ลู่หลิงฉิงยิ้มรับ จากนั้นก็มองไปยังอวิ๋นซานแล้วกล่าวว่า “ชายาหนิงอ๋อง ท่านนี้ก็คือบิดาของเ้า ท่านหมออวิ๋นหรือ? ”
ลู่หลิงฉิงตั้งใจพูดคำว่า ท่านหมออวิ๋น อย่างชัดถ้อยชัดคำ ด้วยกำลังดูแคลนในชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของอวิ๋นซีอยู่ ไม่ว่าอย่างไรคนก็เป็แค่หมอคนหนึ่ง ในตอนนั้นอวิ๋นซียังไม่ทันได้เปิดปากตอบโต้ แต่เป็จ้าวลี่เจียที่ยืนอยู่ข้างอวิ๋นซีกลับยิ้มพูดแทน “ถูกต้อง เขาก็คือบิดาของอาซีของข้า ท่านหมออวิ๋นผู้มีชื่อเสียงระบือไกลแห่งดินแดนตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่รู้ว่าชายารัชทายาทมีอันใดจะชี้แนะหรือ? ”
อวิ๋นซีเห็นจ้าวลี่เจียออกปากปกป้องบิดาอวิ๋นของตนเพียงนี้ก็อดยิ้มไม่ได้ หากเป็ไปได้ เื่เช่นนี้นางไม่ว่าหรอกนะหากจะมีมาบ่อยครั้งหน่อย เพราะถ้ายังเป็เช่นนี้ ไม่แน่ว่า ท่านพ่อก็อาจจะรู้สึกซาบซึ้ง อย่างไรเสีย สตรีที่กล้าเอ่ยวาจาเพื่อปกป้องตนถึงเพียงนี้ ไม่ว่าคนจะเป็ใครก็ล้วนต้องซาบซึ้งใจกันทั้งนั้น
ลู่หลิงฉิงคิดไม่ถึงว่าจ้าวลี่เจียจะกล้าตอกกลับตนเพียงนี้ นางยิ้มๆ จากนั้นก็ยอบกายคารวะแล้วพูดว่า “หากเป็ในครอบครัวทั่วไปละก็ ท่านหมออวิ๋นและฮูหยินอวิ๋นที่เป็บิดามารดาของชายาหนิงอ๋องก็ย่อมถือเป็ผู้าุโของข้าและรัชทายาท ดังนั้น พวกเราก็แค่อยากจะแน่ใจในสถานะของพวกท่านก่อน จะได้คารวะถูกก็เท่านั้น”
อวิ๋นซานพูดขึ้นเรียบๆ “ให้รัชทายาทและชายารัชทายาทมาคารวะพวกเราหรือ ไม่กล้ารับจริงๆ ” เมื่อพูดจบ เขาก็มองไปทางอวิ๋นซีแล้วกล่าว “อาซี จวินเหยียน หากซื้อเสร็จแล้วก็กลับกันเถอะ”
การกระทำนี้อาจเรียกได้ว่า ไม่ไว้หน้าโอวหยางเทียนหัวผู้เป็รัชทายาท และชายารัชทายาทแม้แต่น้อย เพราะการเตือนอย่างอ้อมๆ ของลู่หลิงฉิงเมื่อครู่เป็การกำชับให้อวิ๋นซานและฮูหยินแสดงความเคารพต่อรัชทายาทและตัวนางที่เป็ชายารัชทายาท ซึ่งข้อนี้เขาย่อมรู้ดี เพียงแต่ทำเป็ไม่ได้ยิน
อวิ๋นซีเห็นบิดาที่ทำทีโอหังทรงอำนาจเช่นนี้ก็นึกอยากจะตบมือให้เขา ท่านพ่อข้า ช่างเท่เหลือเกิน
นางจะมองว่า นี่เป็การไม่เกรงกลัวต่อพวกอำนาจบาตรใหญ่ได้หรือไม่?
