เจินจูยิ้มพลางกล่าวว่า “อย่ากลัวไปเลย แขกได้ยินเื่ที่เ้าฟื้นจากความตายจึงอยากเรียกเ้าไปถามไถ่ดูก็เท่านั้น ถามเสร็จก็คงปล่อยเ้าออกมานั่นแหละ” นางพูดพลางปัดปอยผมให้เหอตังกุยอย่างตั้งใจ จากนั้นจึงพาเหอตังกุยไปยังห้องปีกตะวันตก
เมื่อเดินเข้าไปในเรือนปีกตะวันตก ทั้งสองได้ยินเสียงแม่ชีไท่ซั่นกำลังกล่าวขอโทษขอโพยอย่างไม่หยุดหย่อน “ขอโทษเ้าค่ะ ข้าจะกลับไปอบรมสั่งสอนศิษย์ให้ดีกว่านี้ เผลอล่วงเกินพวกท่านเข้าเสียแล้ว...”
จากนั้นก็มีเสียงทุ้มต่ำพูดขัดขึ้น “แค่เื่เข้าใจผิดเล็กน้อยเท่านั้น ท่านอาจารย์จะกังวลใจไปไย”
ั้แ่เมื่อวานที่จิ่นอีเว่ยเข้ามาพักในวัดสุ่ยซังแห่งนี้ แม่ชีไท่ซั่นได้ส่งแม่ชีสาว ๆ กว่าสิบคนมาดูแลเื่อาหารการกินของพวกเขา จิ่นอีเว่ยส่วนใหญ่เป็ลูกหลานของขุนนางในเมืองหลวง ได้รับการปรนนิบัติรับใช้จนเคยชิน พวกเขาจึงตกปากรับคำโดยไม่รู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้จะสร้างความเสียหายอันใด
หารู้ไม่ว่าพวกนางเข้าไปรับใช้ด้วยจิตใจมักใหญ่ใฝ่สูง เป้าหมายของพวกนางคือเปลี่ยนฐานะที่แสนต่ำต้อยให้สูงส่งขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสงวนตัวเลยสักคน ไม่ใช่พวกนางดูแลพวกเขาได้ไม่ดี ออกจะดีมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ เมื่อถึงเวลากินข้าว คนหนึ่งพยายามคีบอาหารมาป้อน อีกคนหนึ่งก็คะยั้นคะยอให้ดื่มเหล้า ปากก็เล่าความดีงามของตัวเองไปด้วย ที่เห็นจะหนักหนาที่สุดคืออยู่ดี ๆ ก็มีคนร้องเพลงขึ้นมาเสียดื้อ ๆ เมื่อเหล่าขุนพลจิ่นอีเว่ยทั้งหลายได้ฟังก็ปวดกบาลไปตาม ๆ กัน
ยังดีที่ต้วนเสี่ยวโหลว ลู่เจียงเป่ย เลี่ยวจือหย่วนและคนอื่น ๆ สามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็อย่างดี โดยเฉพาะต้วนเสี่ยวโหลวที่เป็ผู้พิทักษ์หญิงสาวมาั้แ่กำเนิด เขาคิดอยู่เสมอว่าผู้หญิงนั้นเปราะบาง ไม่ควรจะพูดกับพวกนางด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เช่นนั้นแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกทรมานจิตใจมากเพียงใด แต่ก็ยังกล้ำกลืนฝืนทนกินอาหารกับแม่ชีเ่าั้จนจบมื้อลงได้
วันต่อมา เหล่าแม่ชีมาตรงตามเวลาอาหารกลางวันอย่างพอดิบพอดี ทว่าวันนี้เกาเจวี๋ยมีสีหน้าอึมครึมอย่างเห็นได้ชัด หลังจากกินข้าวไปได้ไม่กี่คำ ในใจของทุกคนก็ยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้นเรื่อย ๆ ความกระตือรือร้นของแม่ชีเหล่านี้มีแต่จะเพิ่มขึ้น ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย แม่ชีคนหนึ่งถึงกับทิ้งร่างทาบทับลงมาบนตัวของเกาเจวี๋ย เขาไม่อาจระงับโทสะได้อีกต่อไป จึงะเิอารมณ์ที่กักเก็บไว้ตลอดสองวันออกมา
ทันใดนั้น เกาเจวี๋ยดึงดาบจากเอวของเขาออกมา ‘ปัง’ เขาเสียบมันลงที่กลางโต๊ะอาหารอย่างแรงจนทะลุเนื้อไม้ถึงสามนิ้ว แม่ชีทั้งหลายเห็นดังนั้นก็ใวิ่งกระเจิงออกไปในทันที
เจี่ยงพีมองไปที่ต้วนเสี่ยวโหลว “คุณชายต้วน เมื่อวานนี้เ้าเปิดเผยตัวตนกับแม่ชีน้อยสองคนนั้นว่าพวกเราเป็ขุนนาง หรือจะเป็พวกนางที่เปิดเผยเื่นี้?”
