เมื่อนางรื้อฟื้นความทรงจำในอดีต ในสมองพลันปรากฏภาพอันร้อนแรงที่นางเห็นแล้วต้องหน้าแดง หัวใจเต้นรัว ที่แท้คืนวันแต่งงาน เป็ฮองเฮาที่วางยาเซวียนหยวนเช่อ และเป็ครั้งนั้นเช่นกันที่ฮองเฮาตั้งครรภ์ไท่จื่อ
ในความทรงจำของฮองเฮา นั่นเป็ครั้งแรกและครั้งเดียวที่พวกเขาสองสามีภรรยาได้แนบชิดหวานชื่น
มิน่าเล่าเซวียนหยวนเช่อจึงได้รังเกียจฮองเฮาเยี่ยงนี้ ที่แท้ยังมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้น กระทั่งตัวนางเองยังออกจะรู้สึกเห็นอกเห็นใจเซวียนหยวนเช่อขึ้นมาตะหงิดๆ
แต่พูดอีกทีแล้วคนผู้นั้นมิใช่นางเสียหน่อย! แต่นางเองไม่อาจออกปากปฏิเสธ ได้แต่น้ำท่วมปากเช่นนี้!
เห็นนางไม่ปฏิเสธด้วยสีหน้าร้อนตัว เซวียนหยวนเช่อจึงเอ่ยวาจาถากถาง “จุมพิตของเ้าก็เหมือนเ้า ไม่มีรสชาติ!”
เฟิ่งเฉี่ยนโกรธจนต้องหัวเราะออกมาและย้อนกลับไปว่า “จุมพิตของท่านก็เหมือนตัวท่านเช่นกัน ทั้งเ็า ขมปี๋ และไม่มีรสชาติ!”
ภายในห้องกลับมาสงบลงอีกครั้ง เหลือเพียงเสียงหายใจของคนทั้งคู่
เมื่อฟังจากเสียงหายใจแล้ว อาการของเซวียนหยวนเช่อหนักขึ้นเรื่อยๆ ทว่าเขายังคงกัดฟันทน โดยไม่ส่งเสียงแม้แต่แอะเดียว
ช่างเป็ลาดื้อตัวหนึ่งแท้ๆ!
เฟิ่งเฉี่ยนพยายามอย่างยิ่งที่จะมองไม่เห็นตัวตนของเขา โดยการพุ่งสมาธิไปที่ระบบ
“ฟ่านฟ่าน เ้ารู้หรือไม่ว่าอาการแพ้อาหารรักษาอย่างไร”
[ขออภัยเ้านาย! ความรู้ของข้าขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความรู้ของเ้านาย เื่ที่เ้านายยังไม่เคยััมาก่อน ข้าเองก็จะไม่แตกฉานเช่นกัน ทว่าเ้านายทดลองใช้เครื่องศึกษาวิชาแพทย์ดูเถิด บางทีอาจทำให้ความรู้ทางวิชาแพทย์ก้าวหน้าขึ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็เป็ได้!]
“ในยุคสมัยปัจจุบัน นักศึกษาแพทย์ในมหาวิทยาลัยแพทย์ต้องใช้เวลาศึกษาราวๆ เจ็ดปีจึงจะออกทำงานได้ ข้ามีเพียงความรู้เท่าหางอึ่ง ต้องใช้เวลาเรียนรู้กี่ปีจึงจะรักษาคนได้ ต่อให้เป็การกระทำที่สุกเอาเผากิน ถึงเวลาเพิ่งจะมากอดขาพระพุทธรูป ก็ไม่ใช่ทำกันเยี่ยงนี้!” เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะเสียงขื่น
[ขอเพียงมีความพยายาม บนโลกนี้ไม่มีอุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น เ้านาย สู้ๆ นะ!]
