เจินจิ้งโบกมือปฏิเสธพลางกล่าวราวกับไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่น้ำเสียงของนางกลับแฝงไปด้วยความสั่นเครือ “เฮ้ ข้าเป็แม่ชีนะ หนังหนาอยู่แล้ว การโดนตีเป็เื่ปกติ! ท่านไม่ต้องสนใจหรอก ข้าไม่เจ็บสักหน่อย”
ไม่เจ็บอย่างนั้นหรือ? เหอตังกุยเลิกแขนเสื้อของนางขึ้น ก่อนจะพบว่าั้แ่บนหลังมือ ข้อมือ ยาวลงมาถึงท้องแขนนั้นเต็มไปด้วยรอยน่าสยดสยองกว่ายี่สิบถึงสามสิบรอย เหอตังกุยรู้ว่าที่หน้าลานพระวิหารของวัดสุ่ยซังมีป่าไผ่ที่เงียบสงัดอยู่ สายลมพัดใบไผ่โบกสะบัดเสียดสีกันจนเกิดเป็เสียงของบทกวีที่ไม่มีที่สิ้นสุด แม่ชีในวัดสุ่ยซังบางคนจึงมักจะไปตัดต้นไผ่เ่าั้นำมาเหลาเป็ไม้เรียวเพื่อใช้โบยคนโดยเฉพาะ
การโดนไม้เรียวราดน้ำเกลือโบยลงมากว่าสิบที เป็ความรู้สึกที่ทั้งเจ็บทั้งแสบโดยไม่มีเืไหลออกมาสักหยด แผลจากการถูกโบยล้วนเป็รอยฟกช้ำห้อเืยาว ๆ เล็ก ๆ คนที่โดนโบยจึงไม่จำเป็ต้องพันแผลและไม่กระทบกับงานด้วย ชาติก่อนของนางก็เคยโดนโบยด้วยไม้เรียวราดน้ำเกลือเกือบทุกวันเช่นกัน สำหรับนาง รสไม้เรียวที่แสนจะปวดแสบปวดร้อนนั้นกลายเป็ความเ็ปที่ฝังลึกลงไปในไขกระดูกเสียแล้ว
“ไท่เฉิน แม่ชีไท่เฉินใช่หรือไม่?” เหอตังกุยถามเจินจิ้งด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เจินจิ้งฝืนทนต่อไปไม่ไหวจึงร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
เหอตังกุยหลุบตาลง ซ่อนเข็มสีเงินวิบวับที่เย็นเฉียบไว้สองเล่ม พลางเอ่ยถาม “บอกข้ามาว่าทำไมเขาถึงโบยเ้า เป็เพราะข้าเช่นนั้นหรือ?”
เจินจิ้งส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “ไม่ใช่! ไม่เกี่ยวกับท่าน เหตุเพราะเมื่อคืนวานข้าเผลอหลุดปากพูดไปว่านางมียาบำรุง ฮือ ๆ ๆ วันนี้นางจึงย้อนเอาความแล้วสั่งให้คนพาข้าไปหานาง บังคับให้ตอบว่าข้ารู้เื่ที่นางมียาบำรุงมาจากที่ใด แต่ข้าไม่กล้าบอกว่าข้าได้ยินจากท่านอาจารย์ไท่ซั่น... ฮือ หากข้าพูดออกไป แม้นางจะยอมปล่อยข้ากลับมา แต่ถ้าท่านอาจารย์ไท่ซั่นรู้เข้า ข้าก็มีแต่จะต้องรับโทษหนักกว่าเดิม...”
เหอตังกุยถอนหายใจแล้วดึงเจินจิ้งให้นั่งลงบนเตียง ก่อนจะหยิบเข็มเย็บผ้าใต้หมอนออกมาพลางกล่าวว่า “มา เ้าหลับตาลงเสีย ห้ามลืมตาขึ้นมาเด็ดขาด เชื่อข้า..เพียงครู่เดียวก็เสร็จ ไม่เจ็บสักนิด” เจินจิ้งจ้องเขม็งไปที่เข็มในมือของเหอตังกุย พลางแหกปากร้องไห้สลับะโลั่น “เจ็บ! เจ็บ! ข้าไม่ฝังเข็ม มันเจ็บ!”