ต้วนเสี่ยวโหลวเลิกคิ้วพลางถามกลับ “แต่เมื่อวานสัมภาระของเ้าถูกเคลื่อนย้ายไม่ใช่รึ ที่ตราราชการหนีบติดเส้นผมมาเส้นหนึ่งด้วยใช่หรือไม่”
ใต้เท้าเกิ่งส่ายหน้า “ตอนนี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าใครเป็คนเปิดเผยตัวตนเรา สำคัญที่ตอนนี้มีใครรู้จักตัวตนของเราบ้าง จะได้ทำให้พวกเขาปิดปากให้สนิท”
ขณะใต้เท้ากำลังพูดอยู่ จู่ ๆ แม่ชีไท่ซั่นก็เดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน เรียกได้ว่าเสียงมาก่อนคนเสียอีก “ตายแล้ว ๆ ข้าต้อนรับพวกท่านได้ไม่ดี ต้องขออภัยด้วย ขออภัยเ้าค่ะ!”
เมื่อแม่ชีไท่ซั่นพูดจบ ลู่เจียงเป่ยก็เปิดฉากถามขึ้นทันทีว่านางรู้จักตัวตนของพวกเขาได้อย่างไร แม่ชีไท่ซั่นเห็นว่าไม่สามารถปิดบังได้อีกต่อไปแล้ว จึงบอกไปว่าลูกศิษย์ของนางเห็นตราราชการเข้าโดยบังเอิญ แม้ศิษย์ของนางจะไม่ค่อยรู้ตัวหนังสือ แต่ก็พอเดาได้ว่าทุกท่านนั้นล้วนเป็เ้าขุนมูลนาย
ได้ฟังดังนั้น ใต้เท้าเกิ่งจึงแสร้งทำเป็โมโหแล้วกล่าวว่า เหตุที่พวกเขามาที่วัดอันห่างไกลนี้ เป็เพราะไม่อยากให้คนรับรู้ร่องรอย ผู้ใดที่ล่วงรู้ตัวตนของพวกเขาจะต้องปิดเป็ความลับอย่างเคร่งครัด มิเช่นนั้นจะถูกข้อหาขัดขวางการปฏิบัติงานของเ้าหน้าที่และจะถูกลงโทษโดยการจับขังคุก
แม่ชีไท่ซั่นใจนเผลอพยักหน้าย้ำ ๆ นางยืนยันว่าคนในวัดที่รู้เื่นี้มีเพียงนางและเจินซีเท่านั้น ทั้งสองจะไม่แพร่งพรายออกไปโดยเด็ดขาด แม่ชีไท่ซั่นหมายมั่นกับตนเองในใจไว้แล้วว่า เมื่อนางกลับออกไป นางจะจับเจินซีขังไว้เป็อันดับแรก
ลู่เจียงเป่ยสอบถามแม่ชีไท่ซั่นเพิ่มเติม เขากล่าวว่าเมื่อวานนี้ขณะขึ้นเขา พวกเขาพบแม่ชีน้อยสองคน หนึ่งในนั้นมีหน้าตาและคำพูดที่โดดเด่นมาก ทว่าแม่ชีไท่ซั่นกลับจำไม่ได้เลยว่าตนเองมีลูกศิษย์เช่นนั้นด้วย ต้วนเสี่ยวโหลวจึงกล่าวเพิ่มเติมว่าตนอยากจะพบคุณหนูเหอที่ตายแล้วฟื้นผู้นั้น ดังนั้นแม่ชีไท่ซั่นจึงสั่งให้คนไปเรียกเหอตังกุยและเจินจูทันที
