรงพยาบาลเพื่อขอซื้อตั๋วนมผงดังนั้นเธอจึงตั้งใจอุ้มซิงซิงมาโดยเฉพาะ ประการแรกคือเธอกลัวว่าคนอื่นจะเข้าผิดคิดว่าเธอเป็นายหน้ารับซื้อตั๋วนมผง ประการที่สองเป็เพราะซิงซิงหน้าตาน่ารักน่าชังจึงมักเป็ที่ชื่นชอบของเหล่าสหายหญิง
ซย่านีถอนหายใจ “ใช่ค่ะ ลูกของฉันยังเล็กมาก ฉันไม่สามารถเอาน้ำข้าวต้มให้เขากินได้จริงๆ ก็เลยต้องคิดวิธีมาหาซื้อตั๋วนมผงให้ลูกที่โรงพยาบาล”
สหายหญิงคนนี้น่ะมีตั๋วนมผงอยู่แล้วแต่เธอยังเป็คุณแม่มือใหม่ที่เพิ่งเคยมีลูกเป็ครั้งแรก เธอไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ดังนั้นเธอค่อนข้างกังวลว่าตัวเองจะมีน้ำนมไม่พอใช้จึงกลัวว่าหากให้ตั๋วนมผงกับซย่าไปแล้ว ลูกของตัวเองจะไม่มีดื่ม
เธอเอ่ยตอบ “คุณรออยู่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวฉันขอไปถามแม่สามีก่อน...นี่ แม่คะ!”
พอพูดถึงโจโฉโจโฉก็มาทันที เพิ่งจะพูดจบแม่สามีของคุณแม่มือใหม่คนนี้ก็เดินเข้ามาพอดี แม่สามีของเธอใบหน้าอิ่มเอิบดูมีเมตตามองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็คนใจดี เมื่อเธอได้ฟังที่ลูกสะใภ้เล่าถึงสถานการณ์ของซย่านีในยามนี้ เธอก็ตัดสินใจทันที “ได้แน่นอนเธอมีน้ำนมพออยู่แล้ว ลูกกินแค่น้ำนมของเธอก็พอแล้ว ส่วนตั๋วนมผงก็แบ่งให้สหายหญิงคนนี้ได้เลยจ้ะ”
ซย่านี้กล่าวด้วยสีหน้าขอบคุณ “ขอบคุณพวกคุณมากเลยนะคะ ขอบคุณจริงๆ ขอบคุณมากเลย...”
“ขอบคงขอบคุณอะไรกัน ไม่ว่าใครก็มี่เวลาที่ต้องพบเจอความยากลำบากกันทั้งนั้น” แม่สามีของคุณแม่มือใหม่ท่านนี้กล่าวกับซย่านี “เดี๋ยวหนูรอก่อนนะจ้ะ ตั๋วนมผงอยู่กับลูกชายของฉันเขาเพิ่งไปจ่ายค่าธรรมเนียม อีกเดี๋ยวก็คงมาแล้ว”
ซย่านีพยักหน้ารัวๆ “อ่อ ได้เลยค่ะๆ”
แม่สามีท่านนี้เป็คนช่างเจรจา เธออดไม่ได้ที่จะถามไถ่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของซย่านี เริ่มั้แ่ถามว่าเธอเป็คนที่ไหนแล้วมาอยู่ที่กรุงปักกิ่งได้อย่างไร
