นาง ''จ้าวอิ้งเสวี่ย'' เป็ถึงท่านหญิงราชนิกุลผู้สง่างามจะให้ไปสมรสกับเ้าง่อยเหนียนเฉิงนั่นได้อย่างไร?
ทว่านางในตอนนี้...
จ้าวอิ้งเสวี่ยยกมือขึ้นััใบหน้าของตนยังคงมีผ้าขาวพันรอบใบหน้า เพียงััเดียว ความเ็ปทรมานก็เจาะทะลุเข้าขั้วหัวใจครึ่งเดือนมานี้ แม้ว่านางจะยังไม่เห็นว่ารอยแผลใต้ผ้านี้เป็อย่างไร ทว่าจากแววตาที่หวาดกลัวตื่นตระหนกของสาวใช้ที่มองมาในทุกครั้ง ก็ทำให้นางรับรู้ได้ว่าใบหน้าตนพังเสียโฉมเสียแล้ว
สูญเสียความบริสุทธิ์ ใบหน้าพังเสียโฉมแม้นว่านางจะเป็ถึงท่านหญิงราชนิกุล ทว่าเกรงว่าหลังจากนี้ในทุกๆวันคงไม่แคล้วกลายเป็เป้าให้ผู้คนนินทาลับหลัง
จ้าวอิ้งเสวี่ยครุ่นคิด มุมปากยกยิ้มอย่างไร้เรี่ยวแรงแววตาว่างเปล่าและสิ้นหวัง
ทันใดนั้นท่ามกลางความมืดมิดสตรีบนเตียงพยายามลงจากเตียงอย่างยากลำบาก แล้วดึงผ้าปูที่นอนออกมาแขวนไว้บนคาน
จ้าวอิ้งเสวี่ยหลับตา เหยียบเก้าอี้ วางศีรษะบนผ้าผูกปม่เวลาสั้นๆ ที่เตะเก้าอี้ใต้ขาออกคอก็ถูกรัดแน่นขึ้นจนรู้สึกเ็ปและเริ่มหายใจไม่ออกทว่าความตายช่างมาช้ากว่าที่นางคิดไว้มาก
ทุกสิ่งทุกอย่างในคืนนั้นแวบเข้ามาในหัว ภาพสุดท้ายที่ติดอยู่ในหัวคือภาพของชายหนุ่มผู้นั้น
ฉู่ชิงหรือ?
น่าเสียดายที่นางไม่ได้ขอบคุณเขาด้วยตัวเองทว่านางในรูปลักษณ์เช่นนี้จะเอาหน้าที่ไหนไปเจอเขาได้?
บางทีความตายอาจเป็ที่พึ่งสุดท้ายที่ดีที่สุดของนาง
ทว่าขณะที่นางกำลังรอให้ความตายย่างกรายเข้ามาฉับพลันนั้นมีเสียงใบมีดคมตัดทะลุผ้าดังขึ้นกลางอากาศข้างหูนางชั่ววินาทีถัดมานางตกลงไปบนพื้นอย่างแรง ทรวงอกถูกเติมเต็มด้วยอากาศอีกครั้ง...
“ผู้ใดกัน? เหตุใดต้องช่วยข้าด้วย?” จ้าวอิ้งเสวี่ยร้องะโเสียงแหบออกมา สายตาเสาะหาทั่วทุกมุมห้องทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ใด
“ตายไปจะช่วยแก้ปัญหาได้หรือ?” เสียงหนึ่งที่จงใจกดให้ต่ำดังขึ้นมาจากทางหน้าต่าง
จ้าวอิ้งเสวี่ยหันมองไปทางหน้าต่างยามนี้ไม่ว่าผู้ที่อยู่ข้างนอกหน้าต่างจะอันตรายมากเพียงใด นางก็ไม่สนใจอีกต่อไปมุมปากยกยิ้มประชดประชัน “ตายไปก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเื่พวกนี้มิใช่หรือ?”
