ตอนที่อวิ๋นซีออกจากวังก็ถือโอกาสนี้หิ้วลูกสาวตัวแสบของตนที่ห่างบ้านไปหลายเดือนกลับไปด้วย ระหว่างทางที่อยู่บนรถม้า หวานหว่านก็เอาแต่พูดเื่นู่นเื่นี้มากมายอย่างไม่ยอมหยุดปาก อวิ๋นซีจึงทำเพียงกอดบุตรสาวไว้ และปล่อยให้อีกฝ่ายเอนกายพิงไปบนอกตนขณะพูดไม่หยุด
ถึงกระนั้นในบางครั้งตัวนางเองก็จะเป็ฝ่ายถามขึ้นบ้าง
เื่ราวที่หวานหว่านเล่าให้ฟัง โดยสรุปก็คือ ั้แ่ที่หวานหว่านไปอยู่เขาอู่ไถ ไทเฮาก็รักใคร่นางดังแก้วตาดวงใจ อวิ๋นซีรู้ว่า ถึงแม้หวานหว่านจะยังเป็แค่เด็กตัวน้อย แต่ตลอดมาคนก็มักจะพูดจาแต่เื่ดีๆ เื่ลำบากใดๆ ที่ต้องประสบพบเจอล้วนไม่เล่าให้ฟัง ดังนั้น เื่ที่เกิดขึ้นที่เขาอู่ไถ นางก็ไม่หวังจะฟังจากปากของลูกสาวแต่เพียงฝ่ายเดียว
เมื่อหวานหว่านกลับไปถึงจวนอ๋องก็รีบพุ่งกายไปยังห้องของน้องชายโดยทันที นางมองเด็กชายสองคนที่ตัวอ้วนกลมดูน่ารักน่าชังเป็อย่างยิ่ง หวานหว่านยิ้มออกมาทันที จากนั้นจึงเอื้อมมือออกไปคล้ายอยากจะอุ้มฉางฮว๋าย และตอนนั้นเองเด็กชายตัวน้อยก็ทำเพียงมองพี่สาวตนไปทีหนึ่ง ก่อนจะปิดเปลือกตาลง
การกระทำนี้ของเขาราวกับเป็ตัวกระตุ้นให้พี่สาวนึกอยากจะสยบเขาให้ได้ “เสด็จแม่ ข้าอยากจะอุ้มน้องชาย”
“ไม่ได้ เ้ายังเล็กอยู่ ฉางฮว๋ายเองก็สวมเสื้อผ้าไว้หลายชั้นเพียงนี้ หากพวกเ้าพากันล้ม แม่จะทำเช่นไร? ” อวิ๋นซีพูดอย่างปลงๆ “รออีกเดี๋ยวเถอะ ให้ตกกลางคืนก่อนและพวกเ้าอาบน้ำแล้ว แม่จะพาเขาไปที่ห้องเ้า ให้พวกเ้าสามคนพี่น้องเล่นกันบนเตียง”
เมื่อได้ยินคำของเสด็จแม่ สุดท้ายหวานหว่านก็ละทิ้งความคิดที่จะอุ้มน้องชาย นางยกมุมปากเล็กๆ ขึ้นยิ้มพลางมองฉางรุ่ย “นี่คือคนโตหรือ? ”
จ้าวลี่เจียที่อยู่อีกด้านเฝ้ามองคนทั้งสองอยู่ยกยิ้มขึ้น พยักหน้า “อืม นี่คือคนโต ฉางรุ่ย”
หวานหว่านเงยหน้ามองจ้าวลี่เจียแล้วยิ้ม “ท่านยาย ข้าคือหวานหว่าน ท่านต้องจำให้ได้นะเ้าคะ”
คำว่าท่านยายของเ้าเด็กตัวน้อยนี่ทำให้คนทั้งหมดอึ้งไป ก่อนที่อวิ๋นซีจะดึงสติกลับมาได้ นางนึกอยากจะยกนิ้วโป้งให้บุตรสาว นี่จะหมายความว่า เด็กคนนี้จะเป็คนช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างบิดาอวิ๋นและอาจารย์อาน้อยใช่หรือไม่นะ?
