“โอ้... รอข้าสักเดี๋ยว จะรีบไปแล้ว” เสียงผิงอันดังสะท้อนมาจากทางหลังบ้าน
ไม่นาน ผิงอันที่ปล่อยผมสยายก็วิ่งออกมาจากหลังบ้านในมือถือถ้วยลายครามแตกๆ มาด้วยใบหนึ่ง หางตาของเจินจูชำเลืองไปเห็นปุ๊ปก็ะโหนีปั๊ป เฮ้ เ้าหมอนี่ถือถ้วยแตกอีกแล้ว ไปจับหนอนมาอีกแน่นอน เธอจึงถอยหลังสองก้าวอย่างระมัดระวัง
หลี่ซื่อกวักมือเรียกไปทางเขา ยกแปรงหวีผมขึ้น ผิงอันเดินเข้าไปหาอย่างว่าง่าย เจินจูชายตามองถ้วยของเขาแวบหนึ่ง เป็แบบที่คิดไว้จริงด้วย ของนุ่มๆ ที่ดิ้นไม่หยุดในถ้วยมิใช่ว่าเป็ไส้เดือนหรอกหรือ
“ท่านแม่ ข้าจับัดินได้เยอะเลย อีกเดี๋ยวจะเอาไปเลี้ยงไก่” ผิงอันยกถ้วยแตกในมือขึ้นด้วยความระมัดระวัง
“ไก่ชอบกินไส้เดือน…เอ่อ…ัดินหรือ?” เจินจูถาม
“ใช่แล้ว ไก่ชอบกินมาก โปรยลงไปก็แย่งกันกินใหญ่เลย ฮิๆ ” ผิงอันเอ่ยพลางกลอกลูกตาดำมองไปมา แต่ไม่กล้าขยับตัว เพราะหลี่ซื่อแปรงผมให้เขาอยู่ ตอนแรกเขาเอาผมลงมาแบ่งเป็สองฝั่ง แล้วมัดรวบเอียงเป็มวยสองข้าง
เจินจูมองอย่างตลกขบขัน เส้นผมผิงอันเล็กและเหลือง ดึงตึงขึ้นมาก็ได้แค่หยิบมือเล็กๆ หนึ่งกำ ลักษณะน่ารักเสียจริง เด็กส่วนใหญ่ที่อายุไม่ถึงสิบปีในหมู่บ้านล้วนแปรงทรงผมเช่นนี้ รอจนกว่าผมส่วนใหญ่ยาวพอจึงจะสามารถเปลี่ยนเป็มวยอันเดียวบนศีรษะได้
“ท่านแม่ ข้าจะเอาัดินไปเลี้ยงไก่ แล้วจะไปตัดหญ้าสำหรับเลี้ยงหมูกับเอ้อร์หนิวนะขอรับ” ผิงอันกล่าวจบก็วิ่งออกไปอย่างทนรอไม่ไหว ในป่าเขาปลายฤดูใบไม้ร่วงมีต้นไม้เขียวชอุ่ม ผลไม้สุกงอมนานาชนิด รวมทั้งสัตว์น้อยใหญ่ที่กำลังยุ่งกับการเตรียมตัวข้ามฤดูหนาว สิ่งเหล่านี้ล้วนดึงดูดเด็กสาวอย่างหาที่เปรียบมิได้
เจินจูสีหน้าและท่าทางขยับเล็กน้อย เธออยากถือโอกาสนี้ขึ้นเขาสำรวจดูสักครั้ง ว่ากันว่าตนเองอยู่ในสถานที่ใดย่อมต้องใช้ชีวิตไปเช่นนั้น ต้องดูว่าบนเขามีสิ่งใดบ้าง แม้เธอจะไม่ค่อยรู้จักเสียส่วนใหญ่ แต่ดูให้มากๆ ก็คงจะพอทำอะไรได้บ้าง เธอแสร้งทำเป็สงบและกล่าวกับหลี่ซื่อว่า
“ท่านแม่ ข้าไปกับผิงอันนะเ้าคะ จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ต้องถือโอกาสตุนผักป่าให้เยอะไว้ในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นกระต่ายจะไม่มีหญ้ากินในหน้าหนาว”
หลี่ซื่อชะงักสีหน้า เจตนา้าจะห้ามปราม ทว่าเมื่อมองไปยังแววตาของเด็กสาวที่มีความกังวลใจมากมาย นางจึงเปลี่ยนใจด้วยท่าทางสงบ เจินจูมีนิสัยค่อนไปทางรู้จักคิดและสุขุม จะว่าไปเด็กในชนบทที่ไหนกันจะเติบโตมาแบบทะนุถนอม ในบ้านก็ไม่มีอะไรให้ต้องเลี้ยงลูกอย่างตามใจ สุดท้ายนางจึงถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าอนุญาต