ตายไปนางก็จะได้หลุดพ้นเสียที ไม่ต้องทนรับความเ็ปไม่ต้องทนเห็นสายตาแปลกๆ ของผู้คน...
“ถ้าเ้าตายไป แล้วคนที่ทำร้ายเ้าเช่นนี้กลับยังมีชีวิตอยู่ฝ่าาทรงคำนึงถึงอำนาจของตระกูลหนานกงเ้าคิดว่าฝ่าาจะปล่อยให้เหนียนเฉิงมาร่วมลงหลุมกับเ้าหรือ? ฝ่าาทรงทำไม่ได้ ตระกูลหนานกงเองก็จะหาทางจัดการเื่ใหญ่ให้กลายเป็เล็กและเื่เล็กก็กลายเป็ไม่มีเื่ ท้ายที่สุดเ้าก็จะเป็คนคนเดียวที่สูญเสียทุกอย่างไป”
จ้าวอิ้งเสวี่ยใ “เ้า...”
คนผู้นี้รู้เื่นี้ได้อย่างไร? ทว่ายามนี้นางไม่สนใจจะซักไซ้ไล่ถาม คำพูดคำนี้กระตุ้นความโกรธเกลียดในใจของจ้าวอิ้งเสวี่ยขึ้นมาได้อย่างไม่ต้องสงสัย
คนผู้นี้พูดถูกนางเห็นใบหน้าเศร้าโศกทุกข์ใจของท่านพ่อท่านแม่ในยามนี้ก็รู้แล้วว่าการจัดการกับเหนียนเฉิงนั้นยากเย็นเป็อย่างยิ่งยิ่งวันนี้ยังมีสมรสพระราชทานเข้ามาเพิ่มอีก ก็ยิ่งระแคะระคาย ทว่า...
“ข้าถึงกับต้องสมรสกับเขาเชียวหรือ? เหนียนเฉิงเขาทำร้ายข้าได้โหดร้ายเยี่ยงนี้ถ้าข้าต้องเจอชายน่ารังเกียจผู้นั้นทุกวัน ข้าคงทนไม่ไหวจนอยากจะฆ่าเขาด้วยมือของตนเป็แน่”จ้าวอิ้งเสวี่ยกัดฟันแน่น ถ้านางทำได้นางอยากจะฆ่าชายผู้นั้นเสียตอนนี้เลย!”
“ทว่าข้าก็เป็เพียงสตรีผู้หนึ่งที่ไร้อำนาจในมือ...”
“เป็สตรีแล้วอย่างไร? สตรีควรถูกรังแกเยี่ยงนี้หรือ? ถ้าข้าเป็เ้า ข้าจะไม่ยอมตาย ข้าจะใช้ชีวิตให้ดีมีชีวิตก็ยังคงมีความหวัง ยังมีโอกาสทำให้คนที่ทำร้ายเ้าพวกนั้นให้อยู่ไม่สู้ตาย [1]"
“อยู่ไม่สู้ตายงั้นหรือ?”
จ้าวอิ้งเสวี่ยมองไปทางหน้าต่าง ราวกับมีบางสิ่งเปล่งประกายขึ้นมาในแววตา“ใช่ ข้าจะตายได้อย่างไร? ข้าต้องใช้ชีวิตให้ดีข้าต้องใช้ชีวิตให้ดีได้แน่ๆ...”
ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เท่ากับยังคงมีความหวัง!
จ้าวอิ้งเสวี่ยมองออกไปนอกหน้าต่าง “สรุปแล้วเ้าเป็ผู้ใดกัน?”
ผู้ใดกัน?
มุมปากของผู้ที่อยู่นอกหน้าต่างค่อยๆ ผุดรอยยิ้ม ส่งเสียงหัวเราะบางเบาทว่ากลับไม่ตอบคำถามของจ้าวอิ้งเสวี่ยเมื่อรู้ว่าประกายความหวังในการมีชีวิตของจ้าวอิ้งเสวี่ยได้ถูกจุดติดขึ้นมาแล้วคนผู้นั้นก็ะโออกจากกำแพงสูงจากไป...
