"ลงมาเดี๋ยวนี้นะ! ขวดน้ำร้อนเพิ่งกรอกใหม่ๆ เดี๋ยวก็ลวกเอาหรอก"
"ไม่ลวกหรอกน่า คุณยายบอกให้พี่นอนกอดเลยนี่นา"
"นั่นมันต้องรอให้น้ำเย็นกว่านี้หน่อย ลองเอามือแตะดูสิ"
หมี่หลันเยว่แง้มผ้าห่มให้หมี่หลันซิงลองแตะขวดน้ำร้อน มือเล็กๆ ยื่นออกไปแตะแป๊บเดียวก็รีบชักกลับ คลานขึ้นไปบนเตียง "พี่ไม่ได้หลอกนี่นา ร้อนจริงๆ ด้วย แล้วนี่มันจะลวกพี่สาวไหม" หมี่หลันซิงกระซิบข้างหูแม่ด้วยความเป็ห่วง
"ไม่หรอกน่า พี่สาวรู้ว่าน้ำมันร้อน พี่เขาถึงไม่ให้ลูกเข้าไปนอนในนั้นก่อนไง พี่สาวเองก็ไม่เข้าไปเองหรอก เดี๋ยวผ้าห่มดูดความร้อนไป น้ำก็ไม่ร้อนแล้ว ไม่ลวกพี่หรอกนะ" ถึงคำถามของลูกชายจะตลกไปบ้าง แต่หวังหย่วนฉิงก็ดีใจที่ลูกชายห่วงใยพี่สาว ตัวเธอเองกับสามีงานยุ่งมาก เวลาดูแลลูกๆ ยังน้อยกว่าเวลาดูแลนักเรียนเสียอีก ไม่ว่าจะเป็หมี่หลันหยางหรือหมี่หลันซิง ต่างก็เติบโตมาภายใต้การดูแลของลูกสาวคนโตทั้งนั้น
หวังหย่วนฉิงรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้จริงๆ ไม่ใช่แค่ดูแลบ้านเท่านั้น แต่ยังดูแลเื่การเรียนของพี่น้อง ทำให้คนเป็แม่สบายใจขึ้นมาก เพียงแต่ในใจหวังหย่วนฉิงก็ยังรู้สึกผิดต่อลูกสาวอยู่บ้าง เธอใส่ใจลูกสาวคนนี้น้อยเกินไป ทุกครั้งที่ลูกสาวทำอะไรโดดเด่น เธอก็เพิ่งจะรู้ว่าลูกสาวมีผลงานอีกแล้ว เช่น ลูกสาวได้ที่หนึ่งครั้งแรก ลูกสาวอ่านหนังสือเตรียมสอบล่วงหน้าไปถึงสามปี ลูกสาวชวนหลันหยางตั้งแผงหนังสือ หรือลูกสาวเปิดร้านเสื้อผ้าที่ทำกำไรได้งอกงาม
เื่ราวเหล่านี้ เธอรู้หลังจากที่ลูกสาวประสบความสำเร็จแล้วทั้งนั้น ในฐานะคนเป็แม่จะทนได้ยังไง หวังหย่วนฉิงเกิดความคิดขึ้นในใจ พอนอนลงบนเตียง เธอก็คิดทบทวนแล้วทบทวนอีก แม้จะเสียดาย แต่สุดท้ายก็คิดว่าควรตัดสินใจให้เด็ดขาด
หลังจากกลับมาจากบ้านคุณยาย หมี่หลันเยว่ก็ทุ่มเทให้กับการเตรียมการเปิดสาขาใหม่ คราวนี้หวังหย่วนฉิงให้สามีตามลูกสาวไปช่วยงาน "หลันเยว่ เื่หาบ้านน่ะ ให้ผู้ใหญ่ออกหน้าจะดีกว่า คราวนี้ให้พ่อช่วยนะลูก"
จริงๆ แล้วหมี่หลันเยว่ไม่อยากให้ที่บ้านต้องลำบาก เธอคิดว่าตัวเองทำเื่เล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ได้ แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของแม่ หมี่หลันเยว่ก็ตัดสินใจไม่ปฏิเสธดีกว่า เธอเคยเป็แม่คนมาก่อน ย่อมรู้ดีว่าพ่อแม่ย่อมอยากทำอะไรให้ลูกบ้าง
"ก็ได้ค่ะ งั้นพ่อไปเดินดูกับพวกหนูสักสองวัน แต่พ่อต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะคะ มันจะเหนื่อยมากๆ เลย พวกหนูคิดว่าเื่นี้เหมือนไปเดินเล่น แต่พ่ออาจจะต้องเหนื่อยหน่อยนะคะ ถ้าเหนื่อยพ่อต้องบอกนะคะ"
การเดินวนไปวนมาทั้งถนนมันเหนื่อยแน่นอน เพราะไม่มีจุดหมายจึงต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม การจะหาตึกแถวที่ถูกใจไม่ใช่เื่ง่าย ทำเลที่ตั้ง รูปแบบของบ้าน สภาพแวดล้อมรอบข้าง ทุกอย่างก็สำคัญ จะให้ขาดไม่ได้เลย ต้องเลือกแล้วเลือกอีก