เจินจูระงับความลิงโลดในใจ ส่งยิ้มน้อยๆ ส่งไปทางท่านแม่ของเธอ “ท่านแม่ ข้าจะระวัง ที่ที่อันตรายจะไม่เข้าไป ท่านวางใจเถิด” เอ่ยจบก็มองหลี่ซื่อที่พยักหน้าให้ แล้วจึงเดินไปทางเดียวกับที่ผิงอันเพิ่งเดินออกไป
“ผิงอัน ข้าจะขึ้นเขากับเ้าด้วย เ้ารอพี่สักเดี๋ยว”
เวลาชั่วครู่เดียว ผิงอันก็เอาตะกร้าไผ่สานมาแบกไว้เรียบร้อย เตรียมออกไปหาเอ้อร์หนิวอย่างรีบร้อน เมื่อได้ยินคำพูดของเจินจูจึงหยุดฝีเท้า “ท่านพี่ ท่านก็จะไปด้วยหรือ? แผลท่านหายแล้วหรือยัง สามารถเดินได้ไกลหรือไม่?”
“หายแล้ว คล่องแคล่วเลยล่ะ เ้ารอข้าด้วย” กล่าวพลางเดินเข้าไปยังห้องเก็บฟืน ตะกร้าไผ่สานแบกของของเธอวางอยู่ตรงนั้น
“อื้ม เช่นนั้นเร็วหน่อยเถิด เอ้อร์หนิวรอแย่แล้ว”
เจินจูได้ฟังแล้วก็หัวเราะออกมา เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนที่รีบคือตัวเขาเอง เธอไม่สนใจเขา แบกตะกร้าไผ่สานขึ้นจัดวางให้เรียบร้อย ในบ้านมีจอบเล็กอยู่อันเดียว ผิงอันเอาไปตนก็ไม่มีแล้ว เธอหามีดตัดฟืนจนเจอแล้ววางไว้ในตะกร้าสานของตน อีกทั้งยังวิ่งเข้าไปหยิบเคียวในครัวด้วย
เดินมาถึงประตูลานบ้าน เมื่อเห็นเจิ้งเอ้อร์หนิวรออยู่นอกลานบ้านแล้ว ผิงอันก็เร่งรัดอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่ เร็วหน่อยเถิด ต้องกลับก่อนมื้อเที่ยงนะ”
หันศีรษะไปทางหลี่ซื่อที่อยู่ในห้องแล้วะโไปว่า “ท่านแม่ พวกข้าไปแล้วนะขอรับ ตอนเที่ยงจะกลับมา” กล่าวจบก็ลากเจินจูที่กำลังปิดประตูอยู่รีบเดินออกไป
“พี่เจินจู าแท่านหายแล้วหรือ? เหตุใดถึงสามารถขึ้นเขาได้แล้วเล่า?” เอ้อร์หนิวเหลือบมองแล้วถามเจินจูอย่างประหลาดใจ
“ข้าไม่เป็อะไรแล้ว แค่หัวกระแทกเท่านั้น ข้าหายดีนานแล้ว ขึ้นเขาขุดผักป่าไปเก็บไว้ให้กระต่ายมากหน่อย พอลูกกระต่ายคลอดออกมาก็เป็หน้าหนาวแล้ว ไม่เก็บผักป่าไว้เยอะตอนนี้ กระต่ายน่าจะหิว เอ้อร์หนิว ยังไม่ได้ขอบคุณเ้าเื่กรงกระต่ายที่บ้านเ้าให้มาเลย เดี๋ยวรอตอนกระต่ายคอกที่สองคลอด ให้บ้านเ้าเอาไปเลี้ยงสักตัวสองตัว” ขณะพูดคุยกับเอ้อร์หนิว พวกเขาก็เดินไปตามเส้นทางเล็กอย่างระมัดระวัง หยิบกิ่งไม้ข้างทางติดมือมา และตีไปบนเส้นทางข้างหน้า
เอ้อร์หนิวฟังแล้ว ดวงตาที่มองเจินจูเต็มไปด้วยความแปลกใจ เขากล่าวอย่างดีใจว่า “จริงหรือ! ให้กระต่ายสองตัวแก่บ้านข้าจริงหรือ?”