เมื่อมาถึง เจินจูยืนรออยู่นอกเรือน เหอตังกุยสวมชุดเสื้อคลุมสีเขียวบุด้วยฝ้าย บนศีรษะของนางเกล้ามวยผมอย่างเรียบง่าย หลังจากที่นางเดินเข้าไปถึงข้างในแล้ว นางก็ทำความเคารพด้วยความสุภาพ “คารวะท่านใต้เท้า”
แขกที่นั่งอยู่ในห้องโถงต่างมองหน้ากันไปมา ที่แท้แม่ชีน้อยที่เจอเมื่อวานก็คือคุณหนูเหอนั่นเอง ลู่เจียงเป่ยกล่าวออกมาก่อนใครเพื่อน “ฮ่า ๆ แบบนี้ก็ถือว่าครบแล้ว คุณหนูเหอ...เื่สถานะขุนนางของพวกข้านั้นมิอนุญาตให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ ทว่าเมื่อวานต้วนชีหลุดปากบอกพวกเ้าออกไป อย่างไรก็ขอให้แม่นางและแม่ชีน้อยคนเมื่อวานอย่าได้แพร่งพรายเื่นี้เด็ดขาด” เหอตังกุยก้มหน้าลงเล็กน้อยและขานรับ “เ้าค่ะ”
แม่ชีไท่ซั่นรู้สึกไม่พอใจเป็อย่างยิ่ง เหตุใดขุนนางเหล่านี้จึงใช้คำพูดดี ๆ กับนังเด็กนั่น แต่กลับพูดขู่นางที่เป็ถึงผู้ดูแลวัดด้วยคำว่า ‘ขังคุก’ เช่นนั้นเล่า?
ต้วนเสี่ยวโหลวขยับตัวลุกขึ้น ก่อนจะหยิบเอาถ้วยชาที่ยังไม่มีใครแตะต้องวางลงที่เก้าอี้ตัวสุดท้าย แล้วกล่าวขึ้นอย่างโอบอ้อมอารี “ที่แท้แม่นางก็ไม่ใช่แม่ชีน้อย แต่เป็คุณหนูจากตระกูลขุนนางนี่เอง เมื่อวานที่ข้าขวางทางแม่นางนั้นเสียมารยาทนัก ข้าต้องขออภัย ได้ยินมาว่าแม่นางเพิ่งจะหายจากอาการป่วยหนัก จะยืนให้เมื่อยล้าอยู่ไย รีบมานั่งลงเสียเถิด” เลี่ยวจือหย่วนยิ้มอย่างมีเลศนัย พลางใช้สายตามองไปยังต้วนเสี่ยวโหลวอย่างเชือดเฉือน
เหอตังกุยนั่งลงตามที่ต้วนเสี่ยวโหลวบอก ชายหนุ่มพ่นคำถามใส่นางเป็ขบวน ข้อเท้าแพลงดีขึ้นหรือยัง ยังมีส่วนไหนไม่สบายอีกหรือไม่ ยาที่กินอยู่ได้สัดส่วนหรือไม่ รวมไปถึงครอบครัวจะมารับนางกลับไปเมื่อไหร่...
