การที่่นี้เฉียวเยว่มาพำนักที่บ้านสกุลฉี เป็สิ่งที่ยากจะเข้าใจสำหรับคนทั่วไป
บ้านของตนเองดีๆ ไม่อยู่ ต้องมาอยู่ที่บ้านของท่านตา ทั้งที่ก็อยู่ในเมืองหลวงเหมือนกัน
ส่วนฐานะของอาจารย์ฉีชัดเจนอยู่แล้วว่ามีความพิเศษอันแยบยล
แม้ข่าวลือจะกระจายอยู่พักหนึ่ง แต่กลับมิได้เกินไปนัก ไม่มีผู้ใดเป็คนเขลา พูดมากยากที่จะเลี่ยงการถูกเอาคืน หรือไม่ก็ถูกหมายหัวเสียเอง
แต่แม้จะรู้ว่าไม่มากมาย เฉียวเยว่ก็ยังโกรธอยู่ดี นั่นคือบิดาของนาง มีคนใส่ร้ายป้ายสี นางจะไม่โกรธได้อย่างไร
อีกอย่างท่านตาเป็คนเช่นไร เฉียวเยว่กระจ่างใจดีที่สุด ต่อให้ท่านตาออกข้อสอบ ก็ไม่มีทางปล่อยให้รั่วไหลเป็อันขาด ส่วนนางก็ไม่สงสัยในพระปรีชาของฝ่าา พระองค์จะให้คนผู้หนึ่งออกข้อสอบและปล่อยให้แพร่กระจายออกไปได้อย่างไร
"ข้าจะกลับบ้าน" เฉียวเยว่เป็เด็กเอาแต่ใจเช่นนี้ นางตัดสินใจว่าจะกลับก็จะไม่มีคำที่สอง
"เ้ากลับเวลานี้ไม่เหมาะสม" อาจารย์ฉีกล่าว
เฉียวเยว่เกาศีรษะ หัวเราะเสียงเย็น "ข้าสนหรือว่าใครจะพูดอะไร หากพวกเขากล้าปากพล่อยต่อหน้าข้า ข้าก็ไม่เห็นแก่หน้าเหมือนกัน"
ท่าทีเช่นนี้ของเฉียวเยว่ทำให้อาจารย์ฉีจริงจังขึ้นมา "ข้ารู้ เ้าเป็ห่วงบิดา แต่เ้าทำเช่นนี้จะยิ่งเป็การสร้างปัญหาให้เขา มิสู้รอผลการสอบเคอจวี่ออกมาก่อนค่อยกลับไป เช่นนี้ผู้อื่นถึงจะไม่สบโอกาสวิจารณ์เหลวไหล"
เฉียวเยว่ไตร่ตรองอย่างละเอียดก่อนพยักหน้า
แม้ว่านางจะมีอุปนิสัยดื้อรั้น แต่ก็ฟังเหตุผล จุดนี้ทำให้อาจารย์ฉีนึกชื่นชม "จุดนี้เ้าเหมือนข้า ดียิ่ง ดียิ่ง"
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคักออกมา ไม่รู้เพราะเหตุใดผู้าุโของนางทุกคนล้วนเป็เช่นนี้กันหมด สิ่งใดก็ตามที่เป็คุณสมบัติที่ดีล้วนดึงมาไว้ที่ตนเอง ส่วนไหนที่ไม่ดีก็ผลักไปให้ผู้อื่น
ฉีอันดึงเฉียวเยว่มาพูดอย่างจริงจัง "ท่านพ่อของพวกเราเก่งเพียงนั้น ต้องสอบได้ดีมากแน่นอน ถึงเวลาข้าก็จะไปสอบเคอจวี่เหมือนกัน ให้พวกเขาได้รู้ว่าคนฉลาดไม่จำเป็ต้องใช้เล่ห์กล"
เฉียวเยว่พยักหน้าติดๆ กัน "เ้าพูดถูก ข้าก็จะตั้งใจสอบให้ดี ภายหน้าต้องเข้าศึกษาในสำนักศึกสตรีให้ได้"
เห็นเด็กน้อยสองคนดวงตาเป็ประกายวับวาวราวกับตัดสินใจแน่วแน่ อาจารย์ฉีก็อมยิ้ม
ทว่าเอ่ยถึงบุตรเขย อาจารย์ฉีก็มีความกังวลอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าเขาจะรับมือกับบรรยากาศของสนามสอบได้หรือไม่ แม้ซานหลางจะไม่ถึงกับจู้จี้กับเื่สุขอนามัยจนเกินเหตุเฉกเช่นอวี้อ๋อง แต่เขาก็รักความสะอาดมากอยู่เหมือนกัน