เหอตังกุยขมวดคิ้วมุ่น “เงียบ ถ้าเ้าแหกปากอีกล่ะก็ ข้าจะฝังลงที่จุดหลังคอให้เ้าเป็ใบ้เสีย” เจินจิ้งใจนเผลอปิดปากฉับในทันที เหอตังกุยสั่งให้นางหลับตาลงอีกครั้ง เมื่อได้ยินดังนั้น เจินจิ้งจึงหลับตาปี๋พร้อมหดคอลงเสมือนเต่า ทำราวกับว่านางกำลังจะ ‘ตายพลีชีพ’ อย่างไรอย่างนั้น
ปลายแหลมของเข็มส่งประกายวิบวับอยู่ที่ปลายนิ้วแสนว่องไวและพลิ้วไหวของเหอตังกุย ดวงตาของนางฉายแววเย็นเฉียบ ไท่เฉิน ดี! ดียิ่งนัก! ข้ายังไม่ทันได้ไตร่ตรองว่าจะจัดการกับท่านอย่างไร แต่ท่านกลับเร่งรีบหาเื่ใส่ตัว คงจะเบื่อชีวิตเต็มทนแล้วสินะ!
สำหรับคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่งเช่นนาง คนแบบแม่ชีไท่เฉินไม่นับว่าเป็อุปสรรคอันใด มากที่สุดก็คงจะเป็ได้เพียงทรายเม็ดหนึ่งที่ติดอยู่บนรองเท้าของนางเท่านั้น...
ช่างประจวบเหมาะกับอำนาจที่สามารถชี้เป็ชี้ตายจากมือของคนที่พักอยู่ห้องปีกตะวันตกเ่าั้จริงเชียว ให้นางยืมมาใช้เคาะทรายออกจากรองเท้าเสียหน่อยจะเป็ไรไป...
…...
เมืองหยางโจวเป็เมืองที่เจริญรุ่งเรืองมาก สายน้ำทั้งแปดทิศและบรรดาพ่อค้าทั่วทุกหัวระแหงต่างมารวมตัวกัน ณ ที่แห่งนี้
เมืองหยางโจวนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่ง อีกทั้งยังมีประชากรมากมาย ในตัวเมืองมีทางน้ำสองสายทะลุผ่าน มีถนนที่สามารถทะลุเหนือ ใต้ ออก ตก เชื่อมต่อกันอีกสี่สาย ทั้งเมืองถูกแบ่งออกเป็ 48 ตรอก ในท้องตลาดมักมีคำกล่าวต่อ ๆ กันมาว่า ‘อู๋หลัวกวนซุน ร่ำรวยมั่งคั่งทั่วฟ้าแดนดิน’ หรือที่รู้จักกันในนาม ‘สี่ตระกูลหลักแห่งเมืองหยางโจว’ โดยมีตระกูลอู๋จากทิศใต้ ตระกูลหลัวจากทิศเหนือ ตระกูลกวนจากทิศตะวันออกและตระกูลซุนจากทิศตะวันตก
่เช้ามีฝนตกโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ในจวนที่มีผนังสีแดงและมุงหลังคากระเบื้องสีทองอันแสนงดงามที่อยู่ติดกับถนนหงเพ่ยนั้น มีหญิงสาวกลุ่มหนึ่งกำลังรีบเร่งเดินผ่านลานขนาดใหญ่ในจวนเพื่อไปยังประตูที่อยู่ด้านข้าง ในขณะเดียวกันก็มีหญิงสาวใส่ชุดสุภาพกำลังเดินออกมาจากหน้าประตูพอดี เมื่อนางได้เจอกับเหล่าบ่าวรับใช้จึงรู้สึกแปลกใจเป็อย่างมาก
“พี่สะใภ้ เหตุใดพวกท่านจึงกลับมากันแล้ว? นี่ยังไม่ถึงวันฝังศพเลยนะ!”
ใบหน้าของบ่าวรับใช้หลิวจิ่วกวงปรากฏแววแห่งความสุข นางกล่าวถามขึ้น “แม่นางจี เจอเ้าพอดีเลย ข้าอยากรู้ว่าฮูหยินชราอยู่ที่ใด?”