ห้องหนังสือจวนจิ้นอ๋อง
ไม่รู้ว่านี่เป็คืนที่เท่าไหร่แล้วที่เขานอนไม่หลับจิ้นอ๋องเดินเข้ามาในห้อง ใบหน้าโศกเศร้ามิอาจปิดซ่อนเอาไว้ได้
“ตกลงว่าเ้าคิดหาวิธีออกหรือยัง? ” จิ้นหวางเฟยเร่งเร้าอยู่ด้านข้าง่ไม่กี่วันมานี้จิ้นหวางเฟยที่ปกติแล้วมักจะสง่าผ่าเผยมีเสน่ห์อยู่ตลอดกลับดูซีดเซียวอยู่ไม่น้อยดูเหมือนแก่ขึ้นไปอีกสิบปี
จิ้นอ๋องหยุดชะงักฝีเท้าของตนเองพลางถอนหายใจ“จะคิดหาวิธีออกได้รวดเร็วขนาดนั้นได้เยี่ยงไร? นี่เป็สมรสพระราชทานจากฝ่าาถึงกระนั้นจะให้ต่อต้านพระราชโองการเชียวหรือ?”
“ถ้าไม่ขัดพระราชโองการ จะให้อิ้งเสวี่ยของเราไปแต่งกับสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นหรือ?” จิ้นหวังเฟยกัดฟันแน่นด้วยความคับแค้น เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้ก็เผยสีหน้ากังวลปนสงสารพร้อมกล่าวว่า “นิสัยของอิ้งเสวี่ย เกรงว่าหากนางได้ยินข่าวเื่สมรสพระราชทานเข้าคงผ่านพ้น่นี้ไปไม่ได้เป็แน่”
“ทว่า... เฮ้อ ฝ่าาทรงคำนึงถึงตระกูลหนานกงจึง้าสงบเื่นี้” ในใจจิ้นอ๋องฟุ้งซ่าน เริ่มคิดไปต่างๆ นานา“ข้าดูแล้วเื่นี้ก็คงต้องเป็เช่นนั้น อิ้งเสวี่ยสูญเสียความบริสุทธิ์ใบหน้าก็... เฮ้อ เกรงว่าหลังจากนี้คงไม่มีผู้ใดกล้ามาสู่ขอไม่ว่าอย่างไรก็ตามจะปล่อยให้อิ้งเสวี่ยอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิตไม่ได้...”
คำพูดนี้ทิ่มแทงก้นบึงจิตใจของจิ้นหวังเฟยอย่างที่สุดชั่วพริบตาเดียวน้ำตานางไหลรินออกมา“อิ้งเสวี่ยของแม่...เหตุใดโชคชะตาเ้าจึงขมขื่นเยี่ยงนี้ทว่าจะทำอย่างไรให้อิ้งเสวี่ยยอมรับสมรสพระราชทานนี้ดีเ้าคะ?”
“ข้ายอมแต่ง”
เสียงแหบของสตรีพร้อมกับเสียงผลักประตูดังขึ้นในห้อง
จิ้นอ๋องและจิ้นหวังเฟยมองไปทางประตูพวกเขาใทันทีที่เห็นจ้าวอิ้งเสวี่ย
“อิ้งเสวี่ย เ้า...” จิ้นหวังเฟยลุกขึ้นอย่างลุกลี้ลุกลนเดินไปข้างๆ จ้าวอิ้งเสวี่ย กระสับกระส่ายทำอะไรไม่ถูกนางได้ยินเื่ทั้งหมดเลยงั้นหรือ? จะทำเยี่ยงไรดี?