อวิ๋นซานจูงมือจ้าวลี่เจียมุ่งหน้าออกไปนอกร้าน ทว่า จวินเหยียนยังคงยืนปกป้องภรรยาตนอยู่ เขายิ้มพลางโอบบ่าภรรยาไว้แล้วพูดว่า “เสด็จพี่รัชทายาท ชายารัชทายาท พวกเราต้องขออภัยด้วยจริงๆ ท่านพ่อตาข้าผู้นี้มีวิชาแพทย์สูงส่ง นิสัยเองก็แปลกประหลาดอย่างที่อาจเรียกได้ว่า คนไม่กลัวเกรงต่ออำนาจบาตรใหญ่ ตอนนั้นตัวข้าเพียงเพื่อจะตบแต่งอาซีเข้ามาก็ยังต้องลงทุนลงแรงไปไม่น้อย ดังนั้น พวกท่านก็อดทนกันหน่อยเถิด”
พ่อตาของเขา สุดยอดจริงๆ ไม่เสียทีที่เป็บุตรชายของคนผู้นั้น
ลู่หลิงฉิงมองเงาหลังของคนทั้งสองที่จากไป นางโกรธเกรี้ยวยิ่งขณะมองไปยังโอวหยางเทียนหัว “องค์รัชทายาท ดูพวกเขาสิเพคะ ยโสเกินไปแล้วจริงๆ ” ไม่ว่าจะอวิ๋นซีหรือจวินเหยียนก็ช่างเถอะ แม้แต่บิดามารดาที่ไม่ได้มีหน้ามีตาของอวิ๋นซีก็ยังโอหังเพียงนี้ ทำให้คนโกรธแทบตายจริงๆ
“ตอนนี้ยิ่งโอหังเท่าใด อีกเดี๋ยวก็จะยิ่งเสียใจมากเท่านั้น” รัชทายาทเดินออกไปด้านนอกอย่างช้าๆ เขามองดวงตะวันที่กำลังส่งความอบอุ่นลงมา มุมปากโค้งขึ้นน้อยๆ
ทว่า ทางด้านอวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียที่ต่างจับจูงมือกันและกันออกมาจากร้านนั้น ก็บังเอิญเจอเข้ากับอวี๋อ๋อง ชายาอวี๋อ๋อง และโอวหยางฮ่าวฟานที่กำลังเดินเล่น เมื่ออวิ๋นซานเห็นหลิงเยว่เซวียน ปฏิกิริยาแรกของเขาก็ถึงกับชะงักค้างไปเล็กน้อย และนึกอยากจะปล่อยมือจากจ้าวลี่เจีย แต่สุดท้ายเขากลับทำเพียงกดข่มความรู้สึกตามธรรมชาตินั้นลงไปด้วยสติที่มีอยู่อย่างยากลำบาก เขาจับมือจ้าวลี่เจียแน่นพลางมองชายาอวี๋อ๋องหลิงเยว่เซวียนที่อยู่ตรงหน้า
ตอนที่หลิงเยว่เซวียนเห็นจ้าวลี่เจียก็หลุดพูดออกมาด้วยความตกตะลึง “มารดาของอาซีหน้าตาคล้ายข้ามากจริงๆ ด้วย หากข้าไม่รู้ก็คงคิดไปแล้วว่า พวกเราเป็ฝาแฝดกัน”
อวี๋อ๋องมองอวิ๋นซานไปทีหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน ในใจสับสนร้อยแปด ทว่า ความรู้สึกที่มีมากกว่าใดๆ คือความรู้สึกผิดและซาบซึ้งใจ เขายิ้มพูดกับหลิงเยว่เซวียน “ใช่แล้ว เหมือนมากจริงๆ ประเดี๋ยวเมื่อพวกเรากลับไปก็ลองสืบหาดูหน่อย ไม่แน่ว่า พวกเ้าอาจเป็ฝาแฝดกันจริงๆ หรือไม่ก็อาจมีความสัมพันธ์ทางสายเืต่อกัน”
หลิงเยว่เซวียนยิ้มพยักหน้า “ดี ท่านต้องสืบให้ชัดเจนนะ”
อวี๋อ๋องมองไปยังอวิ๋นซาน เขาพูดต่อ “ข้าเป็เสด็จอาของจวินเหยียน ส่วนท่านเป็บิดาของอาซี หากนับญาติเหมือนอย่างคนทั่วไป แท้จริงแล้วพวกเราก็ถือเป็ญาติกันนะ”
