แม้จะได้ยินเสียแต่ต้นว่าลาถีเท่อมีพละกำลังมาก กระนั้นโม่จ้านยังคงถูกทำให้ตกตะลึงอยู่ดี --- หินก้อนใหญ่ที่สูงเทียบเท่ากับตนถูกลาถีเท่ออุ้มไปไว้ริมหน้าผาด้วยตัวคนเดียว กระทั่งก่อหินเป็ูเาลูกเล็ก ลาถีเท่อแลดูมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
โม่จ้านมองจนตาเป็ประกาย เขาคิดว่าตนเก็บสมบัติล้ำค่าได้เสียแล้ว ทันใดนั้นพลันรีบดึงลาถีเท่อมาบีบๆ ตรงนั้นคลำๆ ตรงนี้ คิดอยากจะดูว่าแท้จริงแล้วร่างกายของเด็กหนุ่มเผ่าหมานมีสิ่งใดต่างจากคนทั่วไป
“...โม่เจ๋อเอ่อร์! เ้าทำอันใด!?”
เก๋อจือที่หอบหายใจเพราะเพิ่งปีนเขาขึ้นมากลับต้องพบกับภาพชวนเสียสติ --- มือข้างซ้ายของโม่จ้านคว้าท่อนแขนใหญ่ของเก๋อจือ มือข้างขวาทาบลงบนกล้ามหน้าอกของลาถีเท่อ
“ดูว่าร่างกายลาถีเท่อมีสิ่งใดต่างจากพวกเรา จิ๊ๆ มัดกล้ามช่างมิเลวจริงเชียว...”
โม่จ้านเลียริมฝีปากอย่างคนถ่อยพลางบีบกล้ามอกแน่นกำยำของลาถีเท่อ เด็กหนุ่มเผ่าหมานผู้น่าสงสารถึงกับยืนโง่เซ่อโดยสิ้นเชิง
“เ้าปล่อยมือ!”
เก๋อจือพุ่งเข้ามาข้างหน้าด้วยสีหน้าขุ่นเคืองก่อนใช้คทาเวทกันคนทั้งสองออกจากกัน
โม่จ้านหลบอย่างคล่องแคล่วก่อนจะเผยรอยยิ้มยียวนให้เก๋อจือด้วยสีหน้ามีความสุข
“ข้ากำลังตรวจร่างกายลูกศิษย์ ข้ารับใช้อย่างเ้ามีสิทธิ์อันใดมาบอกให้ข้าหยุด?”
“หา? ลูกศิษย์? พวกเ้า...มิใช่! เ้าเ้าเ้าใช้อำนาจหาผลประโยชน์ใส่ตน! อีกอย่างข้ามิใช้ข้ารับใช้ของเ้า!”
เก๋อจือโบกคทาเวทไปมา ตึงเครียดเสียจนพูดจาสะเปะสะปะ
“ข้าใช้อำนาจหาประโยชน์ใส่ตน? แค่เพียงตรวจร่างกายเท่านั้น”
โม่จ้านเดินอ้อมหนึ่งรอบก่อนจะกลับมายังข้างกายลาถีเท่อที่อยู่ในสถานะปิดการติดต่อสื่อสารั้แ่ต้นจนจบ คิดอยากจะยื่นมือออกไปอีกครั้ง
“ในฐานะสหายที่ดีที่สุดของเขา ข้ามิมีทางยอมให้คนไร้สมบัติผู้ดีเช่นเ้าแตะต้องเขา!”
เก๋อจือร้องตะคอกเสียงดัง เพลิงโทสะภายในแววตาลุกโชนยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้อ...จิ๊ๆ...”
โม่จ้านหุบยิ้ม ทว่าในสายตายังคงปรากฏรอยยิ้มอย่างชัดเจน
มิใช่เื่ง่ายกว่าลาถีเท่อที่อยู่ด้านข้างจะได้สติกลับมาจากความโง่เซ่อ ทว่ากลับถูกหนึ่งประโยคนี้ของเก๋อจือตบจนมึนงง มิรู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี
“...เอ่อ เก๋อจือ โม่เจ๋อเอ่อร์พูดเื่จริง เขาบอกว่าจะสอนยุทธศาสตร์การต่อสู้ให้ข้า”
สีหน้าของเก๋อจือมิต่างกับลาถีเท่อเมื่อสิบกว่านาทีก่อนแม้แต่น้อย เพียงแต่ระดับความใของดวงตากลมโตเกินจริงกว่าสักหน่อย คำพูดของโม่จ้านเชื่อได้หรือไม่ยังเป็เื่ที่มิอาจรู้ กระนั้นตนรู้ว่าลาถีเท่อมิเคยโกหกตน
“เ้า เ้ามิกลัวว่าจะถูกบรรพบุรุษหรืออดีตเ้านายตามฆ่าหรืออย่างไร?!”
จู่ๆ เสียงใสของเก๋อจือพลันสูงขึ้นแปดระดับ ใเสียจนเส้นเสียงเปลี่ยนเสียแล้ว
...เอาเถอะ กระทั่งประโยคคำถามถัดไปยังเหมือนกันเช่นนั้น
เมื่อได้ฟังคำอธิบายอย่างละเอียดจากลาถีเท่อ ในที่สุดเก๋อจือจึงเข้าใจสาเหตุ เพียงแต่เื่จู่โจมหน้าอกที่เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ชั่ววูบ โม่จ้านทำได้เพียงอธิบายตามความจริงว่า้าตรวจสอบสภาพร่างกายของลาถีเท่อเท่านั้น
“ขอ ขออภัย เป็ข้าที่เข้าใจผิดเอง” เก๋อจือกัดริมฝีปากเอ่ยอย่างมิค่อยพอใจ สายตาชำเลืองมองไปทางอื่น
“การออกหน้าแทนเพื่อนนับเป็เื่ที่ดี เพียงแต่ ก่อนลงไม้ลงมือ ทางที่ดีควรจะถามให้ชัดเจนเสียก่อน”
โม่จ้านโบกมืออย่างมินึกถือสาแล้วเดินลงเขาไป ทว่าในเสี้ยวนาทีที่เดินเฉียดผ่านคนทั้งสอง โม่จ้านกลับขยับเข้าใกล้ใบหูของเก๋อจือและกระซิบเสียงเบาหนึ่งประโยค ทำเอาเด็กหนุ่มผมแดงถึงกับใจหล่นวูบโดยพลัน
“หากข้าแสดงความรักกับเขา รอกระทั่งเขาตกลงค่อยกดเขาลงบนเตียง เ้ายังจะมีสิทธิ์อันใดมาขวางข้า คุณชายน้อยเก๋อจือ?”
......
กระทั่งถึงเวลาอาหารเย็น ฝีเท้าของเก๋อจือล้วนแต่เบาหวิว
ข้างกองไฟ โม่จ้านอธิบายพื้นฐานการต่อสู้ให้ลาถีเท่อฟังอย่างมีหลักการ ลาถีเท่อรวบรวมสมาธิฟังและคอยจดเอาไว้เป็ครั้งคราว เก๋อจือที่นั่งอยู่ด้านข้างคิดอยากจะเอ่ยแทรกหลายครา ทว่าตนมิมีความรู้เื่การต่อสู้แม้แต่น้อย อีกทั้งยังมิมีทางเลือก ท้ายที่สุดทำได้เพียงปล่อยม่านกระโจมลงอย่างเงียบๆ
ประโยคนั้นของโม่จ้านกำลังยั่วยุตนอย่างเห็นได้ชัด ทว่านอกจากรู้สึกเย็นเยียบเข้ากระดูก นึกมิถึงว่าตนจะมิมีเรี่ยวแรงโต้กลับสักนิด
หากเป็เื่จริง ตนจะมีสิทธิ์อันใด? เข้าไปก้าวก่ายเื่ความรักของผู้อื่นในฐานะเพื่อนอย่างนั้นหรือ? เก๋อจือจิตใจว้าวุ่น เขาใช้ผ้าขนหนูคลุมหัวเพื่อให้ตนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด
ั้แ่เด็กจนโต สิ่งที่ตนได้ฟังมากที่สุดยามอยู่ในบ้านก็คือเื่เกี่ยวกับบรรดาศักดิ์และเื่วงศ์ตระกูล ในนิยายภาพหลากสีบอกว่าทันทีที่ครอบครัวยากจนให้กำเนิดเด็กที่มีพร์ด้านพลังเวทสูงก็จะทะยานขึ้นสู่ตำแหน่งสูงทันที ก้าวเข้าสู่ชนชั้นสูง ทว่าหากเป็ตระกูลสูงศักดิ์ที่มีบรรดาศักดิ์ เมื่อมีบุตรที่มีพร์ด้านพลังเวทสูงก็จะอบรมบ่มเพาะและให้การสนับสนุน
กระนั้นทั้งๆ ที่พร์ด้านพลังเวทของตนก็สูงมิน้อย เหตุใดท่านพ่อจึงยังยึดมั่นในตัวท่านคู่เล่อนัก?