ทันใดนั้นหัวใจของแม่ชีไท่ซั่นก็ตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่มทันที นางกลัวว่าเื่ที่นางปฏิบัติไม่ดีต่อเหอตังกุยจะถูกเปิดโปง อีกทั้งเมื่อฟังจากน้ำเสียงของขุนนางเหล่านี้แล้ว ก็ดูจะเป็ห่วงเป็ใยนังเด็กนี่เสียเหลือเกิน เฮ้อ...รู้เช่นนี้น่าจะทำดีกับนางเสียั้แ่ทีแรก เมื่อวานพวกเขาก็เคยเจอกันแล้วที่ทางเดินบนูเา แต่นางกลับไปโกหกขุนนางเหล่านี้ว่า ‘คุณหนูเหอกินยาแล้วหลับไป’ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะสืบสาวเอาความเื่ที่โกหกนี้ด้วยหรือไม่
ใบหน้าของเหอตังกุยยังคงสงบนิ่ง แม้ว่านางจะได้รับความเป็ห่วงเป็ใยจากชายรูปงามเช่นต้วนเสี่ยวโหลวก็ตาม สีหน้าของนางนั้นไม่อาจมองออกเลยว่ากำลังเบิกบานใจ กำลังตกตะลึงกับความใส่ใจที่ไม่คาดฝัน หรือกำลังดีอกดีใจจนอยากจะร้องห่มร้องไห้
ทว่าความจริงแล้วนางหาได้เป็เยี่ยงนั้นไม่ นางเพียงก้มหน้าก้มตาตอบไปทีละคำถามเท่านั้น คำตอบของนางล้วนออกมาดีกว่าที่แม่ชีไท่ซั่นคิดเอาไว้ เมื่อได้ฟังดังนั้นแม่ชีไท่ซั่นจึงรู้สึกพอใจยิ่งนัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
เลี่ยวจือหย่วนยิ้มพลางกล่าวว่า “รู้มาว่าคุณหนูเหอได้ไปเดินเล่นที่์ชั้นฟ้ามาถึงสองวันก่อนจะกลับมายังโลกของเรา เื่ระหว่างที่ไปนั้นเป็อย่างไรบ้าง?”
เหอตังกุยฉุกคิดพลางตอบด้วยความลังเล “เื่อื่นข้าจำไม่ได้ จำได้เพียง...ได้เจอกับท่านผู้เฒ่าที่มีผมสีขาวดุจหิมะคนหนึ่ง ทว่าใบหน้าเปล่งปลั่งราวกับทารกน้อย แววตาของเขาเปี่ยมไปด้วยความเมตตา ข้ารู้สึกเหมือนได้รับสิ่งมหัศจรรย์บางอย่าง แต่เมื่อข้าตื่นขึ้นมาพินิจพิจารณาดูแล้ว จึงคิดว่าตนเองเพียงฝันประหลาดเท่านั้น ไม่นับว่าเป็สิ่งมหัศจรรย์หรอก”
“หา!?” คนหลายคนกล่าวถามออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน “สิ่งมหัศจรรย์อันใด?”
เหอตังกุยเห็นว่าทุกคนให้ความสนใจถึงเพียงนี้ นางจึงเผยสีหน้ากระวนกระวายออกมาพลางกล่าวขึ้น “ความทรงจำส่วนนี้...ข้าจำได้ไม่ค่อยชัดเจนนัก คล้ายว่าข้าได้รับยาเม็ดหนึ่งจากท่านผู้เฒ่า หลังจากที่กลืนมันลงไป จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าร่างกายมีพลังเพิ่มขึ้น จากนั้นจึงลืมตาตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองนอนอยู่ในโลงที่ศาลาพักศพ”
ลู่เจียงเป่ยเคาะนิ้วชี้ลงบนพนักวางแขนเป็จังหวะ “จิ๊ ๆ ๆ มหัศจรรย์ ช่างมหัศจรรย์จริง ๆ ! เื่ที่คุณหนูเหอประสบมานั้นช่างหาได้ยากยิ่ง ท่านว่าใช่หรือไม่ ใต้เท้าเกิ่ง?”