อวิ๋นซานหัวเราะออกมา “ถูกต้อง อาซีของข้าไร้มารดาข้างกายมาแต่เล็ก นางจึงถูกข้าที่เป็บุรุษเลี้ยงมาจนโต นิสัยคนอาจจะดื้อรั้นอวดเก่งอยู่บ้าง หวังว่าพวกท่านจะให้อภัยนางด้วย”
บุรุษทั้งสองเมื่อแรกพบเจอกลับพูดคุยกันราวกับเป็สหายเก่าแก่ ส่วนสตรีสองนางก็ราวกับเป็พี่น้องที่พลัดพรากจากกันไปนาน พูดคุยกันอยู่บนถนน ชั่วขณะนั้นสีหน้าของอวิ๋นซีและจวินเหยียนที่เพิ่งไปถึงก็ปรากฏร่องรอยซับซ้อนเล็กน้อย อีกทั้ง อวิ๋นซีเองก็ยังรู้สึกปวดใจแทนบิดาตนอยู่อีกส่วนหนึ่งด้วย
ตอนนี้บิดาคงกำลังอดทนต่อความเ็ปที่ผุดขึ้นในใจขณะพูดคุยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มกระมัง เขาสามารถพูดจาด้วยท่าทีปรองดองเพียงนี้กับบุรุษที่แย่งภรรยาของตนไป ถึงกระนั้นเหตุที่เขายอมทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อตัวนางผู้เป็บุตรสาวที่รักใคร่
จู่ๆ จ้าวลี่เจียก็ขึ้นหน้าไปดึงชายเสื้อของอวิ๋นซาน พูดเสียงเบา “พวกเรากลับกันเถอะ”
ขณะเดียวกันนั้น เมื่อเห็นคนทั้งสองกลุ่มแยกจากกันแล้ว โอวหยางเทียนหัวก็มีสีหน้าดำคล้ำ หรือว่าแท้จริงแล้วชายาอวี๋อ๋องจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับอวิ๋นซีเลยสักนิด? ไม่มีทาง ก่อนหน้านี้มีคนส่งข้อมูลมาให้เขาฉบับหนึ่ง เพื่อยืนยันข้อเท็จจริงในเื่นี้ ดังนั้น ไม่ว่าอย่างไรเื่นี้ก็ต้องมีปัญหาที่ตรงไหนสักที่แน่ ต้องเป็เช่นนี้แน่ๆ
ในใจเขาไม่ยินยอม แต่ตอนนี้ก็ทำอันใดไม่ได้แล้วทั้งนั้น เพราะหากยังจะสานต่อย่อมไม่เป็เื่ดีต่อเขา
ทันทีที่คนทั้งสองขึ้นไปบนรถม้าแล้ว มือของอวิ๋นซานยังคงจับมือจ้าวลี่เจียอยู่ แต่เมื่อนางเห็นอวิ๋นซีและจวินเหยียนขึ้นมาแล้วก็รีบดึงมือตนกลับมาทันที จากนั้นก็เขยิบกายให้นั่งห่างจากอวิ๋นซานอย่างเงียบๆ
เมื่ออวิ๋นซีขึ้นมาบนรถม้าก็ค้นพบว่า บรรยากาศโดยรอบดูจะไม่ปกติเล็กน้อย นางจึงเอ่ยถาม “เกิดเื่อันใดขึ้นหรือ ? ”
อวิ๋นซานและจ้าวลี่เจียพูดออกมาพร้อมกัน “ไม่มี”
ยิ่งพูดว่าไม่มีก็ยิ่งต้องมีเื่ อวิ๋นซีมักรู้สึกว่า บรรยากาศรอบกายระหว่างคนทั้งสองนี้มีปัญหา แต่ตัวนางก็พูดอะไรออกไปไม่ได้ เพราะด้ายแดงระหว่างพวกเขาสองคน นางก็ผูกให้ได้แค่เท่านี้ ส่วนที่เหลือนั้นต้องขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเองแล้ว หากมีวาสนาต่อกัน ทุกสิ่งก็จะลื่นไหลดั่งสายน้ำในลำคลอง ทุกสิ่งจะดำเนินต่อไปตามธรรมชาติ
หากเป็ไปไม่ได้จริงๆ นางก็คงบอกได้แค่ว่า เป็เื่ของชะตาฟ้า
……...........................................................................................
