เฉินอ๋องได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามหลังจึงหันกลับมาเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “พี่ใหญ่โปรดหยุดก่อนเถิด จากฐานะของท่านกับข้าหากออกไปส่งคุณชายพร้อมกันเกรงว่าเขาจะทนรับวาสนาดีครั้งนี้เอาไว้ไม่ไหวนะพ่ะย่ะค่ะ!”
ขณะกล่าวใช้แขนข้างหนึ่งล็อกคอซงซวี่ก่อนจะก้มหน้าลงไปกระซิบบางอย่าง
องค์รัชทายาทเห็นเพียงซงซวี่เผยสีหน้าตกตะลึงตามด้วยถูกเฉินอ๋องลากลงไปยังชั้นล่างอย่างไม่อาจขัดขืนนอกจากนั้นยังเห็นซงซวี่พยักหน้ารับเล็กน้อย
ภายในใจลอบร้องว่า“ไม่ดี” แต่หากตามออกไปตอนนี้ เท่ากับเผยให้เห็นว่าเขาไม่อาจระงับสติอารมณ์? กลายเป็การหยิบยื่นเื่น่าขบขันให้เ้าสามเอาไปหัวเราะเยาะ
ถ้าเขารู้ว่าเฉินอ๋องพูดกับซงซวี่ว่า“เ้าลองเดาดูสิว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงอยากจะไปส่งเ้าให้ได้”รวมถึงคำพูดที่มิได้เอ่ยอย่างหยอกล้อ คาดว่าเขาจะต้องโมโหเจียนตายอย่างแน่นอน
เฉินอ๋องส่งซงซวี่เดินลงชั้นล่างจากนั้นจงใจถ่วงเวลาอยู่ชั้นล่างอีกครู่ใหญ่ก่อนจะกลับไปทำให้ผู้อื่นคิดว่าเขากับซงซวี่เสียเวลาเจรจากัน
ถือว่าองค์รัชทายาทระงับสติอารมณ์ได้ดีเขาเอาแต่นั่งฟังบทเพลงอยู่ในห้องเพื่อรอเฉินอ๋อง แม้อยากออกไปจากที่นี่แต่เขาก็ยังจำเป็ต้องรักษาหน้าเอาไว้เช่นกัน ควรคิดหาคำพูดบอกปัดเ้าสามต่อหน้าแต่มิอาจลุกลี้ลุกลนคล้าย้าจะหนีเช่นนี้
เื่มาถึงขั้นนี้หากไม่อาจระงับสติอารมณ์ ยังจะมีคุณสมบัติเป็บุรุษได้อีกหรือ?
เฉินอ๋องเดินกลับมาอย่างเอ้อระเหยเอ่ยพลางยกยิ้ม “เสด็จพี่ยังไม่กินนกพิราบย่างเนยจนหมดใช่หรือไม่? เพราะนั่นคืออาหารจานโปรดของข้าเชียวนะพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทหยัดการลุกขึ้นเอ่ยพลางยิ้มว่า “เปิ่นกงยังไม่ทันได้แตะต้องเสียด้วยซ้ำหากเมื่อครู่ซงซวี่ไม่เตือน เปิ่นกงก็คงจะลืมไปเสียสนิทเปิ่นกงรับปากแล้วว่าจะเข้าวังไปทานอาหารกลางวันกับหมู่โฮ่วเปิ่นกงคงต้องรีบเข้าวัง เกรงว่าหมู่โฮ่วคงกำลังรออยู่เป็แน่!”
