“พี่ไฮว่ไปกินข้าวกันก่อนเถอะกลับมาแล้วเราค่อยคิดวิธีกันครูหลินน่ะคุยด้วยง่ายวันนี้ยุ่งมาทั้งวันแล้วให้เธอพักผ่อนเถอะ” มู่หรงเวยเวยเห็นทั้งสองคนถกเถียงกันอย่างดื้อรั้นเลยลุกขึ้นมาพูดเบาๆ“คุณครูหลินไม่งั้นไปกินข้าวกับพวกเรามั้ยคะกินข้าวเสร็จเดี๋ยวพวกเราช่วยครูจัดเก็บยังไงซะวันนี้ก็วันหยุดพวกเราไม่มีธุระอะไรอยู่แล้ว”
“เอาเถอะ ยังดีที่เวยเวยรู้ความ ฉันจะบอกเธอให้นะถ้าเธอกล้าแม้แต่จะรังแกเวยเวยฉันไม่ให้อภัยเธอแน่” หลินซวงเดินลงไปพร้อมทั้งลากเวยเวยไปยังร้านอาหารด้วย
“ไม่ให้อภัยฉัน? พอถึงเวลาฉันจะคอยดูว่าใครมันจะจัดการฉันได้” กัวไฮว่มองทั้งสองที่เดินไปยิ้มไปแล้วแอบพูดเงียบๆ ในใจ
“พี่ไฮว่ทางนี้” เมื่อเข้าไปในร้านอาหารกัวไฮว่ก็เห็นถังซีโบกมือมาทางตนเป็เพราะการประมูลสิ้นสุดลงนักเรียนก็ต่างหิวกันแล้วไม่นานในร้านอาหารก็มีคนแน่นขนัดทว่าเมื่อกัวไฮว่เดินเข้าไปในร้านอาหารไม่นานก็ดึงดูดความสนใจของคนทั้งหมดไปได้สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วร้อยห้าสิบห้าล้านถือเป็จำนวนเงินในความฝันและไม่คาดคิดว่ากัวไฮว่จะบริจาคของแบบนี้มาประมูลได้
“นี่คุณครูหลินครูประจำชั้นของพวกเราไม่ต้องแนะนำหรอกมั้งพวกเธอน่าจะรู้จักกันหมดแล้วเสี่ยวเยี่ยจื่อวันนี้ไม่ไปกินร้านปู่หกนะ ที่โรงอาหารยังมีอีกที่ที่มีของอร่อยไหม” กัวไฮว่มองซูเยี่ยแล้วถามขึ้นยิ้มๆ
“ถามฉันทำไมล่ะ” ซูเยี่ยชะงักไปแล้วถามขึ้นยิ้มๆ
“เพราะว่า่นี้ฉันอ่านหนังสือเล่มนึงในหนังสือเขียนไว้ว่าพวกสายกินมักจะไม่หลงทางเพราะพวกเขามักจะจำสถานที่ที่มีของอร่อยได้เธอหลงทางไหมฉันไม่แน่ใจ แต่เธอเป็สายกินแน่นอนเพราะว่าความใหญ่ของเธอ” กัวไฮว่พูดด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าดวงตาจับจ้องไปยังส่วนเกินของซูเยี่ย
“ตาบ้า ไอ้ตาบ้า นายกล้าพูดแบบนี้กับฉันต่อหน้าเสี่ยวซีเหรอ เสี่ยวซีพี่โยวโยวสั่งสอนมันเลยคุณครูหลินสั่งสอนตาบ้านี่เลยค่ะ” ซูเยี่ยถลึงตามองกัวไฮว่พร้อมกับพูดขึ้น
“เยี่ยจื่อ ร้านอาหารร้านไหนมีของอร่อยเธอรู้ดีที่สุดนี่เธอพาพวกเราไปเถอะนะ” ถังซีพูดยิ้มๆ
“เสี่ยวซีเธอเปลี่ยนไป เพิ่งจะไม่กี่วันเองเธอก็เปลี่ยนไปแล้วเธอไม่ใช่เสี่ยวซีผู้แสนบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว” ซูเยี่ยจ้องมองถังซีแล้วพูดขึ้น“พี่โยวโยวพี่ไม่สั่งสอนเขาหน่อยเหรอ”
“สั่งสอนยังไงล่ะ เหมือนว่าเธอจะตัวใหญ่ขึ้นหน่อยนะ” โหยวโยวโยวพูดยิ้มๆหลินซวงมองพวกเธอใบหน้าพลันเต็มไปด้วยความสับสน ที่นี่ใช่ฟู่จงหรือเปล่านี่ใช่นักเรียนหญิงที่สุดยอดที่สุดของฟู่จงหรือเปล่าบ้าจริงถูกตาบ้านี่ชักจูงไปในทางที่ไม่ดีกันหมด