แม่นางจีขมวดคิ้วมุ่น “ฮูหยินชราโศกเศร้าเป็อย่างมาก เมื่อวานนี้ก็เสียใจจนไม่ยอมกินข้าว ทว่าวันนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ยามเช้าท่านยอมกินขนมถั่วแดงกวนหยางเกิงน้ำผึ้งไปนิดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไม่อยากอาหารอีก ตอนนี้นอนเอนหลังอยู่ที่เรือนเอ่อร์ฝาง ท่านหลานสะใภ้กำลังเล่าเื่ตลกให้ฟังอยู่ จะว่าไปแล้ว เหตุใดพวกท่านทั้งหลายถึงได้กลับมาจากวัดสุ่ยซังเสียแล้วล่ะ หากเป็เื่เล็กน้อยทั่วไปก็อย่าได้ไปพูดกับฮูหยินชราเลย เื่อื่นก็ไม่กระไรหรอก แต่เื่ที่เกี่ยวกับคุณหนูสามนั้นอย่าได้เอ่ยถึงเป็อันขาดเชียว”
บ่าวรับใช้หลิวจิ่วกวงกล่าวพลางยิ้มไปด้วย “เ้านำทางข้าไปเถิด รับรองเลยว่าหากได้บอกกับฮูหยินชราแล้วละก็ ท่านคงจะกินข้าวได้ทั้งหม้อเลยล่ะ!”
แม่นางจีมีสีหน้างุนงง “ท่านกลับมาจากสถานที่เยี่ยงนั้น จะมีเื่อันใดให้น่าอภิรมย์ใจได้เล่า?” ได้ฟังดังนั้น บ่าวรับใช้หลิวจิ่วกวงจึงยิ้มอย่างมีลับลมคมใน บ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ก็เอาแต่ยิ้ม ไม่พูดไม่จาเช่นเดียวกัน
เดิมที พวกนางทั้งหลายไม่เต็มใจที่จะไปเฝ้าศพคุณหนูเหอเลยแม้แต่น้อย เพราะเป็งานที่เรียกได้ว่า ‘เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมเอากระดูกมาแขวนคอ’ ที่กล่าวเช่นนั้นด้วยมีเหตุผลหลายประการ ประการที่หนึ่ง ฮูหยินรองผู้ดูแลจวนไม่ชอบเหอตังกุยผู้เป็หลานสาว ประการที่สอง การจัดงานศพของเหอตังกุยในครั้งนี้ มีเงินกว่าร้อยยี่สิบตำลึงผ่านมือของพวกนาง ต่อให้บัญชีจะเขียนไว้อย่างชัดเจน แต่หากฮูหยินรองจะแอบหักค่าเทียนสักสองสามส่วนก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้
ทว่าเมื่อวานตอนค่ำขณะที่เหล่าบ่าวรับใช้กลับมาถึงจวนหลัวก็ได้ยินข่าวว่า คุณชายแปดที่จวนมารดาของฮูหยินรองตายไปเมื่อวันก่อน เมื่อฮูหยินรองทราบเื่ก็ร้องห่มร้องไห้อย่างหนัก รีบวิ่งไปขออนุญาตฮูหยินชราเพื่อลากลับจวนมารดาทันที
จวนตระกูลหลัวในวันนี้นั้น ฮูหยินใหญ่ก็ไม่เข้าใจเื่บัญชีทรัพย์สิน ฮูหยินสามก็มีครรภ์ เมื่อเป็เช่นนี้ ฮูหยินชราจึงต้องเป็ผู้ดูแลจวนแทน
ฮูหยินชรารักและทะนุถนอมลูกสาวผู้เป็ท่านแม่ของคุณหนูเหอมาก หากฮูหยินชรารู้ว่าคุณหนูสามไม่เพียงแต่ยังไม่ตาย อีกทั้งยังพบเจอเื่มหัศจรรย์อีก นางจะต้องดีใจเป็แน่แท้ เื่ที่สามารถจะเอาหน้ากับฮูหยินชราได้เยี่ยงนี้ ใครบ้างจะไม่อยากทำ? อีกอย่างนางก็รับเงินจากคุณหนูเหอแล้ว เมื่อรับเงินผู้อื่นก็ต้องหัดมือไม้อ่อน ฉะนั้นตอนที่นางเล่าเื่ราวทุกอย่างออกไปจะต้องพูดความดีงามของคุณหนูเหอเพิ่มเติมเข้าไปด้วยเสียแล้ว