“ย่อมจริงแน่นอน รอข้าเลี้ยงลูกกระต่ายคอกนี้ให้โตเสียหน่อยก่อน คอกต่อไปก็ให้บ้านเ้าสองตัว แค่ต้องเลี้ยงดีๆ บ้านเ้าก็จะมีกระต่ายฝูงใหญ่ฝูงหนึ่ง ถึงตอนนั้นพวกเ้าอยากกินเช่นไรก็กินเช่นนั้นได้ตามใจเลย” เจินจูวาดแผนคร่าวๆ ให้เอ้อร์หนิวจินตนาการต่อเอง เธอไม่กังวลว่าจะเลี้ยงกระต่ายได้ดีหรือไม่ แต่ขอแค่เพียงตั้งใจเลี้ยงให้ดีที่สุดก็พอแล้ว เพราะกระต่ายเป็สัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงยากอันใด
“เอ้อร์หนิว คำพูดท่านพี่ข้าเชื่อถือได้ ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะมีเนื้อกระต่ายกินทุกวันแล้ว” ผิงอันถูกภาพพรรณนาของตนเองมอบเมา อยากกินจนต้องกลืนน้ำลาย
“อืม…อืม…ดีจริงด้วย นานแล้วที่บ้านพวกเราไม่ได้กินเนื้อ เช่นนั้นพวกเราหาหญ้าที่กระต่ายชอบกินมากขึ้นอีกนิดเถิด ให้กระต่ายกินเยอะหน่อย” เอ้อร์หนิวก็อยากจะทานเนื้อเสียจนลุกลี้ลุกลนไปหมด กินผักกวางตุ้งและหัวไชเท้าทุกวัน ใครจะไม่อยากกินเนื้อเสียหน่อยเล่า
สามคนพูดคุยกันไปพลางเดินไปพลางก็ถึงเนินกลางูเาแล้ว
“ท่านพี่ ท่านดูสิ วันนั้นที่ท่านกลิ้งตกลงไปก็กลิ้งจากตรงนี้” ผิงอันชี้ไปทางเนินลาดฝั่งหนึ่ง
เจินจูมองตาม เนินลาดมีหินขึ้นกระจายปนกับหญ้าเกลื่อนไปหมด เนินลาดมีระดับความลาดเอียงสูงนัก ขอบคุณที่นางคนก่อนกล้าลงไปเก็บไข่ เธอพนมมือไว้สองฝ่ามือ ในใจยืนสงบไว้อาลัยให้แก่เจินจูชั่วครู่
“ท่านพี่ ท่านทำอะไร? ที่นี่ผักป่าไม่เยอะ พวกเราเดินเข้าไปด้านในอีกนิดเถิด” ผิงอันหันมามองเธออย่างแปลกใจ เห็นว่าเธอไม่ขยับจึงเร่งรัดขึ้นมาทันที
“อื้อ มาแล้ว” เจินจูเคลื่อนเก็บสายตากลับ ก้าวยาวๆ ไปทางที่พวกเขาเดินไป