การกินดื่มขับถ่ายล้วนต้องอยู่แต่ในห้อง ถูกขังแค่วันเดียวก็ยังไม่แน่ว่าจะทนได้
"ข้าไม่ห่วงเื่คำครหานินทาของคนนอก บิดาเ้าก็ไม่ใส่ใจเช่นกัน แต่เื่กินดื่มปลดทุกข์นี่สิ... บิดาเ้าคงไม่พึงใจนัก"
เฉียวเยว่นึกถึงตรงนี้ก็หัวเราะออกมา จะว่าไปจุดนี้นางกับฉีอันไม่ค่อยเหมือนบิดามารดาเท่าไร พวกนางสองพี่น้องเป็คนไม่เคร่งครัดเื่ภาพลักษณ์ แต่บิดาของนางไม่ใช่
เห็นแม่นางน้อยหัวเราะอย่างเบิกบาน อวี้อ๋องก็รู้สึกอับจนวาจา
แต่แม้จะเป็เช่นนี้ ก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มบนใบหน้า
แท้จริงแล้วใช่ว่าแม่หนูน้อยจะไม่รู้ การที่นางกับฉีอันต้องจากบ้านมาก็เพื่อหลีกเลี่ยงจากเื่สกปรกโสมมมากมายเ่าั้
ต้องกล่าวว่าไท่ไท่สามเป็คนมองการณ์ไกล มานึกอีกที บุตรสาวที่อาจารย์ฉีให้การอบรมสั่งสอนไม่มีทางเป็สตรีไร้ค่าไปได้ แม้ไท่ไท่สามจะนุ่มนวลอ่อนโยน แต่กลับไม่เปราะบางอ่อนแอ
คนนอกไม่รู้ แต่เขากลับเห็นอย่างชัดเจน
ไม่ว่าตอนเริ่มต้นจะเป็เช่นไร แต่ครึ่งปีมานี้ไท่ไท่เรือนใหญ่กับหวังหรูเมิ่งก็ทำากันอย่างหนักหน่วง แม้ไท่ไท่ใหญ่จะเป็สตรีจากตระกูลใหญ่ซึ่งวางตัวเหมาะสมเสมอมายังไม่อาจยับยั้งโทสะครานี้ได้ สามีของตนเองเล่นชู้กับน้องสาวภรรยาของเรือนสอง ตอนนี้ยังมาเป็อนุภรรยา ใครเล่าจะทนกล้ำกลืนความอดสูนี้ได้
อย่างไรเสียนี่ก็แตกต่างกับการที่นางเป็ฝ่ายยกอนุให้ซูต้าหลางด้วยตนเอง
แม้หวังหรูเมิ่งจะเป็อนุภรรยา แต่ไม่เคยยอมแพ้ ด้วยอาศัยความสาวความสวยของตนเอง ประกอบกับสถานะที่ไม่ด้อย ทั้งยังมีไท่ไท่รองคอยให้ท้าย ครึ่งปีมานี้งิ้วโรงใหญ่จึงมีสีสันอย่างมาก
แต่เพราะจวนซู่เฉิงโหวมีการควบคุมค่อนข้างดี เื่เหล่านี้จึงแทบจะไม่แพร่งพรายออกไป แต่ก็ใช่ว่าไม่มีคนรู้
หรงจ้านกลับรู้สึกว่าเ้าแตงน้อยของเขาเฉลียวฉลาดที่ไม่เอาตนเองไปแปดเปื้อนสิ่งต่ำตมเ่าั้ แม้ว่าทุกครั้งนางจะมีความสุขที่ได้เห็นแก้วแหวนเงินทองของนอกกาย แต่สิ่งนี้กลับแสดงให้เห็นความเรียบง่ายไร้เดียงสาของนาง
เขามีความสุขที่เห็นนางสนุกสนานมีชีวิตชีวา หากปล่อยให้นางเกลือกกลั้วกับเื่โสมมเ่าั้ก็คงจะน่าผิดหวัง
"อาจารย์ฉี มีข่าวลือว่าต้นวสันต์ปีหน้าท่านจะออกเดินทางท่องเที่ยวต่างถิ่นเป็เวลาหนึ่งปี มิทราบว่าจริงเท็จประการใด" หรงจ้านเอ่ยถาม รอยยิ้มอ่อนจางฉาบอยู่บนใบหน้า