เฉินอ๋องยังคงไม่รั้งดังเดิมเพียงแต่เอ่ยด้วยความเสียดาย “นี่มันอะไรกัน? เดิมคิดอยากจะเชิญเสด็จพี่กับคุณชายซงให้ร่วมสนุกสนานด้วยกันนอกจากนั้นยังเตรียมการแสดงอีกหลายอย่าง พวกท่านต่างพากันกลับไปก่อน...ช่างเถิดข้าดูคนเดียวก็ได้! สนุกคนเดียวย่อมดีกว่าไม่ได้สนุก”
“ต้องขอโทษน้องสามจริงๆวันหน้าเหวยซงจะชวนเ้ามาดื่มสุราดอกไม้เป็การไถ่โทษ” องค์รัชทายาทเอ่ยทั้งรอยยิ้ม
ขณะกล่าวหลังเดินไปทางประตู
เฉินอ๋องลุกขึ้นและเอ่ย“น้อมส่งเสด็จพี่พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นองค์รัชทายาทจากไปเฉินอ๋องยกยิ้มและนั่งลงดื่มสุราอย่างเอ้อระเหยเขาลิ้มรสอาหารชั้นเลิศตรงหน้าอย่างเชื่องช้า คล้ายกับ้านั่งเสพสุขที่นี่เพียงลำพังจริงๆ
องค์รัชทายาทรีบออกจากเรือนซูหนวี่ฟางและขึ้นรถม้ารีบมุ่งหน้ากลับจวนองค์รัชทายาทมิได้รับรู้ว่าทั้งด้านหน้าและด้านหลังตนถูกลอบติดตามโดยผู้ที่มีฝีเท้าว่องไวยิ่งนัก
ครั้นเห็นองค์รัชทายาทเสด็จกลับจวนคนทั้งสองจึงหลบอยู่มุมกำแพงจวนองค์รัชทายาทแต่รออยู่ครู่ใหญ่กลับไม่เห็นองค์รัชทายาทเสด็จออกมา หลังสนทนากันเสียงเบาหนึ่งในนั้นรีบปลีกตัวออกมาและมุ่งหน้าไปยังเรือนซูหนวี่ฟาง
ได้ยินเป็เสียงคนผู้หนึ่งเคาะประตู“เตี้ยนเซี่ย”
“เข้ามา”
“เตี้ยนเซี่ย...”ผู้มาเยือนกระซิบเสียงเบาข้างหูเฉินอ๋องไม่กี่ประโยค
เฉินอ๋องครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเอ่ยออกคำสั่ง“เ้าไปบอกให้เหลยถิงจับตาดูเขาต่อไป เปิ่นหวางจะไปหาตระกูลหรงอีกครู่เ้าค่อยตามไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”จุยเฟิงขานรับ
หลังจุยเฟิงออกไปเฉินอ๋องรอให้ผ่านไปครู่หนึ่งจากนั้นให้รางวัลอิงอิงกับเยี่ยนเยี่ยนก่อนจะออกจากเรือนซูหนวี่ฟางเช่นกัน
เดิมทีเขาคิดว่าองค์รัชทายาทจะรีบร้อนไปยังสถานที่คุมขังหรงหว่านซีประการที่หนึ่งคือตรวจดูว่านางยังอยู่เพื่อให้มั่นใจว่าหรงชิงไม่มีความสามารถมากพอที่จะหานางพบ ประการที่สองคือสั่งให้คนส่งตัวหรงหว่านซีกลับมาเพื่อไม่ให้เกิดหายนะในภายหลัง เมื่อเป็ไปตามนี้ขอเพียงเขามุ่งหน้าไปยังสถานที่คุมขังหรงหว่านซีองครักษ์เงาทั้งสองของเขาจะเข้ากุมตัวองค์รัชทายาทสามารถรวบได้ทั้งตัวโจรและหลักฐาน
ถึงยามนั้นแค่ให้องครักษ์เงาทั้งสองคนแสร้งทำเป็ไม่รู้ถึงฐานะขององค์รัชทายาทบอกว่าตนคือโจรที่ลอบสะกดรอยตามองค์รัชทายาทมาเพราะเห็นว่ารถม้าของเขาหรูหราและสวมอาภรณ์ตัวงามคิดแค่ว่าเขาเป็คนร่ำรวย จึงอยากจะปล้นเงินจำนวนหนึ่งแต่นึกไม่ถึงว่าแม่นางน้อยของเขาจะหน้าตางดงามถึงเพียงนี้ ทำให้เกิดความคิดอกุศล
รอให้อาเฟิงและอาเหลยรวบทั้งโจรและของกลางเขาค่อยอ้างว่าเห็นคนลอบตามเสด็จพี่มา เพราะรู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงติดตามมาเช่นกันคาดไม่ถึงว่าเสด็จพี่จะเป็คนลักพาตัวหรงหว่านซี เมื่อเป็เช่นนี้พยานหลักฐานล้วนมีพร้อม อีกทั้งตนยังเป็ผู้เห็นกับตา จึงไม่ต้องกังวลว่าองค์รัชทายาทจะไม่ยอมรับ
แต่องค์รัชทายาทเสด็จกลับจวนและไม่ได้เสด็จออกไปที่ใด