ป่าเขาที่เข้าสู่สารทฤดู บนูเาก็มีใบไม้ร่วงเกลื่อนกลาด สามคนรอดผ่านูเาที่ติดกันเป็แถบยาว เสียงใบไม้ร่วงดังซู่...ซู่… ยิ่งเข้าไปด้านในต้นไม้ก็ยิ่งงอกงามสูงใหญ่ มีนกบินกระพืออยู่บ่อยๆ พัดใบไม้พากันร่วงลงมา สามคนผ่านทะลุป่าผืนหนึ่ง มาถึงบริเวณพื้นที่กลางหุบเขากว้าง
“ท่านพี่ หญ้านี้ดูดีที่สุด ข้าเคยให้กระต่ายกิน หญ้าหางแมว [1] นี้กระต่ายชอบกินนัก แล้วก็มีใบหญ้าหางหมา [2] อันนี้กระต่ายก็ชอบกิน พืชจำพวกหญ้าไม่ว่าอันใด มันล้วนชอบกินเป็ที่สุด พวกเราตัดเยอะๆ เอากลับไปตากแห้งได้” ผิงอันเอ่ยอย่างมีระเบียบแบบแผน ท่าทางคล้ายผู้ใหญ่ตัวน้อยๆ เลยทีเดียว
“ผิงอัน เ้ารู้มากเสียจริง เช่นนั้นพวกเราล้วนตัดทุกอย่างอย่างละนิด ตัดหญ้าของกระต่ายครึ่งตะกร้า แล้วอีกครึ่งตัดหญ้าสำหรับหมูดีหรือไม่” เอ้อร์หนิวเอ่ยยกยอ
“อื้ม ผิงอันกล่าวได้ไม่เลวเลย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็สิ่งที่กระต่ายชอบกิน พวกเราแบ่งกันเล็กน้อย เก็บแต่ละอย่างครึ่งตะกร้าก็ได้แล้ว จำไว้ว่าต้องใช้ไม้ตีพงหญ้าก่อน อย่าให้โดนงูฉกได้เชียวเล่า” เจินจูชี้แจงอย่างไม่ประมาท ในเขามีงูและแมลงเยอะ ตีหญ้าให้งูไปก่อน ความปลอดภัยสำคัญที่สุด เห็นว่าสองคนต่างคนต่างทำระวังงูดีแล้ว เธอจึงก้าวช้าๆ ไปทางฝั่งหนึ่ง
หุบเขาที่ชัยภูมิค่อนข้างต่ำ ด้านข้างเป็พุ่มไม้เตี้ยเสียส่วนใหญ่ ยิ่งเดินเข้าตรงกลาง พืชกลับยิ่งมีน้อยมาก เลียบข้างพงหญ้าเดินลึกเข้าไปด้านใน เธอยืนอยู่บนที่สูงทอดสายตาออกไป พบว่าต้นเฟิง [3] สูงใหญ่ไม่กี่ต้นที่กำลังลู่ลมอยู่บนเนินไม่ไกล ใบเฟิงโปรยลงเป็ผืนแดงฉาน ทั่วทั้งหุบเขาเหมือนถูกแสงสายัณห์ขับให้เด่นชัด ทิวทัศน์ดั่งเช่นภาพวาดช่างมีมนต์เสน่ห์
เจินจูมองอย่างลุ่มหลงอยู่ครู่หนึ่ง จึงเก็บสายตาอาลัยอาวรณ์กลับไปได้ เธอก้าวขาเล็กสั้นไปยังข้างหน้า จะว่าไปแล้วก็หดหู่ ไม่นึกเลยว่าสาวน้อยที่โตมาถึงสิบปีจะเตี้ยถึงเพียงนี้ สูงไม่ถึงร้อยสี่สิบโดยประมาณ ไม่ใช่ว่าขาสั้นหรอกหรือ?