ใต้เท้าเกิ่งหรือ? เหอตังกุยมองไปยังชายชุดคลุมสีฟ้าที่กำลังพยักหน้าเล็กน้อยผู้นั้น เมื่อวานบนูเาก็เคยได้เจอกับเขาแล้ว นางพอจะเดาได้ว่าชายคนนี้เป็ผู้นำของกลุ่มยอดฝีมือองครักษ์จิ่นอีเว่ยทั้งเก้าคน ขณะนี้ชายชุดคลุมสีฟ้านั่งเยื้องกับนางเล็กน้อย เหอตังกุยเงยหน้าขึ้นชำเลืองมองไปยังชายคนนั้น เขาอายุราว ๆ สามสิบถึงสี่สิบ มีรูปร่างสูง หุ่นหนา ใบหน้าเ็า โหนกแก้มสูง ทว่าอวัยวะบนใบหน้าทั้งห้าไม่ได้ดูห้าวหาญมากนัก เบ้าตาเว้าลงไปเล็กน้อย สายตาดูลึกลับซับซ้อน ปนเปไปด้วยด้านที่ทำให้คนหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
ใบหน้าของเหอตังกุยยังคงสงบเยือกเย็น แต่ในใจกลับสั่นสะท้าน ยอมรับว่าตอนที่นางทำเื่ลับ ๆ ให้แก่ท่านอ๋องจูเฉียนนั้น นางได้พบเจอขุนนางมากหน้าหลายตา แน่นอนว่าต้องมีคนที่มีกลิ่นอายความน่ากลัวเช่นนี้อยู่แล้ว สัญชาตญาณของนางบอกว่ากลิ่นอายที่สยบความรู้สึกผู้คนได้เช่นนี้ หากจะบอกว่าเป็กลิ่นอายแห่งความดุดัน สู้บอกว่าเป็กลิ่นอายแห่งความดุร้ายยังจะดีเสียกว่า
ใต้เท้าเกิ่ง...หรือว่าจะเป็เขา! เกิ่งปิ่งซิ่ว!
เกิ่งปิ่งซิ่วเป็น้องชายแม่เดียวกันกับเกิ่งปิ่งเหวิน ผู้เป็ขุนนางฝ่ายทหารสูงสุดที่สถาปนาประเทศขึ้น เกิ่งปิ่งซิ่วเป็ขุนนางระดับสี่ ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการจิ่นอีเว่ย ผู้คนกล่าวขานกันว่าเขาเป็ ‘ขุนนางที่เหี้ยมโหดที่หนึ่งในใต้หล้า’ เขาทั้งอ่อนน้อม ทั้งรอบคอบ และยังสามารถยับยั้งชั่งใจตนเองได้เป็อย่างดี หากการจับกุมศัตรูเป็ไปอย่างไม่ราบรื่น เกิ่งปิ่งซิ่วก็จะกลายร่างเป็ดั่งอสูรจากนรกอเวจี น่ากลัวถึงขั้นทำให้คนผู้นั้นหัวหดตดหายเลยทีเดียว แม้กระทั่งจูเฉียนผู้เก็บซ่อนความรู้สึกเก่งดั่งน้ำนิ่งไหลลึก เมื่อเผชิญหน้ากับเขาผู้นี้ยังต้องหวาดกลัวเช่นเดียวกัน ภายในสิบปีต่อจากนี้ มีศัตรูมากกว่าพันคนที่ยอมคุกเข่าวิงวอนขอชีวิตภายใต้แส้พรากิญญาของเขา
ขณะนี้อยู่ในสมัยราชวงค์ิหงอู่ ปีที่ยี่สิบเจ็ด เกิ่งปิ่งซิ่วคงจะพึ่งได้รับการแต่งตั้ง ยังเป็เพียงขุนนางที่ไม่มีชื่อเสียงอันใด เช่นนั้น ‘ความโเี้ที่หนึ่งในใต้หล้า’ ที่ถูกกล่าวขานอาจจะยังไม่ได้โหมกระพือไปทั่วทุกสารทิศ
เมื่อคิดถึงเื่นี้ เหอตังกุยจึงหลุบตาลง เหงื่อเย็นค่อย ๆ ไหลซึมออกมาจากฝ่ามือของนาง เหตุใดคนพวกนี้ถึงมาที่เมืองหยางโจว เหตุใดพวกเขาจึงมาพักอยู่ที่วัดโดยไม่ยอมจากไปเสียที?
จู่ ๆ เกิ่งปิ่งซิ่วก็กล่าวถามนางขึ้น “ท่านผู้เฒ่าในฝันของเ้ามีลักษณะพิเศษเยี่ยงไร แล้วได้พูดจากันหรือไม่?”