อวิ๋นซานทำเพียงยิ้มอย่างปลงๆ ส่วนอาจารย์อาน้อยกลับมีใบหน้าแดงก่ำอย่างยากจะได้เห็น แท้จริงแล้วนางก็อยากจะบอกหวานหว่านว่า อย่าได้เรียกตนเช่นนี้เลย แต่เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ของตนกับอวิ๋นซานที่คนภายนอกรับรู้ในยามนี้ นางก็คิดขึ้นได้ว่า หากคนไม่เรียกนางเช่นนี้ และบังเอิญถูกคนในจวนบางคนที่มีใจเป็สองได้ยินเข้าแล้วแพร่ออกไป ทุกสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก่อนหน้านี้ก็นับว่าสูญเปล่าแล้ว...
ยามนี้หวานหว่านกลับมาแล้ว ครอบครัวของพวกเขาจึงถึงคราวได้นั่งกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา ทว่า สีหน้าของอวิ๋นซานกลับดูแปลกประหลาดไปเล็กน้อย ถึงกระนั้นอวิ๋นซีก็ไม่ได้ปริปากถามอะไรออกไป อย่างไรเสีย ปกติแล้วบิดาของนางผู้นี้เป็คนลึกลับมาตลอด ความเป็มาใดๆ ไม่อาจสืบได้ เื่ราวในอดีตล้วนตรวจหาไม่เจอ
แต่นางก็รู้ว่า บิดาอวิ๋นเป็คนมีความคิดอย่างยิ่ง จึงไม่เคยต้องเป็กังวลว่าเขาจะจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างตนกับจ้าวลี่เจียได้ไม่ดี
ตกกลางคืนทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับห้องตน ทางด้านอวิ๋นซีและจวินเหยียนเองเมื่อกลับมาถึงห้อง นางก็ช่วยจวินเหยียนถอดเสื้อคลุมออกพลางพูดขึ้นด้วยความวิตก “วันมะรืน พวกเราก็ต้องพาท่านพ่อและอาจารย์อาน้อยเข้าวังแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น ไม่ว่าจะหลิงเยว่เซวียนหรืออาจารย์อาน้อยก็ล้วนต้องได้เจอกับคนของจวนอวิ๋นอานโหว ข้ากังวลใจจริงๆ ”
สถานะที่แท้จริงของหลิงเยว่เซวียนพวกนางล้วนทราบดี คนมีความเกี่ยวข้องกับจวนอวิ๋นอานโหวจริงๆ ซึ่งในตอนนั้นที่นางหนีไปกับอวิ๋นซาน จวนอวิ๋นอานโหวก็ได้ออกมาประกาศต่อภายนอกว่า นับแต่นั้นนางไม่ใช่ลูกหลานตระกูลอวิ๋นอีก
ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้พอได้มาเจอกันด้วยสถานะเช่นนี้ อวิ๋นซีก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดงุ่นง่านเล็กน้อย เพราะโดยปกติเื่มากมายนางล้วนคาดเดาได้ และมีเพียงการปรากฏตัวของหลิงเยว่เซวียนเท่านั้นที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของนาง ทว่า ตอนนี้มีจ้าวลี่เจียเพิ่มมาอีกคน คนทั้งสองที่คล้ายกันเพียงนี้จะไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับตระกูลอวิ๋นจริงๆ หรือ?
