กิริยาพลิกเปิดตำราของเฟิ่งเฉี่ยนชะงักเล็กน้อยก่อนจะเงยหน้าขึ้นตอบว่า “หากข้าบอกว่าข้าฝันเห็นเทพเซียนมามอบให้ข้า ท่านจะเชื่อหรือไม่”
เซวียนหยวนเช่อถลึงตาใส่นาง
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะแหะๆ “ท่านทนอีกหน่อย ข้าอ่านตำราแพทย์ไม่กี่หีบนี้หมดแล้ว ก็น่าจะพอรักษาได้”
เซวียนหยวนเช่อหน้าดำทะมึนหมดคำพูด ได้แต่คิดว่าคำพูดของนางเป็คำพูดของคนเสียสติ เขาไม่ได้เก็บคำพูดของนางมาเป็จริงเป็จัง เอาหัวแม่เท้ามาตรองดูก็รู้ว่าเป็ไปไม่ได้ คนธรรมดาจะอ่านตำราแพทย์หลายหีบหมดได้ระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้หรือ
“เ้าเบาเสียงหน่อย อย่าได้รบกวนเจิ้นนอน”
พูดแล้วเซวียนหยวนเช่อก็หลับตาลงอีกครั้ง เขาหมดเรี่ยวหมดแรงที่จะมาโต้เถียงกับนางแล้วจริงๆ
เฟิ่งเฉี่ยนเหล่ตามองเขาทว่าในขณะเดียวกันก็เปิดตำราเบาและช้าลงบ้าง
ตำราแพทย์เป็หีบๆ ถูกลำเลียงขนย้ายเข้ามาในเรือนอย่างต่อเนื่อง หีบจำนวนสิบกว่าใบถูกวางเรียงรายซ้อนกันกองเป็ูเาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มันกินพื้นที่ภายในห้องไปกว่าครึ่ง
“เหนียงเหนียง นี่เป็ตำราแพทย์หีบสุดท้ายของวังหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อืม”
“เหนียงเหนียง เวลานี้เลยยามอู่ไปแล้ว ท่านและฝ่าา้าเสวยพระกระยาหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่ต้อง อาการของเขาในตอนนี้ไม่เหมาะที่จะกินอาหาร”
“เช่นนั้น...”
“หากเ้าพูดมากอีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะเตะเ้าออกไปเดี๋ยวนี้”
“...”
ลั่วหยิ่งปิดประตูห้องเดินส่ายหน้าถอนใจออกไป เหตุใดในใจของเขายังคงรู้สึกโหวงๆ รู้สึกวางใจไม่ลง
เขาทำงานยุ่งทั้งวัน ขนย้ายตำราแพทย์จากวังหลวงมายังจวนสกุลมู่ เพื่อหลีกเลี่ยงสายตาของคนในจวนสกุลมู่และวังหลวง ยังไม่อาจขนย้ายตำราหลายหีบนั้นมาในครั้งเดียว ได้แต่ขนย้ายเข้ามาครั้งละหีบ เขาแทบจะเหนื่อยตายอยู่แล้ว ทว่าเขามีความหวังอันริบหรี่ หากฮองเฮามีวิธีรักษาฝ่าาได้จริงๆ รักษาอาการของฝ่าาได้เล่า เช่นนั้นความยากลำบากที่เขาได้รับก็ถือว่าคุ้มค่า!
ทว่าเหตุใดเขายิ่งมองฮองเฮากลับยิ่งรู้สึกว่าไม่น่าวางใจนะ ในใต้หล้านี้มีคนที่มีความสามารถอ่านตำราแพทย์สิบกว่าหีบในเวลาครึ่งวันได้จริงหรือ เป็ไปได้จริงๆ ใช่หรือไม่
เขายิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด ฮองเฮาคงไม่ได้ปั่นหัวกลั่นแกล้งเขาเล่นกระมัง
ฝ่าา เช่นนั้นท่านคงต้องภาวนาต่อพระพุทธองค์ด้วยตนเองแล้วล่ะ!
เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วยาม ประตูห้องพลันถูกเปิดออก ฮองเฮาออกมาปรากฏกายหน้าประตูเพื่อบิดี้เี
ลั่วหยิ่งดวงตาเป็ประกาย “เหนียงเหนียง เป็อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งเฉี่ยนบิดคอ บิดเอว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบว่า “ไปเตรียมน้ำร้อนมาถังหนึ่ง แล้วไปจัดยาตามเทียบยานี้มา”
ลั่วหยิ่งรับเทียบยามาด้วยความแคลงใจ เห็นเพียงอักษรบิดๆ เบี้ยวๆ บนเทียบยาที่เขียนชื่อตัวยาสมุนไพรหลายชนิด หากไม่อ่านให้ดียังคงแยกไม่ออกว่าในตัวอักษรนั้นยังมีตัวอักษรที่เขียนผิดอีกด้วย!
ลั่วหยิ่งหัวเราะแห้งๆ “เหนียงเหนียง อักษรของท่านช่างมีความพิเศษจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนเบะปากใส่เขา “ล้วนต้องโทษอักษรของพวกเ้าที่นี่ช่างยุ่งยากโดยแท้ ไม่รู้ว่าใครเป็ผู้คิดค้นขึ้นมา”
ลั่วหยิ่งได้แต่โอดครวญในใจ นั่นแสดงให้เห็นว่าในวัยเยาว์ท่านมิได้ตั้งใจศึกษาร่ำเรียน
หนึ่งชั่วยามให้หลัง น้ำร้อน ยาสมุนไพรล้วนเตรียมพร้อมเสร็จสรรพ
เฟิ่งเฉี่ยนเดินมาข้างเตียง พบว่าใบหน้าของเซวียนหยวนเช่อแดงก่ำ สีหน้าของเขาทุกข์ทรมานยิ่งยวด นางยื่นมือไปทาบกับหน้าผากของเขา มือของนางััได้ถึงความร้อน เขากำลังตัวร้อนเพราะไข้ขึ้นสูง
“เซวียนหยวนเช่อ เซวียนหยวนเช่อ ท่านตื่น!” เฟิ่งเฉี่ยนคิดจะปลุกเขาให้ตื่นขึ้น แต่ว่ากลับไม่เป็ผล นางจึงยื่นมือไปตบใบหน้าของเขา เพียะๆๆ ตบไปถึงครั้งที่สาม เซวียนหยวนเช่อลืมตาขึ้นพรึ่บมองนางด้วยดวงตาที่แทบจะมีประกายไฟแลบออกมา เหมือนัไฟที่กำลังเตรียมจะพ่นไฟอย่างไรอย่างนั้น!
“เ้ากำลังทำอันใด” เขาขบฟันพูดออกมา
เฟิ่งเฉี่ยนกระพริบตาราวกับไม่ได้รับความเป็ธรรม “ตบท่านให้ตื่นไงเล่า!”
เซวียนหยวนเช่อหน้าดำจนแทบจะหยดออกมาเป็น้ำหมึก “เ้าบังอาจ!” (หนี่ ต้าต่าน)
แต่ไรมาไม่เคยมีผู้ใดกล้าแตะต้องใบหน้าของเขา นางเป็คนแรก อีกทั้งยังตบหน้าของเขา ช่างเหิมเกริมเทียมฟ้า!
เฟิ่งเฉี่ยนจนปัญญา หากนางไม่ทำเช่นนี้จะเรียกเขาตื่นขึ้นจากสภาวะสลบไสลไม่ได้สติหรือ
“ท่านทายถูกแล้ว ชื่อเล่นของข้าก็คือ เฟิ่งต้าต่าน”
นางจับแขนของเขาเอาไว้แล้วลากเขาลงจากเตียง “ข้าได้เตรียมน้ำสมุนไพรให้ท่านแช่ตัวแล้ว ท่านรีบลงไปแช่ตัวเถิด!”