“ข้าจะแต่งเ้าค่ะ” จ้าวอิ้งเสวี่ยเอ่ยปากขึ้นอีกครั้งดวงตาหม่นหมอง ทว่าน้ำเสียงกลับหนักแน่นเป็พิเศษ
ครานี้ คำพูดของนางดึงความสนใจของจิ้นอ๋องและจิ้นหวังเฟยเข้าอย่างจัง
“อิ้งเสวี่ยเ้าพูดอะไรออกมา?” จิ้นหวังเฟยค่อยๆกลับมารู้สึกตัวได้อีกครั้ง
“ข้าแต่ง ข้ายินยอมจะแต่งให้เหนียนเฉิงเ้าค่ะ”
ท่ามกลางแสงสียามราตรีเงาร่างผอมบางร่างหนึ่งแอบย่องออกมาจากจวนจิ้นอ๋องอย่างเงียบเชียบแอบซ่อนอยู่ในตรอกของตำหนักชุ่นเทียน
เหนียนยวี่คาดเดาว่าวันนี้พระราชโองการพระราชทานงานสมรสจะถูกส่งมาถึงจวนจิ้นอ๋องจวนจิ้นอ๋องคงไม่สุขสงบ และก็เป็อย่างที่คิด...
นึกถึงเื่ที่จ้าวอิ้งเสวี่ยพยายามฆ่าตัวตายเมื่อครู่นี้แล้วั์ตาเหนียนยวี่ดำมืดขึ้นเล็กน้อย
จ้าวอิ้งเสวี่ยผู้เย่อหยิ่งเื่ทั้งหมดล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของนาง
อย่างไรก็ตามเหนียนยวี่มิได้คาดคิดว่าจะมาเจอชายผู้นี้ก่อนจะถึงจวนเหนียน
เหนียนยวี่มองชายบนหลังม้า หน้ากากสีเงินเรืองรองในความมืดและใบหน้าภายใต้หน้ากากนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในสมอง เหนียนยวี่ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้
“ดึกดื่นขนาดนี้กลับยังมารอเหนียนยวี่ ใต้เท้าคงมีเื่อะไรสำคัญอย่างนั้นหรือเ้าคะ?” เหนียนยวี่สบตาฉู่ชิง เอ่ยถามอย่างไม่รีบร้อน
“รู้หรือว่าข้ารอเ้าอยู่? ที่แท้เ้าก็ยังมีความฉลาดอยู่บ้าง”ฉู่ชิงดึงบังเหียนและขี่ม้าเข้าไปใกล้เหนียนยวี่ทีละก้าวๆ ร่างสูงยืดหลังตั้งตรงสง่าผ่าเผย วางตัวสูงส่งแสดงให้เห็นถึงฐานันดรสูงศักดิ์อย่างเต็มที่
เด็กหนุ่มผอมบางที่เขาเห็นในหอสูงจวนจิ้นอ๋องคืนนั้น เขาสังเกตเห็นว่าสายตาของนางมีบางอย่างไม่ปกติไม่มีเหตุผลเสียเลยที่อายุในวัยเพียงเท่านี้จะมีสายตาที่สงบมั่นคงถึงเพียงนั้น
“รู้วิธียืมป้ายอภัยโทษขององค์หญิงใหญ่ชิงเหอ คืนตัวตนสตรีหลบหนีจากการเป็แพะรับบาป ทำให้ข้าสงสัยว่าแท้จริงแล้วเ้าอายุแค่สิบห้าจริงๆ งั้นหรือ!”