แม่นางจีนำพวกนางเดินมาจนถึงหน้าประตู ก่อนจะเข้าไปแจ้งฮูหยินชราเสียก่อน จากนั้นจึงออกมาเรียกให้พวกนางเข้าไป หลังจากทุกคนเข้าไปข้างในแล้วจึงเห็นว่าฮูหยินชราเอนตัวนอนอยู่บนโซฟาไม้ สายตาของนางเศร้าสลด ไม่ชายตามองผู้ใดทั้งสิ้น ดวงตาทั้งสองข้างคล้ายจะลืมทว่าไม่เบิกกว้างเสียทีเดียว
บนพื้นข้างกายมีบ่าวรับใช้สามคนกำลังนั่งนวดขา ฮูหยินใหญ่และหลานสะใภ้ต่งก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ข้าง ๆ ทั้งสองคนมองพวกนางอย่างเคือง ๆ บ่าวรับใช้หวงยิ้มพลางกล่าวว่า “ฮูหยินชราเ้าคะ มีเื่มงคลเ้าค่ะ! ตระกูลหลัวของเราเจอเื่มงคลเกี่ยวกับเทพเ้าสำแดงอิทธิฤทธิ์เ้าค่ะ”
หลังจากกล่าวประโยคนั้นออกมา ทุกคนภายในห้องก็หันมาจ้องนางเป็ตาเดียว นางจึงเล่าเื่คุณหนูสามฟื้นคืนชีวาให้ทุกคนฟังอย่างออกรส ทั้งยังเล่าอีกว่ามีแขกระดับสูงจากเมืองหลวงมาที่วัดสุ่ยซัง เมื่อได้พบคุณหนูสามก็ได้ยินเื่ ‘ท่านเทพมอบยาเซียนตานให้คุณหนูสาม’ ด้วยเช่นกัน พวกเขาวิเคราะห์ว่าท่านเทพองค์นั้นคือท่านเทพซิ่ว หนานจี๋เซียงเวิง หนึ่งในสามเทพเ้าจีน ฮก ลก ซิ่ว
ยาเซียนตานที่คุณหนูเหอได้รับนั้นเป็ถึงยาที่ท่านเทพมอบให้ จิ๊ ๆ ยาเพียงเล็กน้อยในโลกของเทพนั้น หากเทียบกับโลกมนุษย์ของเราแล้ว มันก็คือยาวิเศษที่ทำให้คนฟื้นคืนชีพได้ ตอนนี้ใบหน้าของคุณหนูแดงเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวาราวกับเมฆสีรุ้ง ร่างกายของนางแข็งแรงกว่าแต่ก่อนเสียอีก!
ฮูหยินชราดีดตัวขึ้นจากโซฟาไม้ด้วยความตื้นเต้นในทันที นางรีบเอ่ยถามกลับไป “เ้าไม่ได้หลอกให้ข้าดีใจใช่หรือไม่? อี้เอ๋อร์ล่ะ? เหตุใดจึงไม่พานางกลับมาด้วย?”
บ่าวรับใช้หลิวตอบกลับ “แม้ว่าคุณหนูสามจะกินยาเซียนตานเข้าไป ทว่านางก็ขาดลมหายใจไปถึงสองวันเชียวนะเ้าคะ ดังนั้นจึงยังทนรับแรงสั่นะเืระหว่างเดินทางไม่ไหว ตอนนี้นางพักฟื้นฟูร่างกายอย่างสงบอยู่ที่วัดสุ่ยซังเ้าค่ะ คุณหนูสามคิดถึงท่านฮูหยินชราและฮูหยินในจวนคนอื่น ๆ เป็อย่างมาก ในใจหวังเพียงอยากจะพบหน้ากันในเร็ววัน เอาเช่นนี้ดีหรือไม่เ้าคะ เราจัดเตรียมรถม้าออกไปรับคุณหนูสามกลับมาตอนนี้ดีหรือไม่?” ฮูหยินชราพยักหน้ารับ นางกำลังจะกล่าวสั่งการแต่ลูกสะใภ้ใหญ่จากตระกูลจ้าวกลับกล่าวแทรกขึ้น “ช้าก่อน เื่นี้ผิดแผกยิ่งนัก จะผลีผลามไม่ได้เด็ดขาดเ้าค่ะ!”
ฮูหยินชราขมวดคิ้วมองนาง “สะใภ้จ้าว เ้าพูดไร้สาระอันใด หากเ้าทำให้ท่านเทพไม่พอใจ เ้าจะรับผิดชอบไหวรึ!”
