“ก่อนนอนเมื่อคืนข้าเอาแต่คิดอยู่ตลอด โม่เจ๋อเอ่อร์สามารถใช้ลักษณะสภาพแวดล้อมต่อกรกับลูกนก เช่นนั้นข้าจะหาสภาพแวดล้อมที่สามารถจำกัดขอบเขตของอินทรีสายฟ้าตัวโตได้หรือไม่”
ลาถีเท่อชี้หินใต้พื้นดินก่อนทำมือเป็รูปวงกลมขนาดใหญ่
“เมื่อเช้าข้าพาเก๋อจือไปหาดู พบว่ามีถ้ำขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ข้าคิดว่าสามารถใช้ที่นั่นแทนกรง”
โม่จ้านพยักหน้าทั้งรอยยิ้มพลางใส่ยาให้ตนเอง “เช่นนั้น้าให้ข้าทำสิ่งใด?”
“เ้าเพียงช่วยโยนมิกี่ม้วนนี่เป็พอ”
ลาถีเท่อส่งม้วนคัมภีร์มัดด้วยเชือกให้โม่จ้าน จากนั้นคลี่ยิ้มหันไปทางเก๋อจือ
“ผู้แข็งแกร่งระดับหัวหน้าอัศวินมาช่วยทำภารกิจจบการศึกษาเช่นนี้ เห็นทีคงมิต้องเป็กังวลปัญหาด้านความปลอดภัยแล้วกระมัง”
“...ปัญหาด้านความปลอดภัย? ปัญหาด้านความปลอดภัยอันใด?” โม่จ้านแสดงออกว่างุนงงอย่างมาก
เดิมทีมิใช่เพียงโม่จ้าน ป่าที่ถูกกล่าวขานว่าคือ์ของนักล่าเงียบสงัด กระทั่งเก๋อจือที่โง่ซื่อยังััได้ถึงสถานการณ์มิปกติ การที่สัตว์ป่าขนาดกลางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในที่พักพิง สาเหตุมีเพียงสามประการ ประการแรกเกิดภัยธรรมชาติทำให้มิอาจอาศัยอยู่ต่อไป ประการที่สองมนุษย์ออกล่าสัตว์ครั้งใหญ่เพื่อผืนป่า ทว่าเห็นได้ชัดว่ามิใช่ทั้งสองสาเหตุนี้ --- กิ่งก้านสาขาของต้นไม้อุดมสมบูรณ์ ลำธารใสเห็นก้นบึ้ง มิคล้ายกับเกิดโรคระบาดหรือภัยธรรมชาติแต่อย่างใด คนทั้งสามเดินทางมาหลายวันกลับยังมิได้กลิ่นกระทั่งกลิ่นคาวเื มิคล้ายกับเป็การบุกเบิกถางพงแต่อย่างใด
เช่นนั้นสถานการณ์ทั้งหมดชี้นำไปยังความเป็ไปได้หนึ่งอย่าง อาณาเขตนี้มีสัตว์ปีศาจบกที่มาจากถิ่นอื่น สัตว์ปีศาจบกชนิดอื่นหวาดกลัวพลังของมันจึงได้พากันย้ายถิ่นฐาน
ลาถีเท่อคิดว่าความเป็ไปได้นี้คือความรู้ทั่วไป โม่จ้านกล้าย่างกรายเข้ามาแสดงว่าจะต้องพึ่งความสามารถของตนเองได้ ดังนั้นจึงมิได้อธิบายอย่างละเอียด ทางด้านเก๋อจือกลับมิต่างกับนักศึกษาที่เพิ่งออกจากรั้วมหาวิทยาลัยที่มีเป้าหมายสูงส่งทว่ากลับมีความสามารถที่น้อยนิด คิดเข้าข้างตนเองว่าตนสามารถจัดการสัตว์ปีศาจระดับต่ำ ต่อให้บังเอิญพบสัตว์ปีศาจระดับกลางก็ยังวิ่งหนีได้โดยมิเป็ปัญหา ผลคือแน่นอนว่าเสียเปรียบครั้งใหญ่ให้กับกวางเกราะน้ำแข็งจนศรเกือบแทงทะลุหัวใจ