แล้วคืนนั้นท่ามกลางกองเพลิงรุนแรงที่นางเผยฝีมือออกมายิ่งทำให้น่าสงสัยเข้าไปใหญ่
“เหนียนยวี่จะอายุสิบห้าจริงหรือไม่ ท่านแม่ทัพสืบดูคงก็ทราบแล้ว”ฉู่ชิงมองเหนียนยวี่ สายตาของชายผู้นี้เฉียบแหลมเกินไปถ้าไม่ใช่ว่าเคยผ่านประสบการณ์ชีวิตในชาติก่อนมาแล้ว นางก็คงยืนหยัดเผชิญหน้ากับฉู่ชิงไม่ไหวเหนียนยวี่เองก็จะไม่พูดอ้อมค้อม “หากวันนี้ท่านแม่ทัพมาหาเหนียนยวี่เพราะเื่คืนนั้นในเหตุการณ์เพลิงไหม้ที่ข้าทำหน้ากากของท่านตกโดยไม่ได้ตั้งใจขอให้ท่านแม่ทัพวางใจได้ เหนียนยวี่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้นเหมือนกับที่ท่านแม่ทัพเองก็ไม่เห็นข้าเช่นกัน”
เมื่อนึกถึงจี้หยกที่เขาถวายให้ฝ่าาทอดพระเตรในใจเหนียนยวี่ก็รู้สึกขอบคุณและซาบซึ้ง
วันนั้นฉู่ชิงสามารถบอกทุกคนได้ว่า เขาเจอนางที่เหตุการณ์ไฟไหม้ทว่าเขาก็ไม่ได้ทำ
ความตรงไปตรงมาของเหนียนยวี่ทำให้ฉู่ชิงประหลาดใจ เขาส่งสายตาสำรวจนางอย่างละเอียดล้ำลึก
“ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามิเคยมีผู้ใดรู้ความลับข้อนี้ของข้ามาก่อนเ้าจะบอกให้ข้าวางใจได้อย่างไร?” แววตาสนอกสนใจของฉู่ชิงจางหายเขาแผ่จิตสังหารออกมาอย่างรางเลือน
เหนียนยวี่รู้สึกถึงจิตสังหารที่แผ่ออกมา นางรู้สึกงงงันเขา้าฆ่าคนปิดปากงั้นหรือ?
นางไปทำลายความลับสุดยอดให้แตกจริงด้วย!
เื้ัการการปกปิดรูปโฉมตนเองของฉู่ชิงแท้จริงคืออะไรกันแน่?
เหนียนยวี่อยากรู้อยากเห็นทว่านางรู้ว่าบางเื่อย่าอยากรู้อยากเห็นคงจะดีกว่าอย่างน้อยท่านแม่ทัพผู้นี้คงไม่ยอมให้นางเข้าไปสอดรู้เื่นี้ได้ง่ายๆ
เหนียนยวี่สูดลมหายใจเฮือกหนึ่งลึกๆ สบตาฉู่ชิง “ท่านแม่ทัพ เหนียนยวี่เป็เพียงสตรีตัวเล็กผอมบางผู้หนึ่ง พูดเื่นี้ออกไปจะมีสักกี่คนที่เชื่อเื่นี้กัน? หากมีคนเชื่อคำพูดนี้ล่ะก็ ของที่เหนียนยวี่เผลอทำตกไปเมื่อคืนหากรุ่งเช้ามีคนมาพบเข้าและเล่าลือไปทั่วเกรงว่าจะส่งผลไม่ดีต่อท่านแม่ทัพนะเ้าคะ”
“เ้า...” ฉู่ชิงขมวดคิ้วเขาเข้าใจความหมายที่เหนียนยวี่พูดออกมาโดยทันที นางฉลาดเฉียบแหลมพอๆ กับเขา
นางกำลังบอกตนว่าความลับภายใต้หน้ากากของเขา นางจดมันไว้แล้ว และวางไว้ในบางที่หากนางมีอันตราย ความลับนั่นจะถูกเปิดเผยต่อผู้คนมากมายทันที
ดวงตาเฉียบคมของฉู่ชิงหนักแน่นขึ้นเล็กน้อย เขาจ้องเหนียนยวี่โดยไม่พูดอะไรสักคำบรรยากาศหนักอึ้งกดดันยิ่งกว่าเดิม
หลังเงียบไปนาน ในที่สุดฉู่ชิงก็เอ่ยปากพูดขึ้น น้ำเสียงสงบนิ่งไม่เผยความสุขหรือโกรธเกรี้ยวสิ่งนี้ยิ่งทำให้คนคาดเดาไม่ออก
เชิงอรรถ
[1]อยู่ไม่สู้ตาย หมายถึง ความรู้สึกที่เหมือนตายทั้งเป็