เซวียนหยวนเช่อถลึงตาใส่นางด้วยโทสะ จมูกพ่นไอร้อนออกมาทว่าจนใจที่เขาไม่มีเรี่ยวแรง ถึงขั้นถูกนางลากถูลู่ถูกังลงมาจากเตียง
“ท่านปลดอาภรณ์เองได้หรือไม่” เฟิ่งเฉี่ยนมองเขาด้วยสายตาลำบากใจ
ใบหน้าที่ดำราวกับก้นหม้อของเซวียนหยวนเช่อขบฟันกล่าวว่า “เ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”
เฟิ่งเฉี่ยนเห็นท่าทีอ่อนแอของเขาแล้ว ทั้งๆ ที่โมโหเหลือเกินแต่ทว่ากลับมีเรี่ยวแรงทำได้เพียงแค่ถลึงตาใส่นาง แค่คิดก็รู้ว่าเขาไม่มีทางปลดอาภรณ์เองได้ แต่นางเองไม่สะดวกใจที่จะช่วยเขาปลดอาภรณ์เช่นกัน เมื่อไตร่ตรองครู่หนึ่ง นางกล่าวว่า “ข้าให้ลั่วหยิ่งเข้ามาช่วยท่านดีกว่า!”
เซวียนหยวนเช่อกลับคว้าตัวนางเอาไว้ “เ้าทำ!”
ดูเหมือนเขาจงใจที่จะเอาชนะนาง แววตานั้นช่างบังคับขู่เข็ญและแหลมคมยิ่ง
เฟิ่งเฉี่ยนลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพยักหน้า “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะปลดอาภรณ์แล้วนะ”
นางหน้าแดงก่ำเมื่อยืนมือไปที่เอวของเขา ปลดผ้าคาดเอวของเขาเป็อันดับแรก จากด้านซ้ายลูบคลำไปด้านขวา แล้วจากด้านขวาลูบกลับมาด้านซ้าย ทว่ากลับหาไม่เจอว่าจะปลดผ้าคาดเอวได้อย่างไร
บรรยากาศรอบข้างเย็นลงสิบกว่าองศา
เซวียนหยวนเช่อขบฟันพูดเสียงเย็นว่า “เ้าลูบพอหรือยัง”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะแห้งๆ เงยหน้าขึ้น “หรือไม่ท่านก็ทำเอง”
เขายื่นมือไปปลดหยกประจำตัวที่อยู่ข้างเอวด้วยสีหน้าประจำตัว ผ้าคาดเอวก็คลายตัวออกโดยอัตโนมัติ
เฟิ่งเฉี่ยนมองอย่างตกตะลึง “ที่แท้เป็อย่างนี้นี่เอง! เหตุใดท่านไม่พูดแต่แรกเล่า”
เมื่อเงยหน้าขึ้นพบกับใบหน้าไม่เป็มิตรของเขา นางจึงรีบหลับตาลงและช่วยเขาปลดกระดุมอาภรณ์ต่อทันที แต่นางก็ต้องลืมตาขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
“นี่ปลดอย่างไร ปลดไม่ออก!”
“ผู้ใดเป็ผู้ออกแบบกระดุมนะ ด้านหน้าสิบตัว ด้านหลังอีกสิบตัว”
“ให้ตายเถอะ ข้ายอมแพ้แล้ว!”
“...”
เฟิ่งเฉี่ยนคิดไม่ถึงว่าอาภรณ์ของคนในยุคสมัยโบราณจะยุ่งยากถึงเพียงนี้ เสื้อคลุมัของฮ่องเต้ยิ่งยุ่งยากเข้าไปอีก ชั้นหนึ่งแล้วก็มีอีกชั้นหนึ่ง และยังมีกระดุมในกระดุมนอก นางแทบจะสิ้นสติ!
เซวียนหยวนเช่อที่เดิมมีสีหน้าดำทะมึนเมื่อเห็นนางทะเลาะกับกระดุมแล้ว
พลันรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก ในที่สุดก็มีเื่ที่ทำให้นางต้องปวดเศียรเวียนเกล้าบ้าง!
เขามองนางจากมุมสูงและเร่งเวลาเสียงเย็น “เร็วหน่อย! ตกลงเ้าทำได้หรือไม่”
“อย่าเร่ง! เสร็จประเดี๋ยวนี้แล้ว!” เฟิ่งเฉี่ยนรีบพูด
นอกประตู ลั่วหยิ่งและองครักษ์กลุ่มหนึ่งได้ยินบทสนทนาที่ดังมาจากในห้อง ถึงกับหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ในใจพลางคิดว่าฮองเฮาท่านก็เหลือเกินเพียงแค่ปลดอาภรณ์ก็ต้องทำให้เป็เื่สะท้านฟ้าะเืดินเพียงนี้!
ไม่ไกลออกไป มู่ชิงหว่านประคองน้ำแกงถ้วยหนึ่งเดินเข้ามา คนทั้งคนดูแล้วอิดโรยลงไปไม่น้อย มีเพียง์เท่านั้นที่รู้ว่าเวลาครึ่งวันกว่าที่ผ่านมานี้นางผ่านมันมาได้อย่างไร นางพยายามที่จะล้างสมองของตนเอง บอกตนเองว่าเขาคือฮ่องเต้ เขา้าสตรีมากมายเพียงใดก็สามารถมีได้ คิดจะเป็สตรีของเขาต้องยอมรับความจริงในเื่ที่เขามีสาวงามกว่าสามพันนางในสามวังหกตำหนักให้ได้
ดังนั้น นางฝืนทนความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจประคองน้ำแกงมาที่นี่ คิดจะลองเป็สตรีใจคอกว้างขวางเปี่ยมน้ำใจสักตั้ง ทว่าคิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้ามาถึงประตูห้องรับแขก ก็ได้ยินเสียงบนสนทนาที่ทำให้คนจินตนาการไปถึงไหนๆ ช่างทำให้นางะเืใจนัก!
“เร็วเข้า ตกลงว่าเ้าทำได้หรือไม่”
“อย่าเร่งสิ เสร็จเดี๋ยวนี้แล้ว!”
“ช่างเถิด เจิ้นทำเองดีกว่า!”
“ไม่ได้ ท่านนอนลงก่อน ข้าเสร็จประเดี๋ยวนี้แล้ว!”
“เ้าถึงกับกล้าผลักเจิ้นล้มลง”
“โอ๊ย อย่าเอะอะโวยวาย! ข้าดึงไม่ออกนี่นา!”
“เ้าทำให้เจิ้นเจ็บแล้วนะ!”
“ท่านอดทนอีกนิด ข้าเสร็จเดี๋ยวนี้แล้ว!”
...
มู่ชิงหว่านได้ยินแล้วหน้าตาหูแดงเถือก มือที่ประคองถ้วยน้ำแกงสั่นสะท้านส่งผลให้ถ้วยน้ำแกงตกลงกระแทกพื้นน้ำแกงเลอะเทอะไปทั่ว นางหันหลังวิ่งออกไปทั้งหน้าตาแดงก่ำ
ลั่วหยิ่งเห็นเหตุการณ์นี้ เขาอดที่จะส่ายหน้าเห็นอกเห็นใจนางไม่ได้ ต่อให้เป็เขาที่ได้ยินั้แ่ต้นจนจบก็อดที่จะถูกบทสนทนาอันล่อแหลมนี้พาให้จินตนาการเตลิดเปิดเปิงไม่ได้!
ทำเกินไปแล้ว!
เหนียงเหนียง ท่านร้ายกาจจริงๆ!