ดังคำกล่าวที่ว่าเสือสองตัวมิอาจอยู่ถ้ำเดียวกัน เมื่อมีสัตว์ปีศาจบกหนึ่งตัวปกครองอาณาเขตก็จะมิมีสัตว์ปีศาจบกตัวอื่นเคลื่อนไหว และสัตว์ปีศาจชนิดอื่นๆ ก็เช่นกัน ยามนี้กวางเกราะน้ำแข็งถูกไล่ไปแล้ว นับว่าคนทั้งสามประสบความโชคดีในความโชคร้าย สามารถต่อกรกับอินทรีสายฟ้าได้อย่างวางใจ
กระทั่งท้องของเก๋อจือส่งเสียงร้องขึ้นมา โม่จ้านจึงได้รู้ตัวว่าคนทั้งสามยังมิได้กินข้าวเช้า ครั้นมองกระปุกและหม้อที่ล้มระเนระนาดเบื้องหน้า เนื้อหมูสามชั้นที่กลายเป็ทั้งแข็งและเย็น รวมไปถึงผักสดกับมะเขือเทศที่กระจายอยู่บนพื้น โม่จ้านพลันถอนหายใจออกมาอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง
หากตนระวังตัวมากกว่านี้อีกสักหน่อย คงจะพบเ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นและล่อมันออกไปไกลๆ มิแน่ว่าอาจจะรักษาอาหารมื้อนี้เอาไว้ได้ เดิมทีอาหารที่นำมาก็มีน้อย มิเพียงแต่มิอาจหาอาหารคาวมาเพิ่มมื้ออาหาร กลับยังเสียเปล่าไปถึงส่วนหนึ่ง
โม่จ้านถอนหายใจอย่างจนปัญญาก่อนเริ่มก่อไฟทำกับข้าวอีกครั้ง
เก๋อจือกระซิบเสียงเบาข้างหูลาถีเท่อ “ข้าคิดว่าโม่เจ๋อเอ่อร์เป็คนประหลาดมากผู้หนึ่ง”
“...เหตุใดกัน?” ลาถีเท่อเผยสีหน้าประหลาดใจ
“ดูเหมือนการจับกวางเกราะน้ำแข็งมิได้จะมิส่งผลอันใดต่ออารมณ์ของเขา ทว่าเมื่อเห็นอาหารสูญเปล่ากลับทำท่าทางมิพอใจอย่างมาก สำหรับเขาแล้ว อาหารธรรมดาที่ใช้เติมท้องยังจะสำคัญกว่าการล่าสัตว์ระดับสูงอีกงั้นหรือ?”
ลาถีเท่อหัวเราะแห้ง ส่งสายตาหมดคำจะพูดกลับไปให้เก๋อจือ
“สำหรับคนจนอย่างพวกเรา แน่นอนว่าสำคัญ เพราะมิใช่ว่าทุกคนจะมีเงินกินเนื้อสัตว์ปีศาจระดับกลางในงานเลี้ยงครอบครัว”
......
ขณะมองม้วนคัมภีร์ะเิมิกี่ม้วนในกระเป๋า ความสนใจใคร่รู้ของโม่จ้านพลันถูกกระตุ้นเสียแล้ว ตนอยากจะรู้ว่าลาถีเท่อคิดจะใช้วิธีอย่างไร
เก๋อจือเพิ่งเดินไปได้ครึ่งทางพลันหอบเสียงหนักและนั่งมิยอมลุกอยู่ตรงตีนเขาเสียแล้ว โม่จ้านกับลาถีเท่อทำได้เพียงเดินไปยังถ้ำเพียงสองคน
ถ้ำที่ลาถีเท่อเอ่ยถึงคือใต้หน้าผาชันที่มินับว่าสูงทว่ากว้างขวางอย่างมาก ทำมุมประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบองศา หากจะบอกว่าเป็ผาชัน มิสู้บอกว่าคือเนินเขาลาดชัน คล้ายกับปากถ้ำจะถูกวัชพืชปิดจนมิด กระนั้นยังมีเศษขนและกระดูกสัตว์เล็กอยู่จำนวนหนึ่ง คาดว่าคงมีสัตว์ป่าขนาดใหญ่เคยพักอาศัยอยู่ที่นี่
“เก๋อจืออยากเผาปากถ้ำเสียให้เกลี้ยง จะได้ล่ออินทรีสายฟ้าเข้าไปได้ง่ายกว่าเดิม”