เหอตังกุยหน้านิ่วคิ้วขมวด พลางคิดรื้อฟื้นความทรงจำในหัวอย่างหนัก ก่อนจะค่อย ๆ กล่าวขึ้น “ท่านผู้เฒ่าอยู่ห่างจากข้ายิ่งนัก จำได้เพียงราง ๆ ว่าในมือของท่านถือไม้เท้าไว้หนึ่งอัน... ใช่แล้ว! หน้าผากของท่านผู้เฒ่านูนกว่าคนปกตินัก! ท่านเคยกล่าวว่า ‘ข้านั้นชีวิตยืนยาวมิดับสูญ’ ในเมื่อข้าได้พบกับเ้าก็ถือว่ามีวาสนาต่อกัน จากนั้นจึงมอบยาเซียนตานเพื่อชุบชีวิตให้แก่ข้า และข้าก็ขอบพระคุณท่าน... ยังมีอีกสิ่งหนึ่ง! ท่านยังกล่าวอีกว่ายาที่ท่านให้นั้นไม่ได้เป็ยาดิบดีอันใด เป็เพียงแร่ที่เหลืออยู่เล็กน้อยจากการเล่นแร่แปรธาตุของท่าน เมื่อใช้ยาแล้วจะได้ผลหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับตัวข้า เมื่อกล่าวจบก็ปรากฏยาเซียนตานสีส้มอมเหลืองขึ้นมาในมือข้าหนึ่งเม็ด”
ทุกคนตั้งใจฟังสิ่งที่นางเล่าราวกับคนสติหลุดลอย แม้แต่สายตาของแม่ชีไท่ซั่นที่มองไปยังนาง ก็ไม่หลงเหลือแววเหยียดหยามเช่นเมื่อก่อนอีกแล้ว ผ่านไปครู่หนึ่ง ต้วนเสี่ยวโหลวจึงกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มแห่งความปีติยินดี “ดียิ่ง! ดียิ่ง! คุณหนูเหอ เ้ากินยาเซียนตานลงไปถึงได้ฟื้นคืนจากความตาย วันหน้าต่อให้มีชีวิตอยู่อีกร้อยแปดสิบปีก็หาได้มีปัญหาไม่”
ดวงตาของเหอตังกุยฉายแววสั่นไหว นางรีบร้อนส่ายหน้าปฏิเสธ “จะมีเื่เช่นนั้นได้เยี่ยงไร! ท่านผู้เฒ่าไม่เคยบอกว่าตนเป็เทพเ้าเสียหน่อย ยิ่งไปกว่านั้นคือเื่ราวทั้งหมดนี้เป็เพียงความฝันของข้าเท่านั้น”
สายตาวิบวับของลู่เจียงเป่ยกำลังจ้องไปยังใบหน้าของเหอตังกุย “แม่นางช่างโชคดียิ่งนัก คนที่ท่านเจอคงจะเป็ท่านเทพซิ่ว หนานจี๋เซียนเวิง! หนึ่งในสามเทพเ้าจีน ฮก ลก ซิ่ว แม้ว่ามนุษย์โลกจะพากันสรรเสริญสืบต่อมาเป็พัน ๆ ปี ทว่าคนที่ได้พบเจอจะมีสักกี่คนกันเล่า ท่านได้รับยาจากท่านเทพซิ่วเชียวนะ ช่างน่ายินดียิ่งนัก!”