“วางใจเถอะ” จวินเหยียนโอบคนเข้ามาในอ้อมแขน พูดเสียงเบา “ท่านพ่อตาและอาจารย์อาน้อยล้วนไม่ใช่คนธรรมดา สำหรับคนในวังเ่าั้ พวกเขาย่อมสามารถรับมือได้ ดูจากเื่ที่ท่านพ่อตาแสดงท่าทีโอหังยามอยู่ต่อหน้ารัชทายาทก็พอรู้ได้แล้ว อีกประการ ทางด้านเสด็จอาสะใภ้เองก็ยังมีเสด็จอาของข้าคอยปกป้องอยู่ สำหรับคนตระกูลอวิ๋น เสด็จอาจะจัดการเอง”
เมื่ออวิ๋นซีได้ฟังแล้ว เป็นานถึงได้อืมออกมาเบาๆ เสียงหนึ่ง “ขอให้เป็ดังที่ท่านว่าเถอะ”
ในเวลาเดียวกันอวิ๋นซานจ้องมองจ้าวลี่เจียที่กำลังอ่านตำราแพทย์อยู่ภายใต้แสงเทียน เขาสงสัยนัก สตรีนางหนึ่งสามารถอ่านตำราแพทย์ด้วยท่าทีที่จดจ่อเพียงนั้นได้อย่างไร และในตอนนั้นเองอาจเป็เพราะสายตาที่มองนางแรงกล้าเกินไป นางจึงไม่อาจไม่เงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายได้ นางพูด “มองข้าเช่นนี้มีเื่อะไรอยากจะพูดกับข้าหรือ? ”
จ้าวลี่เจียคุ้นเคยกับการอยู่ร่วมกับอวิ๋นซานแล้ว ทว่า สิ่งเดียวที่นางไม่รู้จะทำอย่างไรก็คือการเรียกขาน อันที่จริงอวิ๋นซานเด็กกว่านางถึงสี่ปี แต่หากจะให้การแสดงสามีภรรยานี้สมบูรณ์แบบ นางก็ควรจะเรียกเขาว่า ท่านพี่หรือไม่ ด้วยเื่นี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็รู้สึกแปลกประหลาดยิ่ง
อวิ๋นซานยิ้มบางๆ พูดว่า “ไม่มีอันใด เพียงแต่อยากจะบอกเ้าว่า เ้าจะเรียกข้าว่าเฉินปินก็ได้”
“เฉินปิน? ” จ้าวลี่เจียสงสัย “เ้าไม่ได้ชื่ออวิ๋นซานหรอกหรือ”
อวิ๋นซานหัวเราะหึหึพูดว่า “อวิ๋นซานคือข้า ทว่า เฉินปินเองก็คือข้าเช่นกัน ตอนนั้นยามที่ข้าอยู่ในเมืองหลวง และได้รู้จักกับมารดาของอาซี ข้าปลอมตัว โดยใช้นามว่าจางเฉิน ทว่าตอนหลังระหว่างทางที่ต้องหนีตาย มารดาของอาซีก็เรียกข้าว่าอวิ๋นซาน พอนางเรียกเช่นนั้น วันเวลาผ่านมายี่สิบปีจึงเป็ชื่อนี้มาโดยตลอด และหากไม่ใช่เพราะจู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ ตัวข้าเองก็เกือบจะหลงลืมไปแล้วว่าตนคือ จางเฉินปิน”
จ้าวลี่เจียวางตำราแพทย์ลงแล้วเอ่ยถาม “เกรงว่าอาซีเองก็คงจะไม่รู้ว่า จริงๆ แล้วนางแซ่จางกระมัง”
“อืม นางไม่รู้ จริงๆ แล้วชื่อของนางก็ควรจะเป็จางอวิ๋นซี เพียงแต่ข้าไม่ได้รู้สึกว่าเป็เื่สลักสำคัญอะไร ไม่ว่าจะเรียกอย่างไรก็ล้วนไม่ใช่ปัญหา นั่นก็แค่ชื่อเรียกเท่านั้น” อวิ๋นซานรู้สึกเรียบเฉยยิ่ง เพราะสิ่งที่เขา้ามีเพียงให้อาซีดีใจ มีความสุข