ซย่านีเองก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด เธอกล่าวตามจริง “ฉันเป็คนมณฑลฉินค่ะ เมื่อก่อนสามีของฉันเขาเคยไปเป็ยุวปัญญาชนที่ชนบทที่ที่เขาไปก็คือบ้านเกิดของฉันเอง แล้วหลังจาก่ปฏิวัติวัฒนธรรมเสร็จประเทศได้มีการเปิดสอบเข้ามหาวิทยาลัยอีกครั้ง สามีของฉันก็กลับมาสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งนี่แหละค่ะ หลังจากนั้นเขาก็พาฉันกับลูกๆ กลับมาที่นี่ด้วย”
แม่สามีได้ยินดังนั้นก็เกิดความรู้สึกประทับใจต่อครอบครัวของซย่านีขึ้นมาทันที สามีของซย่านีคนนี้เลือกที่กลับเมืองกรุงเพื่อมาสอบเข้ามหาวิทยาลัยแต่เขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งภรรยาชนบท แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเขาเป็คนมีความรับผิดชอบและมีมโนธรรม อีกทั้งเขายังสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยในกรุงปักกิ่งได้ั้แ่ปีแรก ฟังจากที่ซย่านีเล่าเขาเป็คนฉลาดและมีความสามารถจริงๆ ส่วนซย่านีที่เดินทางมาไกลถึงโรงพยาบาลด้วยตนเองแบบนี้ก็เพื่อหาตั๋วนมผงให้ลูกของเธอ แสดงให้เห็นอีกว่าเธอเป็คนกล้าหาญและคิดรอบคอบมากเพียงใด แถมเธอยังรักลูกของตนเองมากอีกด้วย
“สามีของหนูสอบติดมหาวิทยาลัยไหนหรือ?” เธอเอ่ยถาม
ซย่านีตอบตามตรง “มหาวิทยาลัยปักกิ่งค่ะ”
“โอ้โห บังเอิญขนาดนี้เชียว” คุณแม่มือใหม่ยิ้มกว้าง “พ่อสามีของฉันก็บังเอิญสอนหนังสืออยู่ที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งเหมือนกันค่ะ แถมครอบครัวของพวกเราก็อาศัยอยู่ที่บ้านพักประจำมหาวิทยาลัยด้วย”
ซย่านีคิดไม่ถึงว่าจะมีเื่บังเอิญเช่นนี้อยู่บนโลก
“สามีของหนูชื่อว่าอะไรจ้ะ? แล้วเรียนเอกอะไรหรือ? ไม่แน่ว่าตาแก่บ้านฉันอาจจะรู้จักสามีของหนูก็ได้นะ?” แม่สามีท่านนั้นเอ่ยถามซยานี
ซย่านีตอบเธอ “เขาชื่อซ่งหานเจียงค่ะ”
แม่สามีพลันยิ้มกว้างเธอตบมือพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าในโลกนี้จะมีเื่บังเอิญเช่นนี้อยู่ด้วย! ซ่งหานเจียงเขาเป็ลูกศิษย์ของสามีฉันพอดีเลย เขายังเคยมาทานข้าวที่บ้านของฉันตั้งสองครั้งเชียวนะ”
คราวนี้ซย่านีใมากจริงๆ “ปะ...เป็ไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมจะเป็ไปไม่ได้กันเล่า ฉันขอถามหนูหน่อยสามีของหนูใช่ชายหนุ่มที่ตัวขาวๆ หน้าตาหล่อมากๆ ใช่ไหมจ๊ะ?”