เหอตังกุยหลบสายตาด้วยความหวาดเกรงและไม่พูดอะไรอีก นางเพียงกระซิบกับตัวเองในใจ ‘พวกท่านพูดกันไปเองทั้งนั้น ข้าหาได้กล่าวอะไรไม่!’ ทุกคนในห้องถกกันไปมาอีกไม่กี่ประโยค เกิ่งปิ่งซิ่วก็กล่าวขึ้นว่าพวกเขายังมีเื่ต้องจัดการ เหอตังกุยและแม่ชีไท่ซั่นจึงยืนขึ้นและกล่าวลาพร้อมกัน
เมื่อเดินออกมาแล้วก็เห็นว่าเจินจูยังรออยู่ข้างนอก แม่ชีไท่ซั่นมองไปที่เหอตังกุยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนก่อนจะกล่าว “คุณหนูเหอกลับไปพักก่อนเถิด ข้ามีเื่ต้องคุยกับเจินจูสักหน่อย ยามเย็นข้าจะให้คนเอายาบำรุงไปให้” เหอตังกุยกล่าวขอบคุณแล้วเดินจากไป เมื่อนางก้าวขาออกไปได้ครู่หนึ่ง แม่ชีไท่ซั่นก็รีบดึงแขนของเจินจูเอาไว้ พลางกระซิบกระซาบเื่หนึ่งกับนางในทันที เจินจูพยักหน้ารับเบา ๆ ก่อนจะเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เจินจูเดินไปยังห้องหนึ่งที่เฉียงไปด้านนอกของเรือนทางเหนือ พบว่าข้างในมีหญิงรับใช้นั่งอยู่เพียงไม่กี่คน พวกนางกำลังก่อไฟ ปากก็พูดบ่นไปด้วยว่า ‘เสนียด’ ‘ตัวซวย’ เจินจูยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้มือเคาะประตูไม้บานใหญ่ที่เปิดอยู่ หญิงรับใช้จึงเงยหน้าขึ้นมองและรีบลุกขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ
เจินจูแสร้งทำเป็หูทวนลมราวไม่ได้ยินสิ่งที่พวกนางพูด แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงยินดี “ยินดีด้วย ยินดีด้วย! ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าจวนหลัวของพวกท่านมีเื่มงคลบังเกิดแล้ว?”
บ่าวรับใช้หลิวจิ่วกวงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงกล่าวถามด้วยความแปลกใจ “ท่านอาจารย์เจินจู จวนหลัวของเรามีเื่มงคลอันใดรึ?”
เจินจูเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ให้บ่าวรับใช้ฟังอย่างสมจริงสมจัง ไม่ขาดตกบกพร่องแม้แต่คำเดียว นางยังเล่าถึงคำพูดของแขกที่พากันพินิจพิเคราะห์เื่นี้ เมื่อเล่าจบก็กล่าวขึ้นว่า “เดิมที ท่านอาจารย์ของข้ากลัวว่าร่างกายของคุณหนูจะอ่อนเพลียเกินไป จึงรั้งให้พวกท่านอยู่ดูแลนางที่นี่เสียก่อน แต่ดูจากวันนี้แล้ว ร่างกายของคุณหนูเหอแข็งแรงดี สีหน้าแดงเปล่งปลั่ง ช่างเป็เื่ที่โชคดียิ่งนัก! เราจึงถือโอกาสในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสออกเดินทางนำเื่ไปแจ้งให้ฮูหยินชราและเหล่าฮูหยินในจวนหลัวทราบด้วยกันเถิด”
เมื่อเหล่าบ่าวรับใช้ได้ฟังก็ยิ่งใ พวกนางเริ่มมองหน้ากันโดยไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไรดี บ่าวรับใช้หลิวจิ่วกวงอุทานออกมาก่อนใครเพื่อน “คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่โชคดีที่สุดในจวนหลัวจะเป็คุณหนูสาม! อายุเยาว์ถึงเพียงนี้ก็ได้รับยาเซียนตานจากท่านเทพเสียแล้ว ช่างเป็ที่น่าอิจฉาของผู้อื่นยิ่งนัก”
บ่าวรับใช้เกาต้าซานรู้สึกอิจฉาตาร้อนพร้อมกล่าวว่า “อมิตตาพุทธ ข้าก็เป็คนเชื่อในองค์เทพเซียนเช่นกัน เมื่อไหร่ข้าจะมีบุญได้พบเจอท่านเทพบ้าง ข้าอยากจะขอประทานยาเซียนตานหรือไม่ก็ขอพรให้มีชีวิตยาวนานร้อย ๆ ปี” เหล่าบ่าวรับใช้ที่ตระกูลหลัวสั่งให้มาส่งิญญาล้วนบ่นกระปอดกระแปด ทั้งยังบอกