รถม้าของไทเฮามาถึงนอกประตูวังตรงเวลา อวิ๋นซีและจวินเหยียนคอยติดตามขนาบซ้ายขนาบขวาอยู่ข้างกายฮ่องเต้ จากนั้นคนทั้งสองก็คุกเข่าลงต้อนรับไทเฮาด้วยท่าทีนอบน้อมยิ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงทรงพระเจริญพันปีพันปีพันพันปี หลังจากนั้นไทเฮาผู้ชราจึงค่อยๆ เยื้องย่างลงจากรถม้า โดยมีนางกำนัลคอยช่วยประคอง
พระนางทำเพียงสาดสายตาไปยังคนทั้งหมดอย่างเรียบๆ จากนั้นก็หันไปพูดกับคนตัวน้อยที่ยังอยู่ในรถม้า “เด็กน้อย เ้ายังไม่อยากลงมาอีกหรือ? ”
“มาแล้วเพคะ มาแล้วเพคะ”
ชั่วขณะนั้นร่างเล็กๆ ก็ะโลงมาจากรถม้า และทันทีที่ไทเฮาเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับใจนพาลให้หัวจิตหัวใจผู้ชราสั่นสะท้าน “หวานหว่าน เ้าบรรพบุรุษน้อยนี่ เ้าต้องระวังหน่อย หากพลัดตกหกล้มไป เ้าจักต้องร้องไห้น้ำมูกไหลย้อยเป็แน่”
หวานหว่านหัวเราะรับอย่างร่าเริงพลางจับจูงมือของไทเฮา “เสด็จทวด รถม้านี้ไม่สามารถสร้างความลำบากให้หม่อมฉันได้หรอกเพคะ เพราะเสด็จพ่อฝึกฝนหม่อมฉันเหมือนเด็กผู้ชายมาแต่ยังเล็ก จึงขี่ม้าเป็ั้แ่ตอนยังเล็กๆ แล้วเพคะ”
ไทเฮาได้อยู่ร่วมกับเด็กน้อยมานานหลายเดือน แน่นอนว่า ย่อมรู้เื่ที่เ้าเด็กน้อยคนนี้ขี่ม้าเป็ หญิงชราหัวร่อขณะจูงมือคนตัวน้อยเดินไปหาฮ่องเต้ หวานหว่านยิ้มมองไปยังเสี้ยวเหวินตี้ “หวานหว่านถวายบังคมเสด็จปู่ ขอเสด็จปู่ทรงมีพระชนมายุยืนนาน พระพลานามัยแข็งแรง ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี”
เมื่อเสี้ยวเหวินตี้ได้ยินก็ส่งยิ้มให้พลางชี้นิ้วไปที่หลานสาวตน “เ้าเด็กน้อยนี่ ปากเ้ายังหวานเช่นเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง” พูดจบ ชายสูงศักดิ์ก็คารวะไทเฮาผู้เป็มารดาด้วยท่าทีนอบน้อมเสมอเหมือน “ลูกมารอต้อนรับเสด็จแม่เสด็จกลับวังพ่ะย่ะค่ะ”
นางกำนัลเื้ัไทเฮา รวมถึงเหล่าขันที องครักษ์ และสตรีวัยกลางคนในชุดกงจวงสีฟ้าอ่อนที่คลุมด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาวบริสุทธิ์ต่างก็พากันถวายบังคมต่อฮ่องเต้
ไทเฮาพูดขึ้นเรียบๆ “ลุกขึ้นเถอะ”
เมื่อพูดจบ สายตาของหญิงชราก็ตกลงบนร่างของครอบครัวอวี๋อ๋อง ซึ่งอวี๋อ๋องสามารถเข้าใจได้ในทันทีจึงรีบพาภรรยาและโอรสขึ้นหน้ามา เพื่อถวายบังคมในฐานะผู้อ่อนเยาว์กว่าต่อไทเฮา