“อ๊าก บ้าไปแล้ว บ้ากันไปหมดแล้ว” ซูเยี่ยอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงดัง“งั้นก็ไปร้านอาหารคนบ้าด้วยกันเถอะ อาหารที่นั่นไม่เลวเลยปกติแล้วคนก็ไม่เยอะมาก”
“เตรียมตัวไปกัน” กัวไฮว่ะโเสียงดังลั่นสาวสวยทั้งห้าถึงกับหน้าแดงก่ำจากนั้นก็เดินมุ่งไปยังร้านอาหารที่อยู่แสนไกลภายใต้สายตาของนักเรียนนับร้อย
“ร้านอาหารคนบ้า ครูหลิน เวยเวยคิดว่าอักษรพวกนี้เขียนเป็ไงบ้าง” กัวไฮว่พูดยิ้มๆ
“เขียนเป็ยังไงอะไร เขียนได้ไม่เท่าเสี่ยวซีน่ะสิ รีบเข้าไปเร็วเถ้าแก่ที่นี่นิสัยประหลาด เดี๋ยวพวกเธอเข้าไปอย่าพูดจามั่วซั่วล่ะจะได้ไม่ถูกไล่ออกมา” ซูเยี่ยพูดเบาๆ
“พี่ไฮว่อักษรนี่ถึงจะเขียนลวกๆ แต่ก็ดูเหมือนว่ามีของอยู่นะฉันดูไม่ออกน่ะ” มู่หรงเวยเวยพูดด้วยเสียงเบา
“ ‘ความจริงไร้รูปความจริงง่ายดาย’ คนคนนี้มีความเข้าใจในตัวอักษรถึงขั้นถ่องแท้แต่ยังมีบางจุดที่ไม่สมดุล” กัวไฮว่พูดเบาๆ อยู่ข้างหูมู่หรงเวยเวย
“พี่ไฮว่พี่ดูออกจริงๆ เหรอ งั้นพี่ว่ามันไม่สมดุลตรงไหนเหรอ” มู่หรงเวยเวยอึ้งไปครู่หนึ่งเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ใช่เ้าสี่สี่ตัวอันตรายที่ไม่ว่าใครได้พบก็ต้องเจอแต่ความวุ่นวายจริงๆ เหรอ
“กินข้าวกันก่อน กินข้าวเสร็จฉันจะบอกเธอ หึๆ” กัวไฮว่พูดจบกำลังจะเดินก้าวไปข้างหน้าแต่ก็ถูกผู้าุโหัวหงอกผู้หนึ่งขวางเอาไว้
“จู้จื่อมาห้าคนเอาอาหารเซ็ตบ้าคลั่งมาเสิร์ฟพวกเขานะทั้งซุปห้าธาตุ พระะโกำแพง[1]แล้วก็อาหารเรียกน้ำย่อยสุดแสนจะเย็นเจี๊ยบด้วย”
“นี่พ่อหนุ่มของกินด้านในจัดเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว มื้อนี้ฉันเลี้ยงเองตอนนี้มีเวลาคุยกับฉันแล้วใช่ไหม” ชายชราหรี่ดวงตามองกัวไฮว่แล้วถามขึ้น
“ให้เธอตามไปด้วย แล้วก็เมียหลวงผมด้วย” กัวไฮว่ชี้นิ้วไปที่มู่หรงเวยเวยพร้อมกับพูดขึ้นชายชรายิ้มพลางผงกศีรษะแล้วเชิญกัวไฮว่กับมู่หรงเวยเวยเดินเข้าไป
“เสี่ยวซีมานี่หน่อยสิ” กัวไฮว่พูดกับทั้งสี่คนที่เข้าไปแล้ว“ครูหลินถ้าอาหารมาเสิร์ฟแล้วพวกเธอกินกันได้ก่อนเลย พวกเรายังมีธุระนิดหน่อย”
“เสี่ยวซีอย่าไปนะ ตาแก่นั่นดูประหลาดๆแถมไปกับตาบ้านั่นก็ไม่น่าจะมีเื่ดีๆ นะ” ซูเยี่ยพูดเบาๆ
“ยายหนูซูเยี่ยถ้ากล้านินทาลับหลังฉันอีกล่ะก็เธอก็อย่าได้กินข้าวที่ร้านนี้อีกเลย” ชายชราหูไวอย่างมากเขาพูดกับซูเยี่ยด้วยเสียงดัง
“ตาแก่บ้า พวกเรามาด้วยกันถ้าไม่ให้ฉันกินข้าวฉันจะพาทุกคนไป” ซูเยี่ยพูดขึ้นเสียงดังอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ “ฉันจะตามไปดูด้วยว่ามีเื่อะไรกันแน่โยวโยวเธอก็ไปด้วยเร็ว”