หลังมองไปรอบๆ หนหนึ่งแล้ว เจินจูพบว่าสัตว์เล็กสัตว์น้อยในหุบเขามีมากมายนัก ความสามารถในการมองของร่างนี้ดีมาก บนต้นสนด้านข้างมีกระรอกกำลังเก็บลูกสน เม่นที่ปกคลุมไปด้วยหนามเต็มตัวคลานช้าๆ ในพงหญ้าที่อยู่ไม่ไกล และยังมีหนููเาที่วิ่งไปมาเป็ระยะๆ เธอล้วนเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ชัดเจน น่าเสียดายที่สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เธอ้า เพราะเนื้อกระรอก เนื้อเม่น และเนื้อหนูไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในอาณาบริเวณโต๊ะทานข้าวของเธอ
เมื่อจัดการหาพื้นที่กว้างโล่งเอาตะกร้าไผ่สานวางลงแล้ว จึงถือไม้ตบเบาๆ ที่พงหญ้าบริเวณใกล้เคียง หลังจากนั้นค่อยหยิบเคียวออกมาตัดหญ้า
เอ้อร์หนิวขุดจนเต็มตะกร้าด้วยความรวดเร็ว หลังจากเอาตะกร้าวางไว้ด้านข้างแล้วก็เก็บผลไม้ป่าต่อ ไม้ผลที่เกิดตามป่าเขามีค่อนข้างมาก เช่น ซานเหอเถา [4] เซียงจาป่า [5] เกาลัด ลูกพลัมป่า และโคลงเคลงหรือสำเหร่ [6] เป็ต้น ยังมีพวกผลไม้ป่าที่เรียกชื่อไม่ถูกอีก เจินจูไม่รู้จักเสียส่วนใหญ่ เพียงรวบรวมข้อมูลเล็กน้อยมาจากการสนทนาของเด็กชายทั้งสองมาวิเคราะห์ต่อ
“ผิงอัน พี่เจินจู มาดูเร็ว นี่มีโพรงกระต่ายด้วย!” เสียงเอ้อร์หนิวสะท้อนมาจากที่ไม่ไกลเท่าไหร่
“ไหน? ที่ใด? ให้ข้าดูที” ผิงอันวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เจินจูก็เดินเข้ามาอย่างประหลาดใจ เธอไม่เคยเห็นโพรงกระต่ายมาก่อน แต่คำว่า “กระต่ายเ้าเล่ห์มีสามโพรง” [7] นี้น่าจะไม่ได้มีขึ้นมาลอยๆ กระต่ายนั้นน่าจะมีทางเข้าโพรงสามรู เธอกลอกตา ใช้หญ้าจิติญญาล่อพวกมันออกมาเสียทั้งคอกดีหรือไม่?
“ผิงอัน เ้าดู... ตรงนี้” เอ้อร์หนิวนั่งยองๆ หน้าเนินดินที่หนึ่ง พงหญ้าเขียวชอุ่มปกคลุมทางเข้าโพรงไว้ ใช้ไม้เขี่ยหญ้าออกจึงสามารถพบปากโพรงได้
“เอ้อร์หนิว เ้าตาดีจริง อำพรางไว้เช่นนี้เ้ายังเห็นได้อีก” เจินจูเอ่ยชม แล้วกล่าวต่อ “แต่ว่ากันว่ากระต่ายล้วนมีปากโพรงสามรู ถ้าหาปากโพรงอีกสองรูเจอ แล้วอุดไว้หนึ่งรู เหลือไว้หนึ่งรูใช้ไฟรมควัน กระต่ายก็จะออกมาจากปากโพรงอีกหนึ่งที่เหลือนี้ พวกเ้าดูหลังเนินนี่ ข้าจะลองดูว่าสามารถจับกระต่ายได้หรือไม่ ว่าแต่... มีผู้ใดพกหินจุดไฟมาหรือไม่?”