“ก็ได้ อย่างไรข้าก็ไม่มีอะไรจะทำอยู่แล้ว”
เฟิ่งเฉี่ยนลุกขึ้นเดินมาถึงข้างประตู นางเปิดประตูออกแล้วพูดกับคนที่ทำหน้าที่เฝ้าอยู่ด้านนอกว่า “ลั่วหยิ่ง เ้าไปหาตำราวิชาแพทย์มาให้ข้าหลายๆ เล่ม”
ลั่วหยิ่งตะลึงงัน “เหนียงเหนียง พระองค์แตกฉานในวิชาแพทย์หรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้า “ไม่แตกฉานหรอก เอามาอ่านเล่นๆ”
ลั่วหยิ่งเหงื่อตก แล้วเมียงมองเข้าไปด้านใน “ฝ่าาทรงเป็อย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนฉีกยิ้ม “วางใจได้ เขายังไม่ตายหรอกน่า”
พูดจบก็ปิดประตู
ลั่วหยิ่งหางตากระตุก
ไม่เสียแรงที่ลั่วหยิ่งเป็มือขวาของเซวียนหยวนเช่อ มีศักยภาพในการทำงานเป็เลิศ เขาขนตำราแพทย์ที่ไปหามาจากวังหลวงหลายเล่ม
“เหนียงเหนียง กระหม่อมได้ถามหมอหลวงเป็การเฉพาะว่าให้หาตำราแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาอาการแพ้อาหาร เกรงว่าหมอหลวงจะสงสัย กระหม่อมจึงกล่าวว่าเพื่อนำมารักษาอาการของมู่ไท่ฟู่ จึงถามไถ่ให้ละเอียดเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
นับว่าเขาฉลาดเฉลียวไม่เบา ยังเลือกตำราที่ตรงกับสถานการณ์ตอนนี้มาหลายเล่ม ทว่าเฟิ่งเฉี่ยนเองกลับไม่ได้คาดหวังอันใดมากมายนัก
“อืม ทำได้ดีมาก”
ลั่วหยิ่งลังเลอยู่อึดใจหนึ่งจึงถามขึ้นว่า “เหตุใดเหนียงเหนียงจึงไม่ขอให้หมอหลวงเขียนเทียบยาตรงๆ ไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทันทีที่ฮ่องเต้ของแผ่นดินมีจุดอ่อน มีความเป็ไปได้อย่างสูงว่าอาจกลายเป็เป้าหมายในการโจมตีของศัตรู โดยเฉพาะหมอหลวงที่อยู่ข้างกายเขา จะเป็เป้าหมายที่ลงมือง่ายดายที่สุดของศัตรู ดังนั้นการที่หมอหลวงยิ่งรู้น้อย ฮ่องเต้ของเ้าก็จะยิ่งปลอดภัย”
ทุกครั้งที่นางจะปฏิบัติภารกิจลอบสังหาร ล้วนต้องวิเคราะห์จุดอ่อนของเป้าหมาย ดังนั้นนางกระจ่างแจ้งถึงวีธีและเส้นทางการทำงานของการลอบสังหารที่สุด
ลั่วหยิ่งได้ยินเช่นนั้นจึงลอบที่จะมองนางใหม่อีกครั้งไม่ได้ “เหนียงเหนียงกล่าวถูกต้อง กระหม่อมได้รับการชี้แนะแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เขาพลันถามขึ้นมาอีกว่า “เหนียงเหนียง้าตำราแพทย์เหล่านี้ ด้วยตัดสินใจที่จะรักษาฝ่าาด้วยตัวเองใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้าทันที “ไม่! ข้าเพียงแค่เปิดอ่านดูเท่านั้น อย่างไรข้าก็ว่างอยู่แล้วนี่นา”
ดวงตาของลั่วหยิ่งตกลงทันที เขาแทบจะร้องไห้อยู่แล้ว
กลับมาถึงในห้อง เฟิ่งเฉี่ยนเริ่มเปิดตำราแพทย์ เริ่มจากหน้าแรกเป็การแนะนำเกี่ยวกับฤทธิ์ของยา นางเพียงกวาดตามองผ่าน เตรียมอ่านอย่างตั้งใจ เบื้องหน้าสายตาของนางพลันปรากฏให้เห็นตัวอักษรเป็แถวๆ ตรงกลางหว่างคิ้วของนางเรืองแสงขึ้น ในสมองพลันปรากฏความทรงจำ่หนึ่ง ซึ่งก็คือตัวอักษรและรายละเอียดที่นางเพิ่งจะอ่านผ่านสายตาไปเมื่อสักครู่นี้
ที่ทำให้นางมหัศจรรย์ใจก็คือ คล้ายว่าตัวอักษรเหล่านี้ได้สลักลึกลงในสมองของนางอย่างไรอย่างนั้น กลายเป็ความรู้ส่วนหนึ่งในตัวนาง ไม่เพียงแต่ตัวอักษรเท่านั้น ทว่าเป็ความเข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่ง!
