เก๋อจือปล่อยประตูผ้าลงด้วยกายสั่นเทา มือเย็นเฉียบทั้งสองข้างกำพื้นแน่นโดยมิตั้งใจ
ไม่ มิควรเป็เช่นนี้! หากเป็เพียงสหายที่ดีต่อกัน เหตุใดตนต้องใส่ใจถึงเพียงนี้? เป็ไปได้หรือไม่ว่าความรู้สึกอยากไว้เพียงผู้เดียวที่เกิดขึ้นระหว่างสหายจะทำให้รู้สึกมิสบายใจรุนแรงเช่นนี้เหมือนกัน?
หรือจะบอกว่า แท้จริงแล้วตน...
เก๋อจือกายสั่นเทา คิดอยากจะข่มความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้ลงไป ทว่าภาพก่อนหน้ากลับเข้าจู่โจมจนสติพังทลาย ฝืนะโโลดเต้นอยู่ในสมองจนกลายเป็ภาพหมุนเวียนสับเปลี่ยนกันไป
ร่างกายของเด็กหนุ่มเผ่าหมานต้านทานอากาศหนาวได้ดีอย่างยิ่ง คุ้นชินกับการเปลือยท่อนบน ยามเพิ่งรู้จักกับลาถีเท่อ เก๋อจือยืนเคาะประตูอยู่ด้านนอกเสียนาน ลาถีเท่อที่สวมเพียงผ้าถุงทำจากหนังสัตว์จึงเปิดประตูให้ตนอย่างระแวดระวัง ตนเคยเอ่ยกับเขาว่า “เ้าจะป่วยเอาได้ และหากผู้อื่นเห็นเข้าก็จะดูมิดีนักเช่นกัน” นับแต่นั้นมา ยามลาถีเท่ออยู่ในบ้านก็จะสวมเสื้อและกางเกงชั้นในเพิ่ม
ผลสุดท้ายเล่า หลังจากสนิทกัน โดยส่วนมากแล้วกลับเป็ตนที่วิ่งตัวเปลือยอยู่ในบ้านของลาถีเท่อ
ครั้งแรกที่ขอค้างแรมบ้านลาถีเท่อเป็เพราะฝนตกหนัก อีกทั้งเก๋อจือยังมิมีชุดสำรอง ทำได้เพียงสวมเสื้อของลาถีเท่อ วันที่สองยามหวาเอ่อร์มารับตน เมื่อเห็นเสื้อขนาดใหญ่หลวมโพรกพลันอดหัวเราะออกเสียงมิได้ ทำเอาเก๋อจือถึงกับกัดพ่อบ้านคำหนึ่งอย่างแรง
และนับั้แ่วันนั้นเป็ต้นมา ภายในตู้เสื้อผ้าของลาถีเท่อก็ปรากฏเสื้อผ้าขนาดพอเหมาะกับตนจำนวนมาก คนเลินเล่ออย่างตนยังนึกว่าหวาเอ่อร์เป็ผู้ส่งมา มิได้สังเกตสักนิดว่าหวาเอ่อร์มามือเปล่าทุกครั้ง
มิรู้ว่าั้แ่เมื่อใดกัน ท่าทีที่ลาถีเท่อมีต่อตนพลันเริ่มเปลี่ยนเป็ลึกซึ้งจนตนอดถามมิได้ ทว่าคำตอบที่ได้กลับมีเพียงแค่ “เ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ยามลาถีเท่อสบตากับตนตรงๆ มักจะเบนสายตาออกห่างอย่างน่าประหลาด ทว่ายามตนทำสิ่งอื่น ลาถีเท่อกลับจ้องมองตนโดยมิละสายตา
เมื่อมิกี่เดือนก่อน เพราะตนเหนื่อยเกินไปจึงเผลอหลับในห้องอาบน้ำ รู้สึกตัวตื่นเพราะลาถีเท่อที่บุกเข้ามาก่อนจะตะเกียกตะกายลุกขึ้น ลาถีเท่อนิ่งงันไปพักหนึ่งกลับกุมจมูกปิดประตู ยามนั้นตนยังหัวเราะเยาะว่าเขาอัดอั้นนานเกินไป เห็นบุรุษก็ยังเืกำเดาไหล พอยามนี้มาลองนึกดูแล้ว...
ในบ้านของลาถีเท่อมีห้องนอนของตน ในตู้เสื้อผ้าของลาถีเท่อก็มีเสื้อผ้าที่ซื้อไว้ให้ตน และในห้องอาบน้ำของลาถีเท่อก็ยังมีผ้าเช็ดตัวสีแดงที่ตนชอบเช่นกัน นอกจากนั้นลาถีเท่อยังนำเครื่องหมายแสดงระดับจอมเวทระดับต่ำที่ตนถอดออกมาเช็ดจนสะอาดเกลี้ยงเกลาและแขวนไว้บนกำแพงอย่างตั้งอกตั้งใจ...
ทันใดนั้นเก๋อจือพลันรู้แล้วว่าตนเป็คนเลวทรามใหญ่หลวง อีกฝ่ายทำถึงขั้นนี้แล้ว นึกมิถึงว่าตนจะมิรับรู้แม้แต่น้อย มิแน่ว่าลาถีเท่อผู้จิตใจละเอียดอ่อนอาจเข้าใจว่าความปัญญาอ่อนของตนคือการปฏิเสธไปแล้ว ตัดใจยอมเป็สหายที่ดีไปชั่วชีวิต
...มิสู้บอกว่าตนเป็ผู้ผลักไสอีกฝ่ายออกไปเสียมากกว่า
ไม่ มิใช่เช่นนี้ มิอยากให้เป็เช่นนี้ มิเอาเช่นนี้!
มิใช่การอยากเพียงผู้เดียวแสนจอมปลอมที่เกิดขึ้นระหว่างสหายอันใดนั่น ทว่าเป็ความรักอย่างแท้จริง!
เก๋อจือคิดว่าตนเองใกล้จะเสียสติแล้ว เหตุใดตนจึงรู้สึกช้าถึงเพียงนี้? ตอนนี้ยังทันการหรือไม่?
ยามนี้ข้ามิมีสิทธิ์อันใด แต่ข้าสามารถนำสิทธิ์นั้นมาได้! ยังทันการๆ จำต้องดูชะตาฟ้าลิขิตแล้ว
หลังสูดอากาศหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เก๋อจือเปิดประตูผ้าพลางปิดเปลือกตาบุกเข้าไปหาคนทั้งสอง ตนมิสนใจเวลา สถานที่หรือความรู้สึกของผู้อยู่ในเหตุการณ์แม้แต่น้อย เด็กหนุ่มผมแดงโก่งคอะโเสียงสูงจนถึงกับเสียงแตกเอ่ยความในใจที่ไร้การปรุงแต่งออกไป
“ลาถีเท่อ!! ข้า ข้าชอบเ้า!! ได้โปรด...ได้โปรดคบ.... กับข้า.....”
เปลวเพลิงบิดตัวลิงโลดด้วยความปิติ สายลมอ่อนยามค่ำคืนพัดผ่านป่าไม้ เกิดเป็เสียงดังซู่ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบ ดวงตาของเก๋อจือยังคงมิลืมขึ้น ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นเรื่อยๆ น้ำเสียงแ่เบาลง ท้ายที่สุดก็ขาดไปมิได้เอ่ยคำสุดท้ายออกมา
กระนั้น แน่นอนว่าลาถีเท่อกับโม่จ้านเข้าใจความหมายในคำพูดแล้ว
“เก๋อจือ...เ้า...”
ลาถีเท่อตกตะลึงเป็อันดับแรก ตามด้วยร่างทั้งร่างเริ่มสั่นเทา พลิกตัวขึ้นมาคร่อมอยู่บนกายโม่จ้านอย่างฉับพลัน จากนั้นถลาเข้าไปกอดเก๋อจือเอาไว้
“ข้า ข้ามิรู้ว่ายังทันหรือไม่ แต่ข้าอยากพูด ข้าก็ชอบเ้าเช่นกัน! เ้าดีต่อข้าถึงเพียงนั้น เป็ข้าที่โง่เกินไป! ขออภัยด้วย!”
น้ำเสียงที่หงอยเหงาของเก๋อจือเริ่มมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง ทว่ายังคงมิกล้าลืมตา
“เก๋อจือ มิเป็อันใด หากเป็เ้า มิว่าเมื่อใดก็ทันทั้งนั้น...”
ดวงตาของลาถีเท่อคลอหยาดน้ำ โอบกอดเก๋อจือที่อยู่ตรงหน้าเข้าสู่อ้อมแขนอย่างแ่า
เมื่อได้ััความอบอุ่นในอ้อมกอดของอีกฝ่าย ช่างคล้ายกับในโลกนี้มีเพียงประกายโชติ่ของคนทั้งสองที่เผยความจริงใจต่อกัน
“...คือว่า ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าการขัดจังหวะความรักของผู้อื่นมิดี แต่พวกเราจะต่อกันได้แล้วหรือไม่?”
เสียงของโม่จ้านลอยเข้ามาเบาๆ การแสดงความหวานอย่างมิมีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ ทำเอาผู้อื่นสำลักยิ่งกว่าฉากน้ำเน่าในหนังเกาหลีตั้งมากโข
ต่อ?! ยังจะต่ออีก?! ยังจะต่อหลังจากผู้อื่นสารภาพรักสำเร็จ?!
เก๋อจือลืมตาด้วยความโมโห พบว่าคนตรงหน้ากำลังมองตนด้วยสายตาเปี่ยมอารมณ์รัก เืฝาดที่เพิ่งเลือนหายไปถึงกับเห่อขึ้นมาอีกครั้งอย่างฉับพลัน
ขณะเก๋อจือที่กำลังจิตใจฟุ้งซ่านคิดว่าควรจะจูบดีหรือไม่ กลับพบว่าลาถีเท่อค่อยๆ ดันตนออกและกลับไปนอนอยู่ใต้ร่างโม่จ้านอย่างว่าง่ายอีกครั้ง
...?!
เก๋อจือตาค้างขณะมองโม่จ้านพลิกกลับมานั่งคร่อมบนกายลาถีเท่ออีกครั้ง มือทั้งสองข้างแยกต้นขาของลาถีเท่อออกจากกัน จากนั้นเริ่มออกแรงดัน ลาถีเท่อกัดฟันอดทน ส่วนลึกในลำคอมีเสียงครวญด้วยความเ็ปดังออกมา
มัดกล้ามบนท่อนแขนของโม่จ้านนูนขึ้น กดหัวเข่าของลาถีเท่อเบาบ้างหนักบ้าง พยายามควบคุมแรงหนักเบาด้วยความตึงเครียดเป็อย่างยิ่ง หยาดเหงื่อไหลลงจากหน้าผากเป็ครั้งคราว ร่างคนทั้งสองแนบชิดกันอย่างสนิทสนม ทว่าสีหน้ากลับนิ่งขรึมและเอาจริงเอาจัง คล้ายกับกำลังดำเนินพิธีกรรมประหลาด
เก๋อจือรู้สึกว่าหัวของตนใกล้จะะเิเต็มที
ผู้ใดก็ได้บอกข้าที หลังจากที่ข้าสารภาพรักและนับได้ว่าประสบความสำเร็จ แล้ว พวกเขากำลังทำสิ่งใดกันอยู่?
หลังผ่านไปนานนับหนึ่งจิบชา คนทั้งสองจึงลุกขึ้นและเริ่มปาดเหงื่อ ลาถีเท่อเดินเข้ามาจับจูงมือของเก๋อจือ ดึงเด็กหนุ่มผมแดงที่ตกอยู่ภายใต้สภาพโง่เซ่อโดยสิ้นเชิงมายังข้างกองไฟ
โม่จ้านเหลือบมองเก๋อจือที่อยู่ในสภาพเบิกตาอ้าปากค้างปราดหนึ่งแล้วกระทุ้งลาถีเท่อเบาๆ
“...เขาเป็อันใดไป? ดีใจมากเกินไปเพราะสารภาพรักสำเร็จ ตื่นเต้นจนโง่เสียแล้ว?”
ลาถีเท่อเอ่ยด้วยความงงงวย “คงเป็เช่นนั้นกระมัง..หรือพวกเราควรจะกลับไปหาบาทหลวงเสียก่อน?”
....
ย้อนเวลากลับไปเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้า
“เก๋อจือจะนอนเร็วเกินไปแล้วกระมัง ร่างกายของจอมเวทเพียงปีนเขายังเหนื่อยจนเป็เช่นนี้ คิดว่ามิค่อยดีเท่าใดนัก” ลาถีเท่อปิดสมุดบันทึกเข้าหากัน
ข้าว่ามิใช่เหนื่อยกาย แต่เป็เพราะเหนื่อยใจเสียมากกว่า
โม่จ้านกลั้นยิ้มพลางหวนนึกถึงแผ่นหลังอ้างว้างหน้ากระโจม คาดเดาว่าเก๋อจือคงจะชอบผู้ที่อยู่ตรงหน้ามิต่างกัน หวังว่าการยั่วยุเกินขอบเขตของตนจะช่วยอันใดได้บ้าง จะได้กระตุ้นผู้ป่วยความรู้สึกช้าผู้นั้นสักหน่อย
โม่จ้านล้างมือพลางเอ่ยถามเด็กหนุ่มเผ่าหมาน “จะทำยามนี้หรือจะทำวันพรุ่งนี้?”
ลาถีเท่อใคร่ครวญ “ยามนี้เถิด วันพรุ่งนี้จะได้เริ่มเรียนอย่างเป็ระบบ”
ดังนั้นภาพที่เก๋อจือเห็นจากซอกม่านกระโจมก็คือภาพเช่นนี้ โม่จ้านนั่งอยู่บนหลังของลาถีเท่อ ลาถีเท่อหมอบอยู่ใต้ร่างของโม่จ้าน มือข้างหนึ่งของโม่จ้านกดลงบนไหล่ของลาถีเท่อ มืออีกข้างหนึ่งดึงท่อนแขนก่อนค่อยๆ ออกแรง ท่อนล่างของคนทั้งสองแนบสนิทกันเป็เวลานาน
ลาถีเท่ออดกลั้นความเ็ป หวนนึกถึงสิ่งที่โม่จ้านเอ่ยเมื่อครู่
ผู้ฝึกวิชาการทหาร ทางที่ดีที่สุดควรจะ “ดึง” กล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อสำคัญบนกายให้ยืดเสียแต่ยังเด็ก ทำให้ข้อต่อสามารถบิดหมุนในองศาที่มากขึ้นกว่าเดิม องศาการตวัดแขนและถีบเท้ากว้างกว่าเดิม การส่งแรงก็จะคล่องกว่าเดิมเช่นกัน สามารถได้เปรียบกว่าอีกฝ่ายในการต่อสู้ระยะประชิด
“ร่างกายของคนเรามิเหมือนกัน อาจจะเจ็บมากสักหน่อย ดังนั้นเ้าต้องอดทนเอาไว้” โม่จ้านกำชับเช่นนี้
เมื่อเทียบกับโม่จ้านที่รู้สึกตื่นเต้น ลาถีเท่อกลับผ่อนคลายกว่าสักหน่อย
ยามดึงไหล่มิได้รู้สึกเจ็บเท่าที่คิดเอาไว้ แต่กลับทั้งปวดเมื่อยและฝืดขัด เสมือนกรอกน้ำมะนาวที่เปรี้ยวจนเข็ดฟัน หลังจากดึงไหล่สำเร็จ ลาถีเท่อหมุนท่อนแขน รู้สึกราวกับไหล่ที่กำลังจะหลุดถูกยึดไว้ด้วยกาวน้ำน่าอัศจรรย์ รู้สึกประหลาดจนมิอาจอธิบายได้
“รู้สึกมิชินมากใช่หรือไม่? พอเริ่มชินก็จะดีเอง”
โม่จ้านตบมือ บอกใบ้ให้ลาถีเท่อนอนหงายลง
“หลังจากนี้ก็คือส่วนสะโพก อย่าได้ขยับซี้ซั้ว”
ครั้งนี้รู้สึกเจ็บจริงเสียแล้ว ลาถีเท่ออดส่งเสียงครวญออกมามิได้ กัดฟันอดทนรับความเ็ปจากการที่กล้ามเนื้อถูกฝืนดึง โม่จ้านกัดฟันพลางควบคุมแรงบนมือเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรก็มินับว่าตนเป็มืออาชีพ หากทำให้ศิษย์ของตนเองาเ็คงต้องปวดใจเสียแล้ว
ในขณะที่คนทั้งสองกำลังตั้งสมาธิเตรียมเพิ่มแรง หลังหนึ่งเสียง “คำรามด้วยความโกรธ” ของเก๋อจือที่โผล่มาอย่างกะทันหัน เกือบทำให้โม่จ้านที่ตึงเครียดถึงกับจุกเสียดอก อีกทั้งยังเกือบทำให้ลาถีเท่อที่กำลังใจจดใจจ่อรอรับมือกับความเ็ปใจนพ่น “น้ำ” ออกมา