หลังจากครั้งหนึ่งที่ตนแอบฟังท่านพ่อกับท่านแม่ทะเลาะกัน ในที่สุดเก๋อจือจึงอดเอ่ยถามหนึ่งคำถามนี้ออกไปมิได้
“เพราะนอกจากเ้ามีพร์ด้านพลังเวทก็มิมีอันใดสักอย่าง การวางตัวเข้าสังคมทั้งการพูดการจาล้วนแต่เหมือนเด็ก มิเห็นถึงความสามารถที่จะบริหารกิลด์ได้สักนิด”
ความสามารถด้านพลังเวทของลอร์ดเคอซือธรรมดา ทว่าความสามารถด้านการจัดการโดดเด่น แน่นอนว่าต้องทุ่มเทความคิดจิตใจทั้งหมดให้กับการสืบทอดตำแหน่งผู้นำสาขาย่อยของกิลด์ ในสายตาของเขา ความดีความชอบจากการศึกในยุคสงบสุขก็เหมือนกับภาพลวงตาที่มองมิเห็น เมื่อเทียบกับการฝากความหวังไว้กับการเลื่อนตำแหน่งจอมเวท มิสู้วางแผนรักษาอำนาจภายในมือเอาไว้
สำหรับเด็กคนหนึ่ง สิ่งที่โหดร้ายมากที่สุดก็คือการถูกบิดาปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง เก๋อจือร้องไห้ครั้งใหญ่เพราะเื่นี้ อีกทั้งยังมิรอให้ยอมรับความจริงพลันบังเกิดสายฟ้าในวันฟ้าครึ้มฟาดลงบนตัวเขาอย่างแรงอีกครั้ง — หลังท่านแม่ที่เดิมทีร่างกายอ่อนแอทะเลาะกับท่านพ่อก็พลันล้มป่วยมิดีขึ้น หลังจากนั้นตรวจพบโรคร้ายถึงแก่ชีวิตที่เก็บซ่อนอาการมานานปี เหลือเวลามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเพียงมินาน
ก่อนท่านแม่จากไปมิกี่เดือน เก๋อจือมักแอบไปร้องไห้อยู่มุมห้องเพียงลำพัง หลังร้องไห้เสร็จก็ปาดน้ำตาจนแห้งมิให้มารดาเห็น วันเวลามืดมนเช่นนั้น หากมิใช่เพราะมีลาถีเท่อคอยอยู่ข้างกาย ฟังตนระบายและร้องไห้อย่างอ่อนโยน เกรงว่าตนคงจะต้องอัดอั้นจนเสียสติไปเสียแล้ว
เก๋อจือที่หมดอาลัยตายอยากรับมือกับทุกอย่างอย่างพอเป็พิธี จนท้ายที่สุดหวาเอ่อร์ถูกปลดออกจากตำแหน่งพ่อบ้าน เมื่อได้ยินจากเขาว่าท่านพ่อคิดอยากจะใช้แผนการกับตนเพื่อสนับสนุนท่านพี่ เขาจึงแสร้งทำราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นและกลับไปยังสถาบันอย่างเงียบสงบ ใบหน้ายิ้มแย้มของเหล่าสหายยากแยกแยะจริงเท็จ ทว่าตนมิมีกะจิตกะใจจะไปคล้อยตาม
นับแต่นั้นมา ตนก็ยอมรับแล้วว่าลาถีเท่อคือสหายที่ดีที่สุด มีเพียงยามอยู่ต่อหน้าใบหน้าแย้มยิ้มของลาถีเท่อ ตนถึงยอมลดกำแพงในใจโดยมิคิดป้องกันใดๆ
หากเป็สหายสนิท เหตุใดตนต้องขัดขวางมิให้โม่เจ๋อเอ่อร์แสดงความรักกับลาถีเท่อเล่า? ถึงแม้ทั้งสองฝ่ายจะเพศเดียวกัน กระนั้นหากลาถีเท่อได้รับความรัก ตนควรจะดีใจด้วยจึงจะถูก หากตนแต่งงานมีลูก ลาถีเท่อก็จะต้องอวยพรให้ตนเช่นกันกระมัง
เก๋อจืออุดอู้อยู่ในผ้าห่มเป็เวลาครึ่งค่อนวัน กลับนึกภาพภรรยาในอนาคตของตนมิออก อีกทั้งยังร้อนจนเหงื่อโทรมกาย ทำได้เพียงเปิดผ้าออกเพื่อสูดอากาศ ถัดจากอากาศสดชื่นที่กระทบเข้ามาก็คือเสียงประหลาดที่คล้ายจะมีก็เหมือนมิมีที่ดังเข้ามาในหูของเก๋อจือ
...โม่เจ๋อเอ่อร์กับลาถีเท่อมิได้กำลังเรียนกันอยู่หรืออย่างไร? เหตุใดจึงได้ยินคล้ายเสียงคราง? ทางฝั่งด้านนอกกระโจมพวกเขาทำสิ่งใดกัน?
เก๋อจือตื่นตระหนกจนหัวใจบีบเข้าหากัน ก่อนตัดสินใจแง้มเปิดม่านกระโจมออกแ่เบา
ร่างทั้งสองร่างแนบชิดเข้าด้วยกัน ท่าทางสนิทสนมอย่างยิ่ง เสียงครางทุ้มต่ำของลาถีเท่อดังขึ้นเป็ครั้งคราว ขณะเดียวกันยังเจือเสียงหอบหายใจด้วยความเ็ป
เส้นเอ็นในหัวสมองของเก๋อจือถึงกับขาดผึงโดยสิ้นเชิงเสียแล้ว