ถูกลูกสาวดูถูกเข้าให้แล้ว หมี่จิ้งเฉิงยอมได้ยังไง "อะไรกัน ไม่เชื่อแรงของพ่อเหรอ งั้นคอยดูเถอะ เดี๋ยวคนที่ร้องไห้ขี้มูกโป่งอาจจะเป็ลูกก็ได้นะ มาแข่งกันไหมล่ะ"
พอเห็นท่าทางกระตือรือร้นของพ่อ ความกังวลของหมี่หลันเยว่ก็ลดลงบ้าง "หนูไม่ร้องไห้หรอกน่า หนูวิ่งขึ้นลงเขาผานซานทุกวัน แรงหนูอาจจะดีกว่าพ่อก็ได้นะคะ จริงไหมคะพี่"
หมี่หลันหยางเห็นน้องสาวกับพ่อเถียงกัน เขาไม่ร่วมวงด้วย เพียงแต่ยิ้มน้อยๆ มองสองคนพ่อลูกเล่นตลก เขามีความสุขกับบรรยากาศอบอุ่นในบ้านแบบนี้มาก เมื่อเทียบกับครอบครัวอื่นๆ ที่เอะอะโวยวาย ครอบครัวเราอบอุ่นกลมเกลียวกันจริงๆ
"ผมไปด้วย ผมไปด้วยนะครับ" พอเห็นพ่อกับพี่สาวพี่ชายจะออกไปข้างนอก หมี่หลันซิงก็ไม่ยอม จะให้เขานั่งอยู่บ้านคนเดียวมันน่าเบื่อนี่นา
"หลันซิง พวกเราจะออกไปทำงาน ไม่ได้ไปเที่ยว เดินทั้งวันเดี๋ยวก็หมดแรง ไม่มีเวลาดูแลนายหรอกนะ ถ้านายเดินไปกลางทางแล้วเดินไม่ไหวจะทำยังไง" หมี่หลันเยว่ขยี้ผมนุ่มๆ ของน้องชาย
"แถมที่บ้านก็มีงานต้องทำนะ นายช่วยแม่ดูแลร้านหนังสือ แล้วพอพวกพี่กลับมาตอนเย็นจะซื้อของเล่นมาฝากนะ" หมี่หลันเยว่เกลี้ยกล่อม ถ้าน้องชายไปด้วยคงไม่สะดวกหาบ้าน
"พี่โกหก พี่บอกว่าจะกลับจากบ้านคุณยายแล้วพาผมไปเดินเล่น ไปซื้อปืนของเล่น" หมี่หลันซิงจำเื่นี้ได้แม่น เขาไม่อยากให้พี่สาวซื้อมาฝาก เผื่อซื้อผิด เขาอยากไปซื้อเองมากกว่า
"พี่ไม่ได้ลืม แต่ว่าวันนี้เพิ่งวันที่สี่ ร้านยังไม่เปิด เมื่อวันก่อน พี่ลืมไปว่าร้านปิด งั้นรอร้านเปิดพี่สาวจะซื้อปืนของเล่นให้แน่นอน แถมจะพานายไปซื้อเองด้วย แต่ก่อนอื่นนายต้องช่วยแม่ดูแลร้านก่อนนะ ตกลงไหม"
คราวนี้หมี่หลันซิงพอใจแล้ว ไม่เซ้าซี้หมี่หลันเยว่อีก "ก็ได้ๆ ไหนๆ พี่ก็มีน้ำใจขนาดนี้ ผมจะยกโทษให้ แล้วผมจะช่วยแม่ดูแลร้านอย่างดี แล้วจะรอพี่สาวพาไปซื้อปืนของเล่นฮะ"
พอจัดการหมี่หลันซิงได้แล้ว หมี่หลันเยว่กับพี่ชาย พ่อ เฉียนหย่งจิ้นกับหลินเผิงเฟย รวมเป็กลุ่มใหญ่ก็ออกเดินทาง หมี่หลันเยว่ไม่อยากให้เฉียนหย่งจิ้นกับหลินเผิงเฟยไปด้วย อยากให้พักผ่อนอีกสักหน่อย นี่ก็ช่วยกันทำงานมาเกือบครึ่งปีแล้ว ให้หยุดตรุษจีนทั้งทีก็ควรได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
แต่เธอห้ามไม่ได้ ทั้งสองคนบอกว่าอยู่บ้านมันน่าเบื่อ พวกเขาไปเยี่ยมญาติผู้ใหญ่ก็ไปมาหมดแล้ว พวกเขาบอกว่า คิดซะว่าไปเดินเล่นในเมือง แก้เบื่อที่ต้องทนอยู่กับญาติ กินๆ ดื่มๆ มันเสียเวลาชีวิตจริงๆ
“พอแล้วๆ ถ้าไม่ให้พวกพี่สองคนตามไป ก็เหมือนทำให้ชีวิตพวกพี่ว่างเปล่ายังไงยังงั้น ฉันรับผิดชอบไม่ไหวหรอกนะ แต่ขอพูดไว้ก่อน ่ตรุษจีนนี้ไม่มีเงินเดือนนะคะ!”
หมี่หลันเยว่พูดไปอย่างนั้น เฉียนหย่งจิ้นกับหลินเผิงเฟยไม่ได้สนใจ เพราะทั้งสองรู้ดีว่าหมี่หลันเยว่ไม่ใช่คนขี้เหนียว ค่าจ้างที่ให้พวกเขามีแต่จะให้เกินด้วยซ้ำ เธอไม่เคยทำให้พวกเขาลำบาก
อีกอย่าง ่ตรุษจีนจะให้เงินเดือนหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะอั่งเปาที่ให้ก่อนตรุษจีน ทำเอาพ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกเขาตกตะลึง พ่อของพวกเขายังเป็ข้าราชการ แต่เงินพิเศษปลายปีของพ่อเทียบกับอั่งเปาของพวกเขาแล้ว น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง พอเอาอั่งเปาไปอวด พวกเขาภูมิใจมาก
ทั้งหมดนี้เป็เพราะหมี่หลันเยว่ เธอไม่ใจร้ายกับใคร โดยเฉพาะคนที่ทำงานให้เธอ ตราบใดที่คุณตั้งใจทำงาน เธอก็จะไม่จับผิด ถ้าทำผิดพลาดก็จะชี้แนะ เธอไม่จู้จี้จุกจิก แต่เธอก็เข้มงวด เธอแค่ขอให้สอบให้ได้คะแนนดีทุกเทอม เพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ
พอนึกถึง่เวลาที่ได้ร่วมงานกับหมี่หลันเยว่ ชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินทำให้ชีวิตมีสีสัน ดังนั้นทุกก้าวต่อไปของหมี่หลันเยว่ พวกเขาจะต้องมีส่วนร่วม นี่เป็โอกาสที่จะได้เห็นความก้าวหน้าในธุรกิจของหมี่หลันเยว่ และเป็โอกาสที่จะได้เห็นความสำเร็จของพวกเขาเอง
"หลันเยว่ พวกเขาตั้งใจทำงานขนาดนี้ ก็ควรได้รับคำชมสิ ไม่ใช่คำติ ความกระตือรือร้นในการทำงานต้องเกิดจากการให้กำลังใจ การเป็ผู้นำของลูกไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่นะ" หมี่จิ้งเฉิงสอนลูกสาวอย่างจริงจัง ทำให้เฉียนหย่งจิ้นกับหลินเผิงเฟยขำกลิ้ง สองคนหลบอยู่ข้างหลังหมี่จิ้งเฉิง แลบลิ้นปลิ้นตาใส่หมี่หลันเยว่
หมี่หลันเยว่จะไม่ถือสากับเด็กน้อยทั้งสอง พี่สาวคนนี้ก็อายุสี่สิบกว่าแล้ว จะมาสนใจการแลบลิ้นปลิ้นตาของพวกเขาเหรอ เพ้อเจ้อ เด็กจริงๆ เลย “ไปเถอะค่ะ พวกเราออกเดินทางกัน ใครเหนื่อยจนร้องไห้ ก็หลบไปแอบร้องเอง อย่าให้คนอื่นเห็นล่ะ มันน่าอายนะ!”
ได้ผล คำพูดเดียวทำให้เฉียนหย่งจิ้นกับหลินเผิงเฟยพูดไม่ออก มองหมี่หลันเยว่ที่เชิดหน้าอกเล็กๆ เดินนำออกไป สองคนก็เดินตามไปอย่างเชื่อฟัง หมี่จิ้งเฉิงเห็นเด็กหนุ่มที่สูงกว่าลูกสาวครึ่งหัวเดินตามหลังลูกสาวอย่างว่าง่าย ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอ่อนใจ ลูกสาวเก่งจริง ๆ
"พวกเราตรงไปที่ถนนใหญ่เลยนะ ฉันอยากดูรอบๆ ห้างสรรพสินค้าว่ามีร้านที่เหมาะสมไหม ตรงนั้นคนเยอะ เป็ศูนย์กลางของเมืองซวงเฉิง แถมเป็ย่านการค้า ถ้าเปิดร้านตรงนั้นไม่ต้องห่วงเื่ยอดขายเลย"
"ขอแค่มีคน เราก็มั่นใจว่าร้านจะประสบความสำเร็จ เพราะมีคนก็มีลูกค้า ขอแค่มีคนเข้าร้าน เราก็มั่นใจว่าจะคว้าไว้ให้ได้ เพราะความเก่งของพนักงานขายของร้านเรา ยอดขายของห้างสรรพสินค้าอาจจะต้องตามรอยเราเลยก็ได้"
หมี่หลันเยว่อยากหาร้านที่ทำเลดีๆ บนถนนใหญ่ เพียงแต่คิดก็ส่วนคิด จะหาบ้านที่เหมาะสมได้หรือไม่ก็ต้องพึ่งดวงของตัวเองด้วย แต่เธอก็ยังมั่นใจในการบริหารของตัวเอง ถ้าหาร้านบนถนนเส้นนี้ได้ เธอก็มั่นใจว่าจะทำให้มันเติบโตอย่างเต็มที่
"งั้นก็ที่นี่ นอกจากห้างสรรพสินค้าแล้ว บ้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็ร้านค้าหรือบ้านคน พวกเราก็เคาะประตูถามทุกบ้าน จำไว้นะ ไม่ใช่แค่ถามว่าอยากปล่อยเช่าหรืออยากขาย แต่ต้องถามด้วยว่าคนรอบข้างมีใครอยากปล่อยเช่าหรืออยากขายบ้านไหม ข่าวสารระหว่างเพื่อนบ้านอาจจะแม่นยำที่สุดก็ได้" หมี่หลันหยางออกคำสั่งทันที เด็กทั้งสามคนตอบรับพร้อมกัน ทำให้หมี่จิ้งเฉิงตั้งตัวไม่ทัน เขาคิดว่ามาถึงตรงนี้ ทุกคนคงจะเดินดูก่อน แล้วปรึกษากันว่าบ้านไหนน่าจะปล่อยเช่า แล้วค่อยหาวิธีสืบ แต่เด็กๆ จะลงมือทำเลย
"แบบนี้จะดีเหรอลูก" หมี่จิ้งเฉิงเป็ห่วง กลัวว่ามันจะหุนหันพลันแล่นเกินไป
"ไม่เป็ไรครับพ่อ พวกเรายังเด็ก ต่อให้หุนหันพลันแล่นก็คงไม่มีใครถือสา" หมี่หลันหยางมั่นใจในกลยุทธ์ของตัวเองมาก นี่เป็วิธีที่ตรงไปตรงมาและได้ผลที่สุด
"ขอแค่พวกเราทำตัวสุภาพ ก็น่าจะไม่มีปัญหานะครับ พวกเราแค่ไปถามว่ามีบ้านเช่าไหม ไม่ได้ไปก่อกวน อาจจะมีลูกอมให้กินด้วยก็ได้"
หมี่หลันหยางพูดถูก มีหลายบ้านที่ให้ลูกอมพวกเขา เด็กที่ปากหวานรู้จักมารยาทแบบนี้ ใครๆ ก็ชอบ หมี่จิ้งเฉิงกลับได้รับข่าวดีโดยบังเอิญในระหว่างการเคาะประตู เขาเคาะประตูบ้านหลังหนึ่งแล้วพบว่าเป็คนรู้จัก เป็คนที่ดูแลเื่การค้าโดยตรง
พอเขาได้ฟังจุดประสงค์ของหมี่จิ้งเฉิง ก็บอกข่าววงในให้เขาทราบ บริษัทเสื้อผ้าของรัฐบาลที่อยู่ข้างห้างสรรพสินค้า บริหารงานไม่ค่อยดีมาตลอด ปีนี้ผลกำไรยิ่งแย่ จะแบ่งให้เช่าหลังจากตรุษจีน พวกเขาทำเอกสารออกมาแล้ว นี่เป็ข่าวดีมาก เท่านี้เื่สาขาใหม่ก็ลงตัวแล้ว!