ฮูหยินใหญ่จึงกล่าวต่อว่า “ข้าไม่ได้พูดจาเรื่อยเปื่อยนะเ้าคะท่านแม่ย่า ท่านเคยได้ยินที่เขาพูดกันหรือไม่ ‘ความฝันมักจะตรงข้ามกับสิ่งที่ฝันเห็น’ อี้เอ๋อร์ฝันเห็นเื่มงคล แต่ใช่ว่าจะเป็เื่มงคลจริง ๆ นี่เ้าคะ ปีที่แล้วฮูหยินรองเคยเชิญซินแสมาดูที่จวน ตอนนั้นท่านซินแสบอกว่าทางทิศตะวันตกของจวนมีคนชะตาแข็งที่คอยกดทับอายุขัยของผู้ใหญ่อยู่ อี้เอ๋อร์ก็อยู่เรือนปีกตะวันตก วันนี้นางตายแล้วฟื้นขึ้นมา ชะตาแข็งเยี่ยงนี้ ไม่ได้เป็ดังที่ซินแสพูดไว้หรอกหรือเ้าคะ?”
จิตใจของฮูหยินชราเกิดความหวั่นไหว ทว่าปากกลับพูดตำหนิไปเบา ๆ “เ้าเป็ถึงป้าสะใภ้นาง เหตุใดจึงพูดถึงนางเยี่ยงนี้!”
หลานสะใภ้จากตระกูลต่งจับสีหน้าและคำพูดได้จึงถือโอกาสพูดสำทับ “ท่านย่าทวด พวกข้าล้วนหวังให้อี้เอ๋อร์พบเจอแต่เื่ดี นางเองก็เป็เืเนื้อเชื้อไขคนเดียวของท่านน้าหญิงเสียด้วย แต่ข้าว่าเื่นี้มีเค้าแปลกประหลาดยิ่งนักเ้าค่ะ สามวันก่อน จูเกอเอ๋อร์ลูกข้าเริ่มเป็ไข้สูง กินข้าวได้น้อยกว่าปกติ แล้ววันก่อนคุณชายแปดที่จวนมารดาของฮูหยินรองก็สิ้นใจ ไม่นานก็มีข่าวจากวัดสุ่ยซังว่าอี้เอ๋อร์ฟื้นคืน เหตุใดเื่ราวทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นถึงได้ประจวบเหมาะกันเช่นนี้? ในใจของหลานสะใภ้เช่นข้านั้นมีเื่คาดเดาไว้ แต่ไม่รู้ว่าควรพูดออกมาหรือไม่...” นางกล่าวแล้วหยุดลงอย่างลังเล แสร้งทำเป็ไม่อยากพูดเสียเต็มประดา
ฮูหยินชราหน้าตึงเครียด “มีเื่อันใด ทำไมไม่รีบพูด ที่นี่หาได้มีผู้อื่นไม่!” หลานสะใภ้ต่งพูดต่ออย่างตะกุกตะกักว่า “...นางคงไม่ได้โดนภูตผีปีศาจเข้าสิง...แล้วกลับมาพรากชีวิตของพวกเราใช่หรือไม่เ้าคะ... เพราะในจวนมีเด็กวัยเยาว์อยู่จึงทนรับไม่ไหวเช่นนี้ นางยังกลับมาไม่ถึงจวนเลยด้วยซ้ำ คนป่วยก็ป่วย คนตายก็ตายเยี่ยงนี้แล้ว... ท่านย่าทวดยังจำได้หรือไม่ ในตอนที่เหวยเกอเอ๋อร์อายุครบเดือนนั้นเป็ไข้สูงถึงสามวัน แม้แต่ท่านหมอก็ไร้หนทางรักษา ตระกูลเฟิ่งรุ่ยที่มากประสบการณ์และมีความรู้กว้างขวางยังบอกว่าโดนภูตผีปีศาจทำให้ใจึงเป็เช่นนี้ ตอนแรกข้าเองก็ไม่เชื่อ ต่อมาข้าเห็นเหวยเกอเอ๋อร์ทุกข์ทรมาน หัวใจคนเป็แม่เช่นข้าก็เหมือนดั่งโดนมีดทิ่มแทง ข้าไม่มีหนทางอื่นแล้วจริง ๆ จึงไปเชิญพระท่านมาทำพิธี จากนั้นเหวยเกอเอ๋อร์ก็หายดี วันนี้อาการของจูเกอเอ๋อร์เป็เหมือนกันกับเหวยเกอเอ๋อร์ในวันนั้นไม่มีผิดเพี้ยนเลยเ้าค่ะ!”
ฮูหยินใหญ่ใช้มือปิดปากและแสร้งทำสีหน้าตกอกใ “ท่านแม่ย่า ท่านเป็ห่วงเหลนมาโดยตลอด ท่านจะต้องปกป้องพวกเขานะเ้าคะ หากให้ภูตผีปีศาจเข้าจวน ลูกหลานเราได้ตายเป็แน่!”
ฮูหยินชราขมวดคิ้ว สีหน้าของนางเปลี่ยนเปลี่ยนมา ทันใดนั้น ฮูหยินใหญ่เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ใบหน้าอ้วนท้วมแสดงสีหน้าอัดอั้นตันใจ “อันที่จริงพวกข้าก็กลัวว่าตัวเองจะคิดเองเออเอง แล้วกลายเป็การกล่าวหาอี้เอ๋อร์อย่างไม่มีมูลเหตุ ทว่าโชคดีที่ตอนนี้ท่านฉีเสวียนอวี้พักอยู่ในเรือนหนานหยวนแห่งจวนหลัวของพวกเราพอดี ปกติแล้วไม่ว่าจวนไหนก็เชิญท่านไปไม่ได้ เช่นนั้นถือโอกาสที่ท่านอยู่ที่นี่ให้ช่วยทำนายดีหรือไม่เ้าคะ?”
ฮูหยินชราศรัทธาในเื่ผีสางเทวดามาแต่ไหนแต่ไร ตอนแรกที่รู้ว่าคุณหนูสามได้รับการช่วยเหลือจากท่านเทพ นางดีอกดีใจเป็อย่างมาก ใครจะรู้ว่าเพียงนางฟังลูกสะใภ้และหลานสะใภ้กล่อมแค่ไม่กี่ประโยค ความปีติยินดีในใจก็มอดดับลง อีกทั้งสิ่งที่พวกนางพูดยังเป็เหตุเป็ผลอีก ในใจของฮูหยินชราจึงค่อย ๆ เชื่อไปในสามถึงสี่ส่วนแล้ว เมื่อเป็เช่นนี้นางจึงพยักหน้าตอบรับ “ก็ดี ข้าอยากรู้เหมือนกันว่าท่านฉีรุ่นลูกรุ่นหลานผู้นี้เป็เช่นไร เหตุใดเหล่าไท่เหยีย[2]ของจวนหลัวจึงให้ความสำคัญถึงเพียงนี้” หลังกล่าวจบก็หันกลับมาสั่งแม่นางจีที่ยืนอยู่ข้างล่าง “เ้าไปเชิญท่านฉีที่เรือนหนานหยวนมา”
ฮูหยินใหญ่ซ่อนความดีอกดีใจอยู่ภายใน ก่อนจะหันไปพูดกับเหล่าบ่าวรับใช้หลิวจิ่วกวง “พวกเ้าออกไปดื่มชาพักผ่อนเสีย ไม่ต้องอยู่ที่นี่แล้ว” เหล่าบ่าวรับใช้จึงโค้งตัวคำนับและขอตัวออกไป
หลานสะใภ้ต่งลังเลเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นว่า “ข้าต้องขอตัวไปดูแลจูเกอเอ๋อร์ก่อน ขออนุญาตไม่อยู่ฟังนะเ้าคะ”
ฮูหยินใหญ่พยักหน้าอนุญาต จากนั้นหลานสะใภ้ต่งจึงลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เสียงกระดิ่งกริ๊ง ๆ ที่ติดตัวนางดังออกไปทางประตู เวลานี้ในห้องเหลือเพียงฮูหยินชรา ฮูหยินใหญ่และบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติอีกสามคนเท่านั้น
ฉีเสวียนอวี้เป็ลูกชายคนเดียวของราชครูฉีจิง เขาเป็หัวกะทิแห่งวิชาโหราศาสตร์มาั้แ่เยาว์วัย มีฉายาว่า ‘เทียนจีจื่อ’ ตอนนี้ดำรงตำแหน่งขุนนางระดับห้า เป็ผู้กำกับสำนักหอดูดาวหลวง ได้ยินมาว่าฉีเสวียนอวี้อายุยังไม่ถึงยี่สิบสี่ปี ใบหน้าของเขานั้นขาวเกลี้ยงเกลาประดุจหยกเนื้อดี รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา ไม่รู้ด้วยสาเหตุอันใดจึงมาเป็เพื่อนกับเหล่าไท่เหยียแห่งจวนหลัวที่มีอายุถึงแปดสิบเอ็ดปีได้โดยที่ไม่สนช่องว่างแห่งวัยเช่นนี้
ดังนั้น เมื่อพวกเขากลับมาที่เมืองหยางโจว ฉีเสวียนอวี้จึงไม่ได้เข้าพักในจวนที่ทางราชการจัดหาไว้ให้ ทว่าตรงเข้ามาพักที่ตระกูลหลัวแทน
บ่าวรับใช้ต่งถึงแม้ว่าจะเป็หญิงที่แต่งงานแล้ว แต่นางก็ยังเป็สาววัยรุ่นคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่ควรจะมาเสนอหน้าให้แขกเห็น เมื่อฮูหยินชราและฮูหยินใหญ่คิดได้ดังนั้น จึงสั่งให้นางออกไป
เวลาผ่านไปราวหนึ่งถ้วยน้ำชา แม่นางจีก็นำชายหนุ่มเดินเข้ามา เขายกสองมือขึ้นประสานกันแล้วโค้งคำนับเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าฮูหยินชรามีเื่อันใดจะกำชับหรือ?”
ฮูหยินชราและฮูหยินใหญ่มองหน้ากัน ใบหน้าของทั้งสองฉายแววประหลาดใจแวบหนึ่ง ตำนานผู้กำกับสำนักหอดูดาวหลวงหน้าตาเป็เช่นนี้หรอกหรือ...
ผู้ที่มาถึงนั้นเป็เด็กหนุ่มรูปงาม สวมเสื้อผ้าแพรสีเขียว ศีรษะประดับด้วยหมวก ในปากคาบหญ้าหางหมาจิ้งจอกไว้หนึ่งก้าน
ฮูหยินชรายิ้มพลางกล่าวว่า “ใต้เท้าฉีเป็ถึงสหายของเหล่าไท่เหยียที่มีศักดิ์เท่ากัน แม้แต่เหล่าเซิน[1]ยังมีศักดิ์น้อยกว่าท่านหนึ่งขั้น ข้าจะกล้าใช้คำว่า ‘กำชับ’'' กับท่านได้อย่างไร เพียงแต่ตอนนี้ข้ามีเื่อยากจะขอร้องท่าน” ขณะที่นางกำลังพูดก็สั่งให้บ่าวรับใช้นำกระดาษไปให้หนึ่งแผ่น “ได้ยินมาว่าใต้เท้าฉีสามารถทำนายราศีจากใบหน้าและทำนายดวงชะตาแปดตัวอักษรได้อย่างถูกต้องแม่นยำ ทั้งยังได้ยินมาอีกว่าพ่อค้าผู้ร่ำรวยหาบเงินทองหลายลังไปเชิญท่าน ทว่าท่านกลับไม่แยแสแม้แต่น้อย พูดเพียงประโยคเดียวว่า ‘ถึงแม้จะทำนายได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะทำนายได้ทุกเมื่อ’ วันนี้จวนตระกูลหลัวของข้านั้นเกิดเื่แปลกประหลาดขึ้น เหล่าเซินไม่มีหนทางอื่นสำหรับเื่นี้แล้ว จึงทำได้เพียงพึ่งพามิตรภาพของท่านกับเหล่าไท่เหยีย เชิญท่านทำนายดวงชะตาแปดอักษรบนกระดาษนี้เสียหน่อยเถิด”
ดวงตาเรียวคมของฉีเสวียนอวี้ฉายแววยิ้มเยาะ “ฮูหยินชรากล่าวเกินไปแล้ว ข้ากินอยู่ที่จวนของท่านฟรี ๆ กว่าครึ่งเดือนแล้ว ทำนายเพียงแปดอักษรไม่มีปัญหาอันใดหรอก” พูดจบก็รับกระดาษพลางมองไปที่อักษรแปดตัว ไตร่ตรองเพียงครู่จึงกล่าวขึ้น “วันติงไฮ่ เดือนอี่เหว่ย ปีกุ่ยไฮ่ ทิศอสูรตะวันตก ดาวฤกษ์ปี้ หนึ่งในธาตุทั้งห้าคือธาตุดิน เป็ผู้ที่มีดวงชะตาดีในตำราแปดอักษร ไม่ทราบว่าฮูหยินชราอยากจะถามอะไรหรือ"
ฮูหยินชราถอนหายใจแล้วพูดว่า “หลานสาวของเหล่าเซิน สิบวันก่อนเสียชีวิตโดยไม่คาดฝัน ที่จวนไม่สะดวกจัดพิธีศพจึงส่งนางไปยังวัดสุ่ยซังที่นอกเมือง แต่วันนี้มีบ่าวรับใช้ที่ส่งไปเฝ้าศพกลับมาแจ้งว่าหลานสาวของข้าฟื้นคืนชีพแล้ว นางยังจำได้อีกว่าได้กินยาเซียนตานจากท่านเทพลงไปถึงได้ฟื้นขึ้นมา แต่ในเวลาเดียวกันนั้น เหลนน้อยในจวนก็ป่วย จนวันนี้ก็ยังไม่ดีขึ้น เหล่าเซินกลัวว่าจะมีเื่ไม่ดี จึงอยากให้ท่านช่วยตรวจดูดวงชะตาแปดอักษรให้หลานสาวข้าเสียหน่อย ว่ามีไอภูตผีปีศาจหรือไม่?”
ฉีเสวียนอวี้อดหัวเราะไม่ได้ “ไอภูตผีปีศาจเช่นนั้นหรือ? ฮูหยินชราพูดแบบนี้ไม่ค่อยจะดีนัก ฟ้าดินรู้ดี หากมีไอภูตผีปีศาจจริง นางก็เข้าประตูสีแดงชาดของจวนท่านไม่ได้อยู่ดี ในเมื่อคุณหนูผู้นี้เคยพักอยู่ในจวนมาก่อน เช่นนั้นนางก็เป็คนที่ตัดขาดไม่ได้อยู่แล้ว ไม่เกี่ยวว่าจะมีไอภูตผีปีศาจหรือไม่ สำหรับเด็กน้อยในจวนที่ล้มป่วยผู้นั้น ไม่ทราบว่ามีความเกี่ยวข้องกับคุณหนูผู้นี้อย่างไรหรือ ใช่พี่น้องแท้ ๆ หรือไม่?”
ฮูหยินชราส่ายหน้า “จูเกอเอ๋อร์เป็ลูกของลูกพี่ลูกน้องนาง นับญาติดูแล้วก็คือหลานชายของนาง”
“ตอนนี้บิดามารดาและลูกพี่ลูกน้องของนางแข็งแรงดีหรือไม่?”
“บิดามารดาของนางแข็งแรงดี ทั้งมารดายังมีใจแสวงหาทางธรรม”
สายตาเรียวคมดุจหงส์ของฉีเสวียนอวี้เผยแววขบขันขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะกล่าวด้วยคำพูดเย้ยหยัน “แต่ไหนแต่ไรมา คำว่า ‘ชะตาแข็งกดทับ’ คือกดทับผู้าุโในครอบครัวเช่นบิดามารดา ข้าไม่เคยได้ยินว่าจะไปกดทับชีวิตของหลานได้ ในเมื่อบิดามารดาของคุณหนูยังปลอดภัยไร้โรคภัยไข้เจ็บ เช่นนั้นแล้ว นางจะต้องวนเวียนไปกดทับไกลถึงรุ่นหลานตัวเองด้วยเหตุใดเล่า ฮ่า ๆ ใครพ่นความคิดที่ไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมาหรือ?”
ฮูหยินใหญ่ถึงกับหน้าชา ปากก็ตำหนิไปด้วยว่า “ล้วนแต่เป็แม่ของจูเกอเอ๋อร์กล่าวขึ้น ปกติแล้วนางก็เป็ผู้มีความรู้น้อย อีกทั้งจูเกอเอ๋อร์ก็เป็เืเนื้อเชื้อไขของนาง นางจึงอดคิดมากไม่ได้เ้าค่ะ”
ฉีเสวียนอวี้ได้แต่หัวเราะเท่านั้นทว่าไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
ฮูหยินใหญ่ถามขึ้นอีกครั้ง “จากอักษรแปดตัวนี้ยังมีสิ่งใดอีกหรือไม่ ชะตากรรมของอี้เอ๋อร์เป็เช่นไร ในอนาคตยังจะมีเคราะห์ใหญ่อีกหรือไม่เ้าคะ”
“อืม...ดอกท้ออยู่ในทะเลสาบ เงาสีแดงในน้ำยาวไกลถึงสิบหลี่” ฉีเสวียนอวี้มองกระดาษในมืออย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากฮูหยินชราอยากถามเื่การแต่งงานของคุณหนู เช่นนั้นก็ไม่ต้องกังวลไป สามีของคุณหนูในอนาคตนั้นเป็ดั่งั ทั้งสองเป็คู่ที่ดีต่อกันยิ่งนัก”
เชิงอรรถ
[1] เหล่าเซิน แปลว่า แม่เฒ่า เป็คำเรียกตัวเองของหญิงสูงวัย
[2] เหล่าไท่เหยีย เป็คำเรียกชายสูงอายุด้วยความเคารพ ในที่นี้ใช้เรียกสามีของฮูหยินชรา