“ข้าพกมา!” เอ้อร์หนิวยกหินจุดไฟจากในอกสองก้อนออกมาโบก นี่คือสิ่งที่เขาพกมาเป็พิเศษ บางครั้งสามารถใช้ย่างนกกระจอกเทศหรือปิ้งตั๊กแตนได้ แม้กระทั่งปิ้งไข่นกที่นำมาทำอาหารก็ทำได้หลากหลาย
“เยี่ยมไปเลย เอ้อร์หนิวเ้าไปดูทางนั้น ผิงอันไปทางนี้ ดูให้ละเอียดหน่อย น่าจะอยู่บริเวณนี้ ไม่น่าจะไกลมาก ข้าหาพวกกิ่งหญ้าแห้งมาเพิ่มนิดหน่อยก็สามารถรมควันกระต่ายได้แล้ว” คำพูดเพิ่งจบ เด็กหนุ่มสองคนก็ขานรับวิ่งออกไปอย่างกระตือรือร้นทันที พวกเขาเดินเลียบหาไปตามเนินอย่างละเอียด
เมื่อเจินจูเห็นว่าทั้งสองคนไปไกลแล้ว ก็เข้าไปในมิติช่องว่างหยิบหญ้าสงบจิตหนึ่งกำที่เก็บไว้ครั้งก่อนออกมา แล้วคว้าหญ้าหางหมามาห่อไว้ใส่ลงในตะกร้า รอให้ผ่านไปสักพักแล้วเอาหญ้าวางไว้ปากโพรงกระต่าย ใช้ล่อกระต่ายออกจากโพรง
เธอหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ในขณะเดียวกันก็คิดกับตัวเองว่าจะจับกระต่ายได้กี่ตัว พร้อมกับเก็บกิ่งไม้ใบไม้แห้งไปด้วย
“พี่เจินจู ข้าหาเจอแล้ว ตรงนี้มีโพรง” เอ้อร์หนิวส่งน้ำเสียงตื่นเต้นดังมาจากที่ไกลๆ
“เยี่ยมมากเอ้อร์หนิว... เ้าหาก้อนหินมาอุดปากโพรงไว้ก่อน แล้วค่อยไปช่วยผิงอันหาทางด้านนั้น” เจินจูยิ้มแล้วะโตอบ เ้าเด็กเอ้อร์หนิวนี่ทำอะไรรวดเร็วเสียจริง
ดูท่าวันนี้พวกเธอจะดวงดีไม่เบา เธอคิดอย่างเบิกบานใจ รอยยิ้มบนใบหน้ายังไม่ลดเลือนไป ผิงอันที่อยู่อีกด้านจู่ๆ ก็ล้มลงร้อง “ไอ๊หยา”
เชิงอรรถ
[1] หญ้าหางแมว หรืออีกชื่อหนึ่งคือ หญ้าทิโมธี
[2] หญ้าหางหมา หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ข้าวฟ่างหางหมา
[3] 枫树 ต้นเฟิง หรือต้นเมเปิล
[4] ซานเหอเถา คือ ถั่วพีแคน
[5] เซียงจา หรือซานจา หรือซัวจา คือ ไม้ผลขนาดเล็กประเภทเบอร์รี่ชนิดหนึ่ง ผลซานจามีสีแดงรสเปรี้ยวจัด นิยมนำมาแปรรูปเป็ผลิตภัณฑ์ต่างๆ (เช่น ซานจาแผ่น ซานจาอบแห้ง แยมผลไม้ เยลลี่ น้ำผลไม้ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็ต้น)
[6] โคลงเคลง หรือสำเหร่ คือไม้ดอกล้มลุก มีสีสันดอกสวยงามโทนม่วงเข้ม เมื่อดอกแก่พัฒนามาเป็ผลแล้วก็นำมาแปรรูปเป็อาหารได้
[7] กระต่ายเ้าเล่ห์มีสามโพรง มีความหมายนัยว่า คนเ้าเล่ห์มีที่หลบซ่อนตัวมากมาย