ไทเฮาดึงมือของลูกชายและลูกสะใภ้ให้ลุกขึ้นด้วยพระองค์เอง นางยิ้มแล้วกล่าว “นับว่าคิดได้แล้วสินะ ถึงยอม กลับมาขึ้นปีใหม่เป็เพื่อนอายเจีย [1] แล้ว” หญิงชรามองหน้าลูกชาย ลูกสะใภ้ ก่อนจะมองหลานชายฮ่าวฟาน ชั่วขณะนั้นไทเฮาก็รู้สึกพอพระทัยยิ่งแล้ว
ไทเฮาพูดคุยต่ออีกสองสามประโยคกับครอบครัวอวี๋อ๋อง จากนั้นสายพระเนตรที่ยังแจ่มชัดก็ตกลงบนร่างของรัชทายาทและชายารัชทายาท คนทำเพียงถามไถ่ไปสองสามประโยค จากนั้นก็หันไปมองจวินเหยียนและอวิ๋นซี นางกวักมือเรียกอวิ๋นซีให้เข้าใกล้ อวิ๋นซีจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาแล้วถวายบังคมตามธรรมเนียมปฏิบัติ “อวิ๋นซีถวายบังคมไทเฮาเพคะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญพันปีพันปีพันพันปี”
คำพูดของอวิ๋นซีถือเป็คำพูดที่ปกติธรรมดาอย่างที่สุด แต่ยามที่ไทเฮาเห็นอวิ๋นซีกลับรู้สึกชอบใจอย่างประหลาด ทว่า เมื่อได้มองใบหน้านั้นอย่างชัดเจนแล้ว หญิงชราก็ใ “ใบหน้านี้ เหตุใดจึงได้คล้ายชายาอวี๋อ๋องปานนั้น”
เมื่ออวี๋อ๋องได้ยินคำถามนี้ก็ยิ้มน้อยๆ แล้วกล่าวตอบ “เห็นเช่นนี้ อาซีและเยว่เอ๋อร์ยังไม่นับว่าคล้ายกันมาก เพราะมารดาของอาซีและเยว่เอ๋อร์มีใบหน้าที่คล้ายกันยิ่งกว่านี้อีกพ่ะย่ะค่ะ”
ไทเฮาเริ่มสนใจมากขึ้นแล้ว “งั้นหรือ เช่นนั้นเ้ากับนางจักต้องเป็ฝาแฝดกันแน่” ทันทีที่พูดจบ ไทเฮาก็จับมืออวิ๋นซี และชายาอวี๋อ๋องมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง
บรรดาขุนนางใหญ่ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พากันคิดว่า การที่ไทเฮาทรงจับจูงสตรีทั้งสองนางข้างละคนย่อมเป็การแสดงให้เห็นว่า พระนางทรงโปรดปรานชายาอวี๋อ๋องและชายาหนิงอ๋องเป็อย่างยิ่ง ทำให้พวกเขาต่างก็ตั้งใจว่า ต่อไปนี้จักต้องกำชับคนที่บ้านให้ดี ห้ามมิให้มาล่วงเกินชายาอวี๋อ๋องและชายาหนิงอ๋องเป็อันขาด ทั้งยังยิ่งต้องห้ามแพร่กระจายข่าวลือที่ว่า พวกนางทั้งสองเป็แม่ลูกกันนี้ด้วย
อย่างไรเสีย เมื่อเช้านี้มารดาผู้ให้กำเนิดของชายาหนิงอ๋องก็ปรากฏตัวแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีคนไปสืบที่จวนอ๋องมาแล้วด้วย จึงได้รู้ว่าที่แท้มารดาของชายาหนิงอ๋องเร่งรุดมาถึงจวนอ๋องั้แ่วันที่อีกฝ่ายต้องคลอดบุตรก่อนกำหนด ทั้งยังรั้งอยู่ดูแลเด็กๆ และชายาหนิงอ๋องมาตลอด
หากจะบอกว่าหญิงคนหนึ่งมาคอยอยู่ดูแลคนเป็อย่างดีเพียงนี้มิได้เป็แม่ลูกกันแท้ๆ มันก็ยากที่จะเชื่อ เพราะคนทั่วไปจะยอมทำเพื่อผู้อื่นถึงเพียงนั้นเลยหรือ?