ซย่านียิ้มออกมาเช่นนั้นก็คงไม่แคล้วว่าจะเป็เขาแล้วล่ะ เธอไม่เชื่อว่าที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งจะมีคนหล่อเหลาที่ชื่อซ่งหานเจียงอีกเป็คนที่สองหรอก
แม่สามียิ้มตาม “เห็นไหม ฉันบอกหนูแล้ว”
จากนั้นพวกเขาก็แนะนำตัวต่อกันและกัน คุณแม่มือใหม่คนนี้มีชื่อว่าหลิวอิ่ง ส่วนแม่สามีของเธอชื่อว่าหยางเหมี่ยนเหวิน ทางด้านหลิวอิ่งนั้นทำงานที่คณะศิลป์[1] โดยทำหน้าที่เป็นักไวโอลินและหยางเหมี่ยนเหวินเองก็เคยเป็อาจารย์ที่นั่นมาก่อน แต่ตอนนี้เธอเกษียณออกมาแล้ว
ครอบครัวนี้เรียกได้ว่าเป็ปัญญาชนกันทั้งบ้าน
ผ่านไปไม่นานเฉินเจียซั่งผู้เป็สามีของหลิวอิ่งก็กลับมา หยางเหมี่ยนเหวิน จึงขอตั๋วนมผงจากเขาแล้วนำมามอบให้ซย่านีพลางกล่าวว่า “หลิวอิ่งมีน้ำนมเพียงพอแล้ว หลังจากนี้หากบ้านฉันได้ตั๋วนมผงมาอีก ฉันจะบอกให้ซ่งหานเจียงมาเอาไปให้หนูนะจ้ะ รอบหน้าหนูจะได้ไม่ต้องมาขอตั๋วนมผงที่โรงพยาบาลอีก หากมีคนเข้าใจเจตนาของหนูผิดมันจะแย่เอาได้นะ”
หลังจากที่ซย่านีรับตั๋วนมผงมาแล้วเธอก็ควักเงินออกมาทันที หยางเหมี่ยนเหวินเห็นเข้าก็รีบแตะหลังมือของเธอเพื่อห้ามการกระทำตรงหน้าไว้ “ตั๋วนมผงนั้นได้ตามสิทธิ์อยู่แล้ว พวกเราเองก็ไม่ได้จ่ายเงินแต่อย่างใด หนูเอาไปเถอะนะจ้ะ”
ซย่านีส่ายหน้าปฏิเสธ “แบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะ หากคุณไม่รับเงิน ฉันก็ไม่สบายใจ หานเจียงเองก็คงจะไม่สบายใจเช่นกัน ”
หยางเหมี่ยนเหวินยืนกรานต่อไป “มีอะไรไม่สบายใจกันเล่า หานเจียงเป็ลูกศิษย์ของสามีฉันว่ากันว่าเมื่อเป็ลูกศิษย์ก็เหมือนเป็ลูกชายไปครึ่งหนึ่ง หากคิดเช่นนั้นก็นับว่าเขาเป็ลูกชายของฉันเหมือนกันนะ แล้วหนูก็เป็สะใภ้ของฉันด้วยลูกๆ ของพวกเธอก็คือหลานของฉัน...มีอย่างที่ไหนคนเป็ย่าให้ตั๋วนมผงกับหลานแล้วยังจะคิดเงินอีกจ๊ะ?”
ซย่านีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เธอกล่าวตะกุกตะกัก “นะ...นะ...นับแบบนี้มันจะได้หรือคะ?”
หยางเหมี่ยนเหวินตอบ “ไยจึงจะนับไม่ได้เล่า? หรือว่าหนูไม่ยอมรับฉันเป็อาจารย์แม่งั้นหรือ?”
ซย่านีรีบส่ายหน้ารัว “ไม่ๆ ไม่ใช่ค่ะ ฉันต้องยอมรับอยู่แล้ว”
หยางเหมี่ยนเหวินยิ้ม “เช่นนั้นก็เรียบร้อยเอาตามนี้แหละ จากนี้ไปหนูก็ตามซ่งหานเจียงมาที่บ้านของพวกเราเพื่อเยี่ยมเยียนฉันกับสามีตอน่วันหยุดบ้างก็พอแล้ว ส่วนเงินนี่หนูก็เก็บไว้เถอะนะ เอาเงินพวกนี้ไว้ซื้อของอร่อยๆ ให้ลูกๆ กินเถอะ...ดูสิลูกของหนูผอมขนาดนี้เชียว”
หลังจากที่ซิงซิงตื่นนอนเขาก็เริ่มยุกยิกขึ้นมาและไม่ยอมอยู่ในอ้อมแขนของซย่านีอีกต่อไป ดังนั้นซย่านีจึงวางเขาลงบนเตียงแล้วปล่อยให้เขาคลานเล่นตามใจชอบ
แม้ว่าซิงซิงจะผอมแห้งแต่ั์ตาของเขากลมโตและมีสีดำขลับดวงตานั้นกระจ่างสดใสทำให้ดูมีชีวิตชีวา พอรวมๆ กันแล้วก็ดูน่ารักมากๆ ราวกับตุ๊กตาในเทศกาลปีใหม่[2] เลยทีเดียว
หยางเหมี่ยนเหวินอุ้มหลานชายของตนเองขึ้นมาพร้อมกล่าวว่า “หลานรัก ดูพี่ซิงซิงของหนูสิ ดูสิว่าพี่ซิงซิงเขาหล่อขนาดไหน วันหน้าหนูจะต้องโตขึ้นมาให้ได้อย่างพี่เขานะลูก”
แม้แต่หลิวอิ่งผู้เป็มารดาของทารกน้อยก็ยังช่วยพูดเสริมอีกแรงว่า “ใช่แล้วๆ ลูกรัก ย่าของลูกพูดถูกต้องแล้ว ลูกต้องโตมาน่ารักให้ได้แบบนี้นะคะ”
ทำเอาซย่านีหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกขึ้นมาอีกครั้ง
หลิวอิ่งยังบ่นกับซย่านีว่า “ดูลูกชายของฉันสิ เขาตัวแดงแถมผิวยังมีรอยย่นๆ เหมือนกับลูกลิงน้อยเลย”
ซย่านีปลอบเธอ “ตอนที่ซิงซิงเพิ่งจะคลอดก็ดูไม่ค่อยดีเหมือนกันค่ะ รอผ่านไปอีกสักพักร่างกายของเขาก็จะเริ่มโตขึ้น หลังจากนั้นเขาก็จะดูดีแล้ว ตอนนี้ยิ่งเขาหน้าแดงเท่าไหร่แสดงว่าต่อไปผิวจะยิ่งขาวเท่านั้นเลย”
หลิวอิ่งเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “จริงหรือคะ?”
ซย่านีพยักหน้าอย่างจริงจัง “จริงๆ ค่ะ ฉันไม่โกหกคุณหรอก ดูสิพวกคุณทั้งสองคนก็ไม่ได้ตัวคล้ำกันนี่นา ลูกออกมาก็จะต้องขาวแน่ๆ ค่ะ”
ในที่สุดหลิวอิ่งก็เหมือนเพิ่งได้รับความสบายใจขึ้นมา ตอนแรกเธอก็กลัวว่าลูกจะโตมาขี้เหร่เสียแล้ว!
ซย่านีรีบรับตั๋วนมผงมาเพื่อไปซื้อนมผง หลังจากคุยกับหลิวอิ่งและหยางเหมี่ยนเหวินอยู่พักหนึ่งเธอก็ยืนขึ้นแล้วกล่าวอำลา
หยางเหมี่ยนเหวินมาส่งเธอที่หน้าประตูโรงพยาบาลแล้วยังกำชับเธออย่างกระตือรือร้น “อีกสักสองวันก็ให้หานเจียงพาหนูกับลูกๆ มากินข้าวที่บ้านฉันกันนะจ้ะ ฉันยังไม่ได้เจอลูกอีกสองคนของหนูเลย!”
[1] คณะศิลป์ 文工团เป็กลุ่มที่ดำเนินกิจกรรมการแสดงและการประชาสัมพันธ์ โดยออกกิจกรรมในรูปแบบต่างๆ เช่นการร้องเพลง การเล่นดนตรี หรือการร่ายรำ
[2] ตุ๊กตาปีใหม่ 年画娃娃 คือภาพเด็กถือปลาคาร์ปอยู่ในรูปปีใหม่ เรียกว่าตุ๊กตารูปปีใหม่ซึ่งเป็ตุ๊กตาอ้วนสีขาวมีความหมายว่า "ประชากรมีความเจริญรุ่งเรือง"