ลาถีเท่อหัวเราะมิได้ร้องไห้มิออกขณะชี้ไปยังเถาวัลย์และกิ่งไม้แห้งเหี่ยวหน้าปากถ้ำ
“มิใช่เื่ง่ายกว่าข้าจะกล่อมเขาได้ มิเช่นนั้นทันทีที่มีการรวมตัวของธาตุไฟ อินทรีสายฟ้ายังมิทันเข้าใกล้คงใจนหนีไปเสียก่อน”
โม่จ้านกุมขมับ ความรู้ด้านการต่อสู้ของเก๋อจือช่างเลอะเทอะเสียจริง ควรจะเสริมบทเรียนดีๆ เสียแล้ว
ลาถีเท่อควงดาบอย่างชำนาญ เครือเถาวัลย์ขนาดเท่าหน้าแข้งพลันถูกฟันขาด มินานนักทั่วทั้งนอกปากถ้ำพลันถูกจัดการจนสะอาด พื้นที่ว่างภายในถ้ำมิเล็ก ด้านในมีตะไคร่น้ำเปียกลื่นขึ้นเต็มไปหมด ส่งกลิ่นราจางๆ ออกมา
“อืม พอใช้การได้แล้วก็เอาเช่นนี้เถิด ขั้นตอนต่อไปวกกลับไปตีนเขา โม่เจ๋อเอ่อร์ เ้าจะร่วมด้วยหรือไม่?” ลาถีเท่อหันกลับมาถามโม่จ้าน
“แน่นอน ข้ามิได้ขี้แยเหมือนเ้าเก๋อจือผู้นั้น” โม่จ้านจับบ่าพลางหมุนแขนไปมา
ลาถีเท่อหัวเราะ ใช้ปลายเท้าเตะผิวดินเบาๆ
“พื้นฐานร่างกายของจอมเวทมิค่อยเหมาะสมเท่าใด เ้าก็อย่าเข้มงวดมากนัก หากตั้งมาตรฐานตามอัศวินหรือนักรบให้เขา ต่อให้เอาแส้มาเฆี่ยนจนสิ้นเขาก็มิมีทางทำได้”
หลังเริ่มคุ้นเคยกับลาถีเท่อ คำพูดของอีกฝ่ายพลันยิ่งชัดเจนมากกว่าเก่า โม่จ้านเองก็เริ่มคุ้นชินกับการหยอกล้อเป็ครั้งคราวเช่นกัน นอกจากนั้นยังถูกเก๋อจือแขวะว่า “เหตุใดพวกเ้าทั้งสองคนเสมือนรู้จักกันมานานแล้ว!”
“ลาถีเท่อ เ้าคิดว่าฝีมือของข้าเป็อย่างไร?” โม่จ้านเปลี่ยนหัวข้อสนทนาราวกับมิได้ตั้งใจ
ลาถีเท่อนิ่งงัน “...อืม เก่งกาจมาก ข้ามิเคยเห็นวิธีการต่อสู้เช่นเ้ามาก่อน พลังและระดับความเร็วมินับว่าสุดยอด ทว่าเมื่อนำมาใช้กลับคล่องแคล่วและกระชับเกินกว่าคนนับเก้าส่วนในกิลด์ ทั้งมั่นคง แม่นยำและดุดัน มิมีการเคลื่อนไหวที่เกินจำเป็แม้แต่น้อย”
“เ้าอยากเรียนหรือไม่?” โม่จ้านเอ่ยถามไปเรื่อย
“อยากสิ เพียงแต่วิธีการฝึกฝนของอัศวินและทักษะการสู้รบของนักรบล้วนแต่เป็ความลับ จะส่งต่อให้คนนอกตามอำเภอใจได้อย่างไร” ลาถีเท่อยักไหล่ สะพายกระเป๋าอุปกรณ์เดินไปข้างหน้า
“ข้าจะสอนเ้า เป็อย่างไร?” โม่จ้านลุกขึ้นเช่นกัน สาวเท้าก้าวยาวเดินย้อนกลับไปพร้อมกัน
“ฮ่าๆ คำพูดล้อเล่นเช่นนั้นมิน่าขันสักนิด...” ลาถีเท่อโบกมือให้โม่จ้านทั้งที่ยังหันหลัง
แต่อย่างไรก็ตาม โม่จ้านสาวเท้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กอดไหล่ของเด็กหนุ่มเผ่าหมานภายใต้สายตาฉายแววประหลาดใจของลาถีเท่อและมองตาของเขาตรงๆ
“ข้าพูดจริง เ้าอยากจะเป็ลูกศิษย์ของข้าหรือไม่?”