อาจารย์ฉีอมยิ้ม "ข้ามีแผนการเช่นนี้อยู่ แต่รายละเอียดยังมิได้ตัดสินใจ แต่ไหนแต่ไรมาข้าคิดเสมอว่าอ่านท่องตำรานับหมื่นม้วนยังมิสู้เดินทางหมื่นลี้ นานแล้วที่ไม่ได้ไปไหนเลย ก็ควรออกไปเที่ยวชมเสียหน่อย"
เฉียวเยว่ทำตาโต ชูมือขึ้น "ท่านตา ข้าก็อยากไป"
"ข้าก็อยากไป ข้าก็อยากไป" ฉีอันไม่ยอมน้อยหน้า
"พวกเ้า..." อาจารย์ฉีเกิดความลังเลขึ้นมา
"ข้าจะเป็เด็กดี พวกเราพาเสี่ยวไป๋ไปด้วยก็ได้ มันจะปกป้องพวกเรา" เฉียวเยว่กล่าว
ไม่รู้เสี่ยวไป๋โผล่มาจากไหน ครึ่งปีมานี้มันเติบโตกลายเป็สุนัขสีขาวตัวใหญ่ไปแล้ว มันกระโจนเข้ามาพลางเห่า "โฮ่งๆ"
เสี่ยวไป๋ไวต่อชื่อของตนเองเป็พิเศษ
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก นางย่อตัวลงมาลูบเสี่ยวไป๋ "เสี่ยวไป๋เด็กดี"
เสี่ยวไป๋ล้มตัวนอนหงายเอาเท้าชี้ฟ้าไถตัวไปมา
"เื่นี้พวกเราค่อยคุยกันวันหลัง" อาจารย์ฉีอมยิ้ม
เฉียวเยว่ทำแก้มป่อง "เ้าค่ะ"
อาจารย์ฉีหันไปมองหรงจ้าน เขาทอยิ้มอ่อนๆ เอ่ยขึ้นว่า "ข้าก็อาจจะออกเดินทางเหมือนกัน หากพวกเราพบกัน ทุกท่านโปรดอย่าเดียดฉันท์ที่จะร่วมเดินทางกับข้า"
เฉียวเยว่เต้นผาง "ข้าไม่เดินทางกับท่านหรอก ท่านดูเป็คนจุกจิกเ้าปัญหา"
นางเข้าใจหรงจ้านอย่างดีทีเดียว
"อุปนิสัยเช่นข้าดูเหมือนจะดีมากใช่หรือไม่?" หรงจ้านเอ่ย
หรงเยว่ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด "ไม่ใช่เลย"
อาจารย์ฉีอมยิ้มพูดตัดบท "เอาล่ะ พวกเราควรคำนึงถึงหน้าตาบ้าง"
เฉียวเยว่ตอบอื้ม
แล้วสถานการณ์ก็เป็ไปตามที่อาจารย์ฉีกับเฉียวเยว่คาดไว้ ซูซานหลางทนรับกับการกินดื่มปลดทุกข์ร่วมกันกับคนอื่นๆ ไม่ได้จริงๆ แต่ไม่อาจล้มเลิกตอนนี้ ได้แต่ต้องอดทน
วันแรกผ่านไป ก็แทบหน้ามืด แต่แม้จะไม่สบายตัวเพียงใดเขาก็ทำได้เพียงอดทนอดกลั้น
การสอบเคอจวี่ใช้เวลาสามวัน ่เย็นของทุกวันสามารถกลับบ้านได้ การสอบในแต่ละวันก็แตกต่างกัน
ซูซานหลางกลับมาหัวค่ำ ไม่มีใครกล้าถามว่าสอบเป็อย่างไรบ้าง ด้วยเกรงว่าถ้าเขาทำได้ไม่ดี ถามมากไปอาจส่งผลกระทบต่อการสอบวันที่สอง
แต่ซูซานหลางกลับปรับตัวได้ดียิ่ง เขากลับมาถึงบ้านหลังจากอาบน้ำแล้วก็กินได้นอนหลับสบาย ก่อนเข้านอนยังอ่านตำราครู่หนึ่ง ไม่มีความตื่นเต้นพะว้าพะวังอันใด
"ท่านไม่เหมือนพี่ใหญ่ของข้าสักนิด"
ผู้ที่สามารถหยิบยกเื่นี้มาพูดเวลานี้ได้ก็มีแต่ไท่ไท่สามเท่านั้น หลังจากอาบน้ำเสร็จนางก็เดินมาข้างกายเขา "พักผ่อนเลยหรือไม่?"
ซูซานหลางอมยิ้มวางตำราลง "เช่นนั้นก็พักผ่อนเถอะ"
"ท่านทำใจให้สบาย ไม่ว่าจะสอบได้ดีหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ"
"ข้ารู้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็เช่นไร อาอิ่งก็ไม่แหนงหน่าย" ซูซานหลางอมยิ้ม
ไท่ไท่สามทำเสียงดุ "ข้าไหนเลยจะแหนงหน่าย ท่านสอบติดหรือไม่ติดล้วนดีทั้งสิ้น ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ชอบท่านเพราะลาภยศชื่อเสียงอยู่แล้ว"
ซูซานหลางสวมกอดนางพลางเอ่ยเสียงเบา "แท้จริงแล้วก่อนที่จะรับปากบิดาเข้าสอบเคอจวี่ครานี้ ข้าก็ไตร่ตรองมาดีแล้ว ข้าจะทำเพื่ออนาคตของพวกเ้า อนาคตที่ว่าอาจไม่ใช่ความมั่งคั่งหรือฐานะอันสูงส่ง แต่อย่างน้อยก็ต้องมีสถานะและตำแหน่งของตนเองเหมือนท่านพ่อตา"
"พูดถึงท่านพ่อ วันนี้เขาส่งสารมาบอกว่า เฉียวเยว่อยากกลับมาั้แ่สองสามวันก่อน แต่ถูกเขาห้ามไว้ บอกว่ารอสอบเสร็จถึงจะส่งเด็กๆ กลับมา"
เ้าตัวเล็กของพวกเขาจากบ้านไปพักใหญ่แล้ว แม้จะมีกลับมาบ้างเป็ครั้งคราว แต่ก็ไม่เหมือนกัน ไม่มีพวกเขาข้างกาย มักรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่าง ่แรกไม่เคยชินอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้นับว่าดีขึ้นบ้างแล้ว
"ข้ารู้สึกว่าเป็การดียิ่งที่ให้เด็กๆ ไปอยู่กับท่านตาของพวกเขา เห็นบรรยากาศอึมครึมเต็มไปด้วยความเลวร้ายของพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้รองแล้วก็น่าอึดอัดใจยิ่ง หากส่งผลกระทบต่อเด็กก็คงจะแย่มาก" ซูซานหลางเอ่ย
ไท่ไท่สามเข้าใจเหตุผล พยักหน้าคล้อยตาม "ถูกต้องแล้ว ดูข้าสิ ไม่รู้จะลากท่านมาคุยเื่เหล่านี้ทำไม รีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้ยังมีสอบอีกนะ"
ซูซานหลางกุมมือนาง "มีเ้าอยู่ข้างกาย ข้าก็ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล ตอนนี้ข้าสบายใจมาก"
ไท่ไท่สามหัวเราะ
เวลาสามวันจะว่าเร็วก็ไม่เร็ว จะว่าช้าก็ไม่ช้า ชั่วพริบตาก็ผ่านไป
พอได้ยินว่าการสอบเคอจวี่สิ้นสุดแล้ว อาจารย์ฉีก็ไม่พิรี้พิไร พาเด็กสองคนมาส่งพร้อมกับฉีจือโจว
เฉียวเยว่ลงจากรถม้าก็วิ่งไปเรือนสาม "ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว"
น้ำเสียงดังกังวานเป็ที่สุด
อันที่จริงเฉียวเยว่สองพี่น้องสิบกว่าวันจะกลับมาอยู่บ้านหนึ่งวัน แต่มาครานี้ต่างกันที่จะไม่กลับไปแล้ว
"ท่านแม่" นางเรียกเสียงใส