“เหอะๆ ไม่แปลกใจเลยที่ซูปู้ชือกลัวเธอขนาดนั้นช่างเป็เด็กที่ห้ามมีเื่ด้วยจริงๆ” พูดจบชายชราก็พาไปยังห้องที่แสนจะสะดวกสบายโดยไม่ได้สนใจเด็กสาวสามคนที่เดินตามมาภายในห้องตกแต่งเรียบง่าย มีโต๊ะยาวประมาณแปดเมตรอยู่ตัวหนึ่งบนโต๊ะมีแท่นหมึกอยู่แท่นหนึ่ง บนแท่นหมึกมีพู่กันสามด้ามห้อยเอาไว้ภายในห้องยังมีโต๊ะแปดเซียน[2]อยู่ตัวหนึ่งและมีเก้าอี้ม้านั่งอยู่หกตัว”
“นั่งสิ” ผู้าุโมองไปยังกัวไฮว่แล้วพูดยิ้มๆ “อาจารย์ของพ่อหนุ่มเป็ใครมาจากไหน”
“ในเมื่อนายท่านมีพู่กันมีหมึกงั้นให้ผมยืมกระดาษเขียนพู่กันหน่อยได้ไหมแล้วนายท่านลองทายดูว่าอาจารย์ของผมเป็ใครมาจากไหน” กัวไฮว่ไม่ได้ตอบคำถามของชายชราพูดขึ้นยิ้มๆว่า “เวยเวยเอาพู่กันหมึกมาหน่อย”
ชายชราไม่ได้ชักช้าไม่นานในมือก็มีกระดาษเซวียนจื่อ[3]แผ่นหนึ่งจึงแผ่เอาไว้บนโต๊ะ
“นายท่านนี่มัน กระดาษเซวียนจื่อนี่ หลายคนอยากได้ก็ซื้อไม่ได้ถึงบางคนจะมีแต่ก็ไม่ขายนี่ ร้านอาหารคนบ้านี่ไม่เลวเลย ผมเขียนพู่กันสักหน่อยก็แล้วกัน” กัวไฮว่พูดพลางถอนหายใจเฮือกใหญ่หยิบพู่กันด้ามที่หยาบที่สุดในทั้งสามด้ามแล้วเขียนอักษรสี่ตัวไปบนกระดาษ
“ไปกันไปกินข้าว!” กัวไฮว่วางพู่กันลงแล้วพูดกับถังซีและอีกสี่คนอย่างยิ้มแย้ม
“ดูไม่ออกเลยว่าเขียนดีตรงไหน ตาแก่บ้านี่เป็อะไรจ้องไม่หยุด” ซูเยี่ยพูดอย่างดูถูกแล้วเดินออกมาจากห้องตอนนั้นเองอาหารที่ชายชราสั่งมาให้พวกเขาก็เสิร์ฟเต็มโต๊ะแล้ว
“เป็ไปไม่ได้ นี่เป็ไปไม่ได้เขาเพิ่งจะอายุไม่เท่าไหร่ต่อให้ฝึกพู่กันั้แ่เกิดก็ไม่มีทางเขียนแบบนี้ได้” ผู้าุโจ้องไปยังอักษรสี่ตัวที่อยู่บนโต๊ะโดยตกเข้าไปในภวังค์อันประหลาดที่ไม่อาจจะออกมาได้
“พี่ไฮว่เหอะๆ” ซูเยี่ยมองกัวไฮว่แล้วยิ้มแหย
“เ้าเมียเก็บนี่ ทำไมโลภมากแบบนี้ เอาแก้วออกมา” กัวไฮว่ใช้วิชาอ่านจิตก็รู้ได้ว่ายายเด็กนี่คิดอะไรอยู่
“แก้วสี่ใบเสี่ยวเยี่ยจื่อเธอจะแบ่งยังไงเหรอ” กัวไฮว่มองเซ็ตแก้วที่ซูเยี่ยเอาออกมาแล้วถามขึ้นขำๆ
“ก็แบ่งไม่ยากเสี่ยวซีหนึ่ง พี่โยวโยวหนึ่ง เวยเวยหนึ่ง ครูหลินหนึ่ง” ซูเยี่ยพูดยิ้มๆ “เดี๋ยวฉันไปขอแก้วอีกสองใบจากข้างหลังร้านพวกเราก็หนึ่งคนหนึ่งแก้วก็ได้แล้ว” ซูเยี่ยพูดพลางวิ่งไปยังห้องครัว
“เราใช้ถ้วยดื่มกันเถอะ!”
[1] ชื่ออาหารอย่างหนึ่งของจีนแถบกวางตุ้ง
[2] โต๊ะไม้แบบโบราณของจีนหน้าโต๊ะเป็สี่เหลี่ยมจตุรัสมีเก้าอี้ม้านั่งไร้พนักพิงวางอยู่รอบๆ
[3] เป็กระดาษที่ได้รับการยอมรับจากชาวจีนว่าเป็กระดาษที่เหมาะสมที่สุดในการเขียนพู่กันจีน