นี่...นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
หรือนี่ก็คือศักยภาพของเครื่องมือศึกษาวิชาแพทย์
ขอเพียงนางกวาดสายตาผ่านเนื้อหาในตำราก็จะสามารถจดจำรายละเอียดทั้งหมดได้ในทันที อีกทั้งเป็การเข้าใจลึกซึ้งถึงแก่นแท้!
คนปกติทั่วไปศึกษาตำราแพทย์เล่มหนึ่ง อย่างน้อยๆ ต้องใช้เวลาหลายเดือนกระมัง ลำพังเพียงการจะท่องจำก็มิใช่เื่ง่าย ไม่ต้องกล่าวถึงการทำความเข้าใจกระทั่งแตกฉานถึงแก่นแท้ ทว่านางเพียงแค่พลิกตำราก็กระจ่างแจ้งและรักษาคนได้แล้ว!
ทักษะนี้สุดยอดไปเลย!
หากนางมีเครื่องมือชนิดนี้ในตอนที่นางต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วละก็ อย่าได้กล่าวถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่งหรือมหาวิทยาลัยชิงหวาเลย ต่อให้เป็มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดก็ไม่พ้นมือนางแน่นอน!
ดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งเฉี่ยนทอประกายเจิดจ้า นางพลิกตำราแพทย์ในมืออ่านต่อไป การพลิกเปิดตำราแต่ละหน้าล้วนเพิ่มความรู้ในตัวนางให้มากขึ้นทีละน้อย ความรู้สึกที่ถูกเติมเต็มด้วยความรู้ความสามารถในตัว ช่างเป็ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!
นางยิ่งอ่านยิ่งพลิกตำราเร็วขึ้น ความรู้ที่เพิ่มพูนเข้ามายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ใช้เวลาเพียงไม่นานนักนางก็อ่านตำราแพทย์เล่มหนึ่งจบ
นางหยิบตำราแพทย์อีกสองเล่มมาอ่านต่ออย่างรวดเร็ว...
เมื่อหลับตาลงเพื่อทบทวนความรู้ใหม่ที่เพิ่งได้มา นางพลันกระจ่างแจ้งและได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิชาแพทย์แผนโบราณอีกครั้ง แม้วิชาแพทย์แผนปัจจุบันของทางตะวันตกจะก้าวหน้าไปไกล รักษาโรคได้ผลและใช้เวลาไม่นาน ทว่าการรักษามักจะเป็ไปในลักษณะเฉพาะทาง เช่น หากปวดศีรษะก็รักษาศีรษะ เจ็บขารักษาขา ทว่าไม่อาจรักษาไปถึงต้นตอรากของโรคได้อย่างแท้จริง แต่การแพทย์แผนโบราณนั้นกลับให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลของร่างกายทั้งหมดของคนมากกว่า ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการรักษาโรคโดยการวินิจฉัยอาการ และให้การรักษาที่ถูกกับโรค
หลังจากมีความรู้ทางการแพทย์เหล่านี้แล้ว นางรู้สึกสนใจการแพทย์แผนโบราณมากขึ้นอีกโข
“ลั่วหยิ่ง ไปหาตำราแพทย์เหล่านี้มาอีก ยิ่งมากยิ่งดี”
ลั่วหยิ่งงงงัน “เมื่อสักครู่มิใช่นำมาสามเล่มหรือพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยน “อ่านหมดแล้ว”
ลั่วหยิ่งตื่นตระหนก “อ่านหมดแล้ว?”
เร็วถึงเพียงนี้ ใครจะเชื่อเล่า
เฟิ่งเฉี่ยนตวัดสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ “เวลาฮ่องเต้ของเ้าสั่งให้เ้าไปทำงาน เ้าก็ถามนั่นถามนี่เช่นนี้หรือ”
ลั่วหยิ่งตื่นตระหนกอีกครั้ง “กระหม่อมสำนึกผิดแล้วพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้!”
ลั่วหยิ่งขนย้ายตำราแพทย์กลับมาหีบหนึ่งในเวลาไม่นานนัก เห็นท่าทางเหงื่อแตกท่วมตัวของเขาแล้ว คาดว่าคงจะใช้วิชาตัวเบาทั้งไปและกลับ
“เหนียงเหนียง ตำราเหล่านี้เพียงพอหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้า “ไม่พอ ไปเอามาเพิ่มอีก!”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ครั้งนี้ เขาไม่ถามอะไรอีกแล้ว หันหน้าเดินออกไปทันที
พัฒนาขึ้นละ!
กลับเข้ามาในห้อง เฟิ่งเฉี่ยนเริ่มพลิกตำราแพทย์อ่านอย่างรวดเร็วอีกครั้ง เล่มที่หนึ่ง เล่มที่สอง เล่มที่สาม...
ภายในห้องมีเพียงเสียงพลิกเปิดตำราดังสวบๆๆๆๆ
เซวียนหยวนเช่อนอนหลับสะลึมสะลือ เขารู้สึกตัวลืมตาขึ้นครึ่งหลับครึ่งตื่นเพราะเสียงเปิดตำราที่ดังขึ้นเรื่อยๆ ของนางนี่เอง เขาขมวดคิ้วพูดว่า “เ้ากำลังทำอะไรอยู่”
เฟิ่งเฉี่ยนตอบทั้งไม่เงยหน้า “อ่านตำราแพทย์!”
สวบๆๆ สวบๆๆๆ...
เซวียนหยวนเช่อเห็นมือของนางพลิกตำราแพทย์ด้วยความรวดเร็ว ทุกๆ หน้านางหยุดเพียงไม่กี่วินาทีด้วยซ้ำ คิ้วของเขาขมวดแน่นขึ้นอีกและกล่าวว่า “ที่เ้าทำเขาเรียกว่าอ่านตำราเช่นนั้นหรือ”
บอกว่าพลิกตำราจะดูน่าเชื่อถือกว่า!
“ข้ามีความสามารถ ขอเพียงอ่านผ่านตาก็ไม่ลืม!” เฟิ่งเฉี่ยนรักษาระดับความรวดเร็วในการอ่านตำรา
เซวียนหยวนเช่อถามขึ้นอย่างสงสัย “เ้ารู้วิชาแพทย์หรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนส่ายหน้า “ไม่รู้!”
เซวียนหยวนเช่อหน้าดำอึมครึม “เ้าคิดจะศึกษาแล้วใช้รักษาคนทันทีหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนยังคงพลิกเปิดตำราแพทย์ “ตอนนี้ยังรักษาไม่ได้ ข้า้าอ่านตำราแพทย์ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย”
เซวียนหยวนเช่อหลับตาลงไม่คาดหวังอะไรในตัวนางอีก เขาเกรงว่าหากเขาสนทนากับนางต่อไป อาจถูกนางทำให้โมโหตาย เขานึกอะไรบางอย่างขึ้นมาจึงลืมตาถามขึ้นอีกว่า “ยาสมุนไพรร้อยชนิดที่เ้าให้เย่เอ๋อร์นั้นเอามาจากที่ใดกัน”