เห็นซูซานหลางเดินออกจากประตูมา เฉียวเยว่ก็รีบวิ่งเข้าไปด้วยความตื่นเต้นโผเข้าสู่อ้อมแขนของเขาโดยตรง
"ท่านพ่อคิดถึงข้าหรือไม่?" นางยิ้มแก้มปริ
ซูซานหลางอุ้มนางขึ้นมาซวนเซเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจ "ไม่ผอมลงสักนิด"
ดูสิ นี่แหละบิดาของนาง
เฉียวเยว่ทำหน้ากระเง้ากระงอด บ่นพึมพำ "ท่านพ่อไม่เป็มิตร"
ฉีอันวิ่งมาถึง "ท่านพ่ออุ้มข้า ท่านพ่ออุ้มข้า"
ซูซานหลางไม่สามารถอุ้มเ้าตัวน้อยสองคนพร้อมกันเหมือนฉีจือโจวได้ เขาจึงวางเฉียวเยว่ลงก่อนแล้วอุ้มฉีอัน
เฉียวเยว่วิ่งไปหามารดา "ท่านแม่ ข้าเป็เด็กดีด้วยล่ะ"
ไท่ไท่สามอมยิ้ม "คำกล่าวนี้พูดเองได้ด้วยหรือ? ข้าว่าควรให้ท่านตาเ้าพูดมากกว่านะ"
เฉียวเยว่หันไปเขย่าแขนอาจารย์ฉีทันควัน "ท่านตา ท่านตา ท่านว่าข้าเป็เด็กดีหรือไม่?"
ทันใดนั้นทุกคนก็หัวเราะกันครืน
เฉียวเยว่ไม่ได้กลับมานานมาก หลังจากกลับมาก็รีบไปคารวะผู้ใหญ่ที่เรือนหลัก ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เห็นหน้าหลานเพียงครึ่งเดือนก็รู้สึกเหมือนไม่ได้พบกันนานมาก โอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน "ไกวเยว่ของข้าสุขสบายดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้ายิ้มร่าเริง "ดีมากเ้าค่ะ"
นางหันมาโดยไม่ได้ตั้งใจ เห็นชิงเยว่มองตนเองอยู่ด้วยสีหน้าริษยา เฉียวเยว่ไม่เข้าใจว่าสมองของชิงเยว่มีแต่น้ำหรือไร ถึงคิดแต่จะตั้งตัวเป็ศัตรูกับนาง
แต่อุปนิสัยของนางเป็เช่นนี้ หากใครไม่ไว้หน้า นางย่อมไม่เกรงใจเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ใช่ก็จะต่างออกไป
นางคร้านจะเปิดาก่อน
"ท่านย่า หลันเยว่ยังอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ ข้าอยากเห็นว่านางโตขึ้นแค่ไหนแล้ว"
จะว่าไป ชีวิตของหลันเยว่ก็น่าสงสาร ั้แ่คลอดออกมา มารดาไม่เคยสนใจ คิดแต่จะช่วยน้องสาวของตนเองต่อกรกับไท่ไท่ใหญ่ แต่สำหรับไท่ไท่สามถือว่าเป็เื่ที่ดียิ่ง
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งมีความสุขที่สะใภ้รองไม่เข้ามายุ่มย่ามหลังจากที่นางรับ่ดูแลหลานสาวคนนี้
เฉียวเยว่เดินมาถึงเปลของเด็กน้อย "หลันเยว่ ข้าคือพี่เฉียวเยว่ เรียกพี่สาวสิ"
หลันเยว่ตบมือ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก
"เด็กคนนี้จำคนเก่งยิ่ง ไม่กลัวเ้าเลยด้วย" ฮูหยินผู้เฒ่าประหลาดใจ
เฉียวเยว่ยืดอก "เพราะข้าเป็คนสวย คนสวยไม่ว่าทำสิ่งใดย่อมถูกต้องเสมอ"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้