หรือเป็เพราะแผนการของเขาไม่ได้ผลองค์รัชทายาทจึงดูไม่ออกว่าซงซวี่สารภาพอะไรกับเขา หรือ...แท้จริงแล้วหรงหว่านซีอยู่ในจวนองค์รัชทายาทดังนั้นหลังองค์รัชทายาทกลับจวนจึงไม่ได้ออกจากจวนไปจัดการอะไร
ข้อสันนิษฐานแรกเป็ไปได้น้อยยิ่งนักต่อให้เป็คนโง่ก็ยังรับรู้ถึงความสงสัยและการเสียดสีจากคำพูดของเขากอปรกับเขาจงใจออกไปส่งซงซวี่ สร้างโอกาสที่จะได้อยู่เพียงลำพังสองคนองค์รัชทายาทจะต้องนึกสงสัยอย่างแน่นอน แต่เสด็จพี่ไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดมากจนเกินไปต่อให้ดูออกว่าเขาสงสัยและจงใจเหน็บแนมแต่ไม่มีทางดูออกว่าเขาจงใจวางแผนให้เขาตกหลุมพราง
เพราะฉะนั้นจะต้องเป็ข้อสันนิษฐานอย่างหลังแน่นอน
“นางคงอยู่ในจวนองค์รัชทายาทหรือไม่ภายในจวนองค์รัชทายาทอาจมีทางลับที่สามารถทะลุไปยังสถานที่คุมขังหรงหว่านซีเพราะฉะนั้นหลังกลับจวนองค์รัชทายาทจึงไม่จำเป็ต้องออกมา” ภายในรถม้าเฉินอ๋องเอนกายพิงหมอนรองอย่างเกียจคร้านและหลับตารวบรวมสมาธิทว่าปากกลับเอ่ยเสียงเบากับตนเอง
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อมาเหตุการณ์ที่น่าจะเป็ไปได้ในท้ายที่สุดก็คือหรงหว่านซีถูกส่งตัวกลับมาอย่างเงียบเชียบ
แต่ถ้าองค์รัชทายาทมั่นใจในการอำพรางของตนยิ่งนักอาจจะใช้โอกาสนี้สร้างเื่วุ่นวาย คงไม่มีทางลอบทำอย่างลับๆแต่จะต้องส่งตัวนางกลับมาอย่างโจ่งแจ้งเพื่อให้ผู้คนรู้ว่าหรงหว่านซีถูกคนลักพาตัวไปหนึ่งคืนแล้วค่อยถูกส่งตัวกลับมา
แต่ไม่ว่าจะเป็เหตุการณ์ไหนจวนแม่ทัพจะต้องคอยจับตามองอย่างเข้มงวดเพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัย ทางฝั่งจวนองค์รัชทายาทก็คงไม่มีทางหละหลวมเช่นกัน
เฉินอ๋องนั่งรถม้ามาถึงจวนแม่ทัพและสั่งให้สารถีเอารถม้าเข้าไปไว้ในจวนทว่าตนกลับเดินออกมาและรออยู่ข้างรูปปั้นหินขนาดใหญ่รูปสิงโตบริเวณหน้าประตูจวน
แม่ทัพหรงประหลาดใจหลังได้ยินว่าเฉินอ๋องมาส่งรถม้าแต่กลับออกไปอีกแล้วแต่เขาคิดว่าเื่นี้น่าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของเฉินอ๋องเพราะไม่เช่นนั้นเขาจะมีใจมานั่งรถม้ามาส่งรถม้าหรือ? แต่เขากลับไม่รู้ว่ายามนี้เฉินอ๋องกำลังยืนพิงรูปปั้นหินรูปสิงโตอยู่หน้าจวนแม่ทัพราวกับเป็เทพผู้พิทักษ์ประตู
ในฤดูใบไม้ผลิ แสงอาทิตย์ยามคล้อยบ่ายสาดส่องลงมาแลดูเกียจคร้านไม่ต่างกันเฉินอ๋องนั่งรอโดยการพิงรูปปั้นหินรูปสิงโตจนกระทั่งแสงอาทิตย์แผดเผาบนร่างเขาจนรู้สึกร้อนบุรุษผู้ชอบง่วงเหงาหาวนอนจึงลุกขึ้นมา แต่ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใด
ทว่าไม่ปรากฏสีหน้าลังเลแต่อย่างใดเขายังคงพิงรูปปั้นหินอย่างใจเย็นดังเดิมเพียงแต่เปลี่ยนท่าทางให้รู้สึกสบายขึ้นเท่านั้น
เสด็จพี่ไม่ใช่คนที่ระงับสติอารมณ์ได้ดีนักเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกผู้อื่นสืบสาวไปถึงตัวเขาเขาจะต้องรีบรามือโดยการส่งตัวหรงหว่านซีกลับมาเพื่อจบสิ้นเื่นี้เพียงแต่เหตุใดถึงนานนัก...หรือว่า... เสด็จพี่คิดจะย่ำยีก่อนค่อยส่งกลับมา?