จ้าวลี่เจียคิดไม่ถึงว่า เขาจะเป็คนที่มองอะไรๆ ได้ทะลุปรุโปร่งถึงเพียงนี้ ทำให้นางแทบทนไม่ไหวอยากจะะโเอ่ยชมเขาว่า คิดได้ดีๆ นอกจากนี้ ต่อมาอวิ๋นซานก็ได้เล่าเื่ตอนเด็กๆ ของอวิ๋นซีให้จ้าวลี่เจียฟัง คนทั้งสองที่นอนไม่หลับต่างพากันพูดคุยเื่ลูก และเื่วิชาแพทย์
จ้าวลี่เจียที่ฟังแล้วก็ค้นพบว่า ก่อนหน้านี้อวิ๋นซีพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ อวิ๋นซานเป็บุรุษที่ดียิ่ง เป็บิดาที่ดียิ่ง ด้วยเหตุนี้ ก่อนจะนอนนางก็พูดกับอวิ๋นซานขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “เฉินปิน หากเ้าสามารถปล่อยวางภรรยาเ้าลงได้จริงๆ เช่นนั้นพวกเราก็มาอยู่ด้วยกันเถอะ”
แท้จริงแล้วสองวันมานี้นางเองก็ได้ครุ่นคิดมาบ้างแล้ว นางชอบอวิ๋นซีด้วยใจจริง ชอบเด็กทั้งสองคน อีกทั้ง หลายปีมานี้ตัวนางเองก็มองจวินเหยียนเป็ดังลูกของตนมาโดยตลอด หากนางสามารถใช้ชีวิตร่วมกันกับพวกเขาไปได้ตลอด กลายเป็ครอบครัวเดียวกับพวกเขา จริงๆ แล้วก็ถือว่าไม่เลวเลย
อวิ๋นซานอึ้งไปเล็กน้อย มิคาดว่าจ้าวลี่เจียจะกล้าพูดเช่นนี้ออกมา แต่เมื่อคิดกลับมาอีกที เขาก็เข้าใจแจ่มแจ้ง อย่างไรก็ตาม จ้าวลี่เจียใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพ ถึงแม้นางจะมีนิสัยอ่อนโยน แต่ความเด็ดขาดตรงไปตรงมาแบบชาวยุทธ์นั้น ตัวนางเองก็มี มิเช่นนั้นนางคงไม่มีทางชอบบุรุษคนหนึ่งอย่างเปิดเผยมานานถึงเพียงนั้น
เขาไม่ได้คิดมาก อืมออกไปเสียงหนึ่ง “ได้” อันที่จริงคำตอบของเื่นี้มีมานานแล้ว บางทีอาซีอาจจะพูดถูก ยามนี้หลิงเยว่เซวียนไม่ใช่อวิ๋นเสี่ยวหูที่เขารักใคร่ในตอนนั้นแล้ว ตอนนี้คนที่นาง้าจึงไม่ใช่เขา อวิ๋นซาน แต่เป็อวี๋อ๋อง
ดังนั้น หากเขาไม่ยอมปล่อยมือออกจากนางก็มีแต่จะเป็การชักนำความเ็ปมาให้หลิงเยว่เซวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะหากให้เขาเรียกความทรงจำของนางกลับมาก็ไม่ต่างอะไรกับการให้นางได้เห็นจุดจบในตอนนี้ สุดท้ายก็ต้องเ็ปอย่างที่สุด
ไม่ เขาไม่อยากให้เื่ราวดำเนินไปถึงจุดนั้น เขา้าให้อาซีอยู่อย่างดี ให้นางผู้เป็มารดาแท้ๆ ของอาซีได้อยู่อย่างดีเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ สำหรับเื่ที่เกิดขึ้นในตอนนั้น บางทีการลืมเลือนไปเสียก็ถือเป็เื่ดี ในเมื่อเป็เช่นนี้ไปแล้ว เหตุใดเขาถึงไม่เลือกวางมืออย่างใจกว้างเสียเล่า
จ้าวลี่เจียเพียงยิ้มเรียบๆ จากนั้นก็ห่มผ้า และไม่นานหลังจากนั้นเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของนางก็ดังลอดเข้าหูอวิ๋นซาน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีวันนี้...