ถึงกระนั้นอวิ๋นซีก็ยังไม่รู้ว่า เื่ราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ที่ตนออกไปเดินนอกจวนกับจ้าวลี่เจียมารอบหนึ่งจะทำให้บรรดาข่าวลือร้ายๆ เ่าั้สลายหายไป
เมื่อเข้าไปในวังหลวง บรรดาขุนนางบุ๋นบู๊จะเดินไปไหนก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับไทเฮาแล้ว เพราะพระนาง้าเพียงฮองเฮา อวี้เฟย เต๋อเฟย มารดาผู้ให้กำเนิดองค์รัชทายาทอย่างหวงกุ้ยเฟย ชายาอวี๋อ๋อง และเหล่าลูกสะใภ้ของเสี้ยวเหวินตี้เท่านั้นที่ให้ติดตามกลับตำหนักสืออันไปด้วยกัน
หญิงชราแย้มยิ้มพลางกวาดตามองเหล่าผู้อ่อนเยาว์กว่า ขณะนั้นอวิ๋นซีก็ได้พบว่า พระเมตตาที่แฝงอยู่ในดวงตาของพระองค์ยังคงเหมือนเมื่อหลายปีก่อน ทว่า นางก็รู้ดีว่า ภายใต้ความเมตตานี้ยังแฝงไปด้วยใจที่หลักแหลม
ไทเฮาส่งยิ้มให้หวานหว่านที่มาหยุดนั่งลงข้างกายตน และเมื่อทุกคนในที่นี่ได้เห็นเช่นนั้นต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากหลานสาวหลานชายที่จะได้รับโอกาสให้นั่งข้างไทเฮาในตำแหน่งอันทรงเกียรติเช่นนี้ยังไม่เคยมีปรากฏมาก่อน
ขณะเดียวกันหวงกุ้ยเฟยกลับเพียงมองไปเรียบๆ ทีหนึ่งราวกับเคยเห็นการกระทำนี้อยู่บ่อยครั้งจนทุกสิ่งดูจะเป็ปกติไปแล้ว ทว่า อันที่จริงนางเองก็อยากรู้นัก จวิ้นจู่น้อยหวานหว่านผู้นี้มีความสามารถอันใดกันถึงทำให้ไทเฮาทรงโปรดปรานได้เพียงนี้ เพราะเสียแรงที่นางสู้อุตส่าทนอยู่ที่เขาอู่ไถกับแม่สามีมานานตั้งหลายปี แต่กลับไม่เคยได้รับการปฏิบัติที่พิเศษเลยแม้แต่น้อย
ไทเฮามองอวิ๋นซี ก่อนจะเอ่ยถาม “อาซี เหตุใดจึงไม่พาฉางรุ่ยกับฉางฮว๋ายเข้าวังมาให้อายเจียได้เห็นหน้าค่าตาบ้างเล่า? ” ตอนนั้นที่นางยังอยู่บนเขาอู่ไถก็ได้ทราบเื่ชายาหนิงอ๋องประสูติโอรสฝาแฝดออกมาเช่นกัน ตอนนั้นนางไม่รู้เลยว่า ตัวนางเองตื่นเต้นและดีใจเพียงใด
นอกจากนี้ ในตอนนั้นยังมีคำพูดบางคำที่เ้าอาวาสผู้ดูแลเขาอู่ไถลอบบอกนางอย่างลับๆ ขณะนั้นนางเสมองไปทางชายารัชทายาททีหนึ่ง ด้วยไม่รู้ว่าเื่บางเื่ ตนทำผิดไปแล้วหรือไม่
อวิ๋นซียิ้มตอบ “เสด็จย่า ตอนที่หลานสะใภ้และท่านอ๋องเตรียมจะเข้าวัง เด็กสองคนนั้นยังหลับสนิทกันอยู่เลยเพคะ ท่านอ๋องจึงฝากเด็กทั้งสองไว้ให้บิดามารดาของหลานสะใภ้ช่วยดูแล ทว่า วันพรุ่งนี้พวกเราก็ตั้งใจว่าจะพาเด็กๆ มาเข้าเฝ้าเสด็จย่าั้แ่เช้าเพคะ”
เมื่อไทเฮาได้ยินก็พยักหน้าแล้วกล่าวต่อ “เด็กหลับอยู่ก็ไม่สมควรเคลื่อนย้ายไปไหนจริงๆ ถึงกระนั้นอายเจียก็รอคอยที่จะได้พบเด็กน้อยทั้งสอง อย่างไรเสีย ลูกแฝดนี้ก็ยังไม่เคยมีปรากฏมาก่อนนับแต่ก่อตั้งราชวงศ์มา อาซี ลำบากเ้าแล้ว เ้าเป็หญิงที่มีโชคยิ่งนัก”