เฉินอ๋องส่ายหน้าเขาคิดว่าแม้ภายนอกเสด็จพี่ดูเป็คนเช่นนั้นจริงทว่าความจริงแล้วไม่ใช่ผู้ที่จะทำเื่เช่นนี้
เพราะเป็ผู้ที่มีสายเืของเชื้อพระวงศ์แคว้นเฟิงไหลเวียนอยู่ในร่างกายเช่นกันดังนั้นมีสิ่งหนึ่งที่เฉินอ๋องสามารถยืนยัน นั่นก็คือ— องค์รัชทายาทเป็ผู้หยิ่งในศักดิ์ศรี
ฉวยโอกาสขณะสตรีนางหนึ่งไม่ได้สติทำเื่เช่นนี้แม้แต่บุรุษผู้มีสายเืของคนทั่วไปยังรู้สึกว่าน่ารังเกียจ
เฉินอ๋องสามารถอดทนอดกลั้นและองค์รัชทายาทก็ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริงๆ
หลังองค์รัชทายาทกลับถึงจวนของตนจึงรีบเข้าไปในทางลับตรงผนังฝั่งทิศตะวันตกของห้องบรรทมทันทีตลอดทางเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังสนามฝึกแต่ไม่ว่าอย่างไรสนามฝึกก็ตั้งอยู่เขตชานเมือง ต่อให้เร่งฝีเท้ามากเท่าใดผนวกกับยังต้องออกคำสั่ง หากจะกินเวลากว่าหนึ่งชั่วยามย่อมเป็เื่ปกติ
พระอาทิตย์เอียงไปฝั่งทิศตะวันตกเล็กน้อยและพ้นยามอู่*ทว่าหน้าประตูจวนแม่ทัพยังคงไร้ความเคลื่อนไหวจุยเฟิงที่เฝ้าอยู่ประตูด้านหลังจวนไม่มารายงานความเคลื่อนไหวเหลยถิงที่เฝ้าอยู่นอกจวนองค์รัชทายาทก็ไม่มารายงานความเคลื่อนไหวเช่นกัน
เฉินอ๋องบิดเอวไล่ความเกียจคร้านทว่าเขายังสามารถอดกลั้น...
ทันใดนั้นได้ยินเสียงคนใช้วิชาตัวเบาเหาะเหินอยู่้าศีรษะ!
เฉินอ๋องเงยหน้าขึ้นมองพบเพียงชายชุดดำผู้หนึ่งใช้ผ้าปิดหน้ารูปร่างไม่สูงนักกำลังแบก...คนคนผู้หนึ่งที่ถูกห่อจนไม่ต่างจากบ๊ะจ่างขนาดใหญ่ มาได้เสียที
ชายชุดดำเคลื่อนไหวได้ว่องไวและระมัดระวังตัวยิ่งนักเขาดึงฟูกนอนที่ใช้ห่อกายหรงหว่านซีออก ตามด้วยโยนหรงหว่านซีลงบนพื้น
หรงหว่านซีก็ช่างโชคร้ายเหลือเกินครั้นพึ่งจะล้มกระแทกบันไดหินอ่อนขั้นแรกหลังจากนั้นยังกลิ้งตกบันไดอีกสามขึ้นก่อนจะกระแทกลงบนพื้นอีกครั้งในขณะเดียวกันผ้าห่มทำจากผ้าป่านได้คลายออก สตรีนางนี้จึงใช้ท้องฟ้าแทนผ้าห่มใช้ผืนดินแทนเตียงนอน และนอนราบอาบแสงอาทิตย์แผดเผาอยู่บนพื้นอย่างหลับสนิท...
เฉินอ๋องเอนหลังพิงรูปปั้นหินรูปสิงโตหน้าประตูจวนเขามองสตรีนางนี้ที่ยังคงนอนหลับฝันหวานอย่างเอ้อระเหย นางสวมชุดนอนสีกลีบดอกบัว ผิวขาวราวหิมะ...และ...ดูไม่ออกมาก่อนว่ารูปร่างจะน่าชมยิ่งนัก
หลังชื่นชมจนพอใจเฉินอ๋องค่อยๆ เดินมาหยุดอยู่ข้างกายหรงหว่านซีจัดการอุ้มนางในท่าเ้าสาวโดยไม่เอากระทั่งผ้าห่ม
เขาเคาะประตูจวนแม่ทัพ“เปิดประตู”
เขาไม่คิดจะตามชายชุดดำไปทั้งยังไม่คิดจะไปยื้อแย่งเอาฟูกนอนทำจากผ้าไหมที่อาจเป็หลักฐานมัดตัวองค์รัชทายาทเพราะเขารู้ว่าอีกฝ่ายมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ และเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
ชายชุดดำผู้นี้นำตัวหรงหว่านซีมาทิ้งไว้หน้าประตูจวนแม่ทัพอย่างเงียบเชียบเขาเลือกที่จะไม่แบกหรงหว่านซีไปโอ้อวดกลางตลาดเพื่อเชิญชวนให้ผู้คนพบเห็น แสดงให้เห็นว่าองค์รัชทายาทไม่มีความมั่นใจมากพอ
ครั้งนี้เสด็จพี่ถูกข่มขู่จนหวาดกลัวจริงๆเสียแล้ว เพราะตีตนไปก่อนไข้ ไม่เช่นนั้นแล้วเดิมทีก็ควรจะชนะ
เมื่อเห็นเฉินอ๋องเตี้ยนเซี่ยพาคุณหนูของตนกลับมาเด็กรับใช้ที่อยู่ในลานพลันร้องะโไปตลอดทาง “นายท่าน คุณหนูกลับมาแล้วขอรับ...”
เด็กรับใช้ไปเก็บผ้าห่มจากหน้าประตูจวนจัดการเก็บกวาดหน้าประตูจวนแม้ทัพจนเกลี้ยงเกลา คล้ายเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม่ทัพหรงเป็คนเก็บตัวเมื่อครั้งจะสร้างจวนจึงเลือกตรอกที่ไม่คึกคักจนสามารถเรียกได้ว่าเป็ตรอกที่ห่างไกลจากผู้คนเนื่องจากรอบข้างมีผู้คนสัญจรไปมาน้อย เพราะการเก็บตัว ครั้งนี้จึงถือเป็โชคดีเพราะขณะหรงหว่านซีถูกโยนกลับมาไว้ที่นี่นอกจากเฉินอ๋องก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นเหตุการณ์
หรงชิงได้ยินคนในจวนเข้ามารายงานจึงรีบออกมารับผลคือพบว่าเฉินอ๋องอุ้มบุตรสาวของตนกลับมา!การที่เฉินอ๋องอุ้มบุตรสาวเช่นนี้ดูจะไม่เหมาะสมนักแต่เมื่อคิดว่าบุตรสาวของตนถูกยาสลบจุ้ยเมิ่งฉาง ยามนี้กำลังหลับใหลไม่รู้สึกตัวหากเฉินอ๋องจะอุ้มเข้ามาก็สมเหตุสมผลอยู่บ้าง
นอกจากนั้นบนกายของหรงหว่านซียังมีอาภรณ์ของเฉินอ๋องคลุมเอาไว้ย่อมดีกว่าผ้าห่มที่อยู่ในมือเด็กรับใช้ ถือว่าใช้ได้ไม่น้อย
แท้จริงแล้วเฉินอ๋องไม่คิดว่าจะต้องใช้อาภรณ์คลุมกายให้หรงหว่านซีแต่หลังจากเด็กรับใช้ผู้นั้นร้องะโ ผู้คนในจวนที่ออกมาดูกลับพากันรีบหลบคงไม่ดีนักหากจะให้สตรีนางนี้สวมเพียงชุดนอนยามอยู่ต่อหน้าข้ารับใช้ด้วยเหตุนี้เขาถึงถอดเสื้อคลุมของตนมาห่อกายของนางอย่างแ่า
*ยามอู่ เวลา 11.00 น. – 13.00 น. เป็่ที่แสงสว่างเริ่มลดลงแต่ม้ายังคงวิ่งเป็พันลี้ ม้าเป็ตัวแทนของความครึ้ม จึงเรียกเวลานี้ว่ายามมะเมียหรือม้า