ลาถีเท่อรู้สึกมิต่างกับถูกฟ้าฟาด กระเป๋าอุปกรณ์ในมือถึงกับร่วงลงพื้น
“โม่เจ๋อเอ่อร์...เ้ามิกลัวว่าจะถูกบรรพบุรุษหรืออดีตเ้านายตามฆ่าอย่างนั้นหรือ?”
เสียงสั่นเครือของลาถีเท่อเปี่ยมด้วยความมิอาจจะเชื่อ ทว่ายังคงมิอาจปกปิดความยินดีภายในแววตาเช่นกัน โม่จ้านทำหน้ายุ่ง มิรู้ว่าควรจะต่อบทสนทนาอย่างไรต่อไป --- ด้วยสมองเช่นนั้นของเก๋อจือ จะต้องเล่าสิ่งที่ตนเองเติมแต่งในหัวให้ลาถีเท่อฟังอย่างแน่นอน
ทว่าลาถีเท่อที่ััว่องไวกลับคิดว่าสีหน้าลังเลของโม่จ้านคือความลำบากใจจึงรีบโบกมือปฏิเสธ
“อย่างที่คิด...คงมิต้องดีกว่า!”
ลาถีเท่อก้มหน้าลงอย่างค่อนข้างผิดหวัง มิรอให้โม่จ้านเอ่ยสิ่งใด ลาถีเท่อพลันเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำเงินสลัวเผยถึงความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
“เทียบกับทักษะการต่อสู้ของเ้าแล้ว การได้มีเพื่อนอย่างเ้าถึงจะเป็สิ่งที่ข้าดีใจมากที่สุด”
ความอบอุ่นแทรกซึมเข้าในหัวใจของโม่จ้าน เขามองลาถีเท่อที่สีหน้าเปี่ยมด้วยความจริงใจ โม่จ้านมิรู้ว่าควรจะเอ่ยสิ่งใด ทำได้เพียงตบบ่าของเด็กหนุ่มเผ่าหมาน
“วางใจเถิด พวกเขามิถือสา”
....หรือจะบอกว่ามิมีโอกาสถือสาอีกแล้ว
ครั้นเดินมาถึงทางขึ้นเขาขรุขระ โม่จ้านสามารถััถึงความตื่นเต้นของลาถีเท่อได้โดยมิต้องใช้คำพูด จังหวะฝีเท้าเร็วขึ้นเรื่อยๆ ข้อเท้าถูกคมของใบหญ้าบาดก็ยังมินึกสนใจ ครั้นหวนนึกถึงตำราฝึกทหารที่โผล่ขึ้นมามากมายบนอินเทอร์เน็ตหลังกดค้นหาในชาติก่อน โม่จ้านพลันอดถอนหายใจนับหมื่นพันครั้งมิได้
ข่าวสารที่ถูกปิดกั้นกับการควบคุมโดยชนชั้นปกครอง ผลลัพธ์คือหากมิแล้งจนตายก็น้ำท่วมจนตาย[1] ต่อให้ชนชั้นสูงมิยอมขายความลับ กระนั้นหากวันหนึ่งฝ่ายศัตรูศึกษาเรียนรู้จนมี “วิธีการต่อสู้” ของตนเอง ผลลัพธ์จะเป็อย่างไร กระทั่งใช้นิ้วเท้าคิดก็ยังรู้
เชิงอรรถ
[1] แห้งแล้งก็แล้งจนตาย น้ำท่วมก็ท่วมจนตาย旱的旱死,涝的涝死。หมายถึงเื่ราวมักมีสองด้านที่สุดโต่ง และทั้งสองด้านล้วนไม่ใช่ผลดีอะไร