ครั้นหลานชายตนจะตบแต่งอวิ๋นซีเข้ามา ฮ่องเต้เองก็ได้บอกกล่าวแก่นางแล้ว หลังจากนั้นนางจึงสั่งให้คนจากเขาอู่ไถไปสืบเื่ของอวิ๋นซีและอวิ๋นซานที่หานโจว ดังนั้น นอกจากเื่มารดาผู้ให้กำเนิดของอวิ๋นซีที่ถูกปกปิดเป็ความลับ เื่อื่นๆ ทั้งที่ควรรู้ ไม่ควรรู้ หรือเื่ที่คนอื่นสืบหาไม่ได้ นางก็ล้วนรู้แจ้งจนหมดสิ้นแล้ว
อวิ๋นซีผู้นี้เป็คนมีนิสัยใจคอกว้างขวาง จิตใจดี มีคุณธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ สำหรับคนในราชวงศ์แล้วนับเป็สิ่งที่ขาดแคลนยิ่ง ด้วยเหตุนี้เองหลังจากที่ได้รู้เบื้องลึกเื้ัเกี่ยวกับอวิ๋นซีแล้ว นางก็สนับสนุนให้จวินเหยียนแต่งชายาคนนี้เข้ามาทันที อีกประการ เ้าอาวาสที่เขาอู่ไถเองก็ได้ทำนายชีวิตคู่ให้พวกเขาว่า คนทั้งสองเป็วาสนาฟ้าลิขิต ซึ่งวาสนาระหว่างอวิ๋นซีและจวินเหยียนนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่อาจไปตัดได้
อวิ๋นซีอมยิ้มพูดว่า “โชคของอวิ๋นซีเป็เสด็จย่า เสด็จพ่อและเสด็จแม่ เป็บรรพบุรุษตระกูลโอวหยางมอบให้มาเพคะ”
คำพูดของนางทำให้ไทเฮาถึงกับข่มกลั้นรอยยิ้มไว้ไม่อยู่ “ดูท่าคำพูดคำจาของหวานหว่านนี้จะเหมือนเ้าไม่ผิดเพี้ยน” อย่างไรก็ตาม เื่ที่หวานหว่านไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของอวิ๋นซี นางเองก็รู้อยู่ เพียงแต่เมื่อตอนที่พักอาศัยอยู่กับหวานหว่านที่เขาอู่ไถก็มักจะได้ยินเด็กตัวน้อยบ่นคิดถึงอวิ๋นซีอยู่เสมอ
ในฐานะที่เป็แม่ใหญ่ คนสามารถปฏิบัติต่อเด็กคนหนึ่งที่ที่มาที่ไปของมารดาผู้ให้กำเนิดยังเป็ปริศนาได้อย่างรักใคร่เพียงนี้ ถึงขนาดที่ทำให้เด็กน้อยคนหนึ่งบนเขาอู่ไถ่อดไม่ได้ให้คะนึงหากระทั่งยามหลับใหล คิดๆ ดูก็รู้ได้ว่า อวิ๋นซีต้องใช้ความพยายามมากเพียงใด
ไม่ว่าการกระทำนั้นจะจริงใจหรือจอมปลอม มองปราดเดียวก็รู้ได้
“เสด็จทวด หวานหว่านไม่เหมือนเสด็จแม่เสียหน่อยเพคะ ทุกครั้งยามที่เสด็จพ่อกับเสด็จแม่เถียงกันก็ล้วนเป็เสด็จแม่ที่พ่ายแพ้ทุกคราว ดังนั้น หลานย่อมคล้ายเสด็จพ่อมากกว่า” หวานหว่านมอบคุณงามความดีทั้งหมดให้พระบิดาตนอย่างรู้ความ
สิ่งที่ต้องรู้ก่อน ความปากร้ายของเสด็จพ่อเป็เป้าหมายที่นางพยายามจะไขว่คว้าให้ได้มามาโดยตลอด
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] อายเจีย(哀家)แปลว่า ผู้น่าสงสาร เพราะเป็ม่ายร้างพระสวามี เป็คำเรียกแทนตนเองของไทเฮา