ไทเฮากลับมาจากเขาอู่ไถ โดยฮ่องเต้เป็ผู้นำขบวนขุนนางทั้งบุ๋นบู๊จำนวนนับร้อยไปรับด้วยพระองค์เองที่นอกประตูวัง ส่วนอวิ๋นซีและจวินเหยียนก็มาถึงวังหลวงั้แ่ยามม่อ และในตอนที่กำลังรอคอยอยู่นั้น อวี้เฟยก็มาถึงแล้วเช่นกัน ทันทีที่เห็นอวี้เฟย คนก็กวักมือมาทางนาง ก่อนจะยื่นหน้าเข้ามาใกล้หูของอวิ๋นซีแล้วกล่าว “เ้าต้องระวังความเคลื่อนไหวของอวิ๋นอานโหวไว้หน่อย ข้าสงสัยว่ามารดาเ้าจะมีความเกี่ยวข้องใดกับจวนอวิ๋นอานโหว”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินเช่นนั้นก็ให้รู้สึกประหลาดใจ “พระสนมทรงหมายความเช่นไรหรือเพคะ? มารดาของหม่อมฉันกับอวิ๋นอานโหว? ” หรืออวี้เฟยจะสืบได้อะไรมา? แต่ว่า ไม่น่าจะเป็เช่นนั้นนี่ เพราะตัวนางก็อยู่ในเมืองหลวงมานานเพียงนี้แล้ว แต่ก็หาได้มีความเกี่ยวข้องใดกับคนจากจวนอวิ๋นอานโหวเลย
“ตอนที่เ้าคลอดบุตร มิใช่ว่าเปิ่นกงเองก็รออยู่ที่ด้านนอกนั่นด้วยหรอกหรือ หนนั้นเป็ครั้งแรกที่ข้าได้เจอกับมารดาเ้า ใบหน้านั้นดูคล้ายกับฮูหยินอวิ๋นอานโหวยามสาวเป็อย่างมาก เดิมทีเปิ่นกงก็แค่คิดว่าคนหน้าคุ้นๆ เพียงแต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก จนกระทั่งเมื่อวานยามที่ชายาอวี๋อ๋องมาร่วมงานเลี้ยงในวัง ข้าถึงเพิ่งนึกออก”
ได้ฟังคำของอวี้เฟย อวิ๋นซีก็เผยยิ้มบางๆ พยักหน้า “หม่อมฉันจะสืบให้ชัดเจนแน่นอนเพคะ”
อวี้เฟยอืมไปเสียงหนึ่ง “ใช่แล้ว ยามที่เ้าสืบเื่นี้จักต้องระวังให้ดี เพราะ่นี้รัชทายาทเองก็กำลังจับตาดูตระกูลอวิ๋นอยู่ รวมถึงครอบครัวอวี๋อ๋องด้วย เปิ่นกงยังกังวลอยู่ว่า หากเขาไม่ได้ลงมือทำอะไรสักหน่อยก็ย่อมจะไม่ยอมเลิกรา”
ความคิดนี้ของอวี้เฟยสอดคล้องกับความคิดของอวิ๋นซี แต่นอกจากรัชทายาทแล้ว นางก็สงสัยในคนอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือองค์ชายสาม แต่ไม่ว่าในสองคนนี้จะเป็ใครก็ตามที่คอยผลักดันให้เกิดคลื่นลมอยู่เื้ั นางเองก็ย่อมไม่มีทางปล่อยไปแน่
คิดอยากจะแตะต้องครอบครัวนางอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นนางก็จะให้คนเหล่านี้ได้รู้จักเสียสักหน่อยว่า อะไรที่เรียกว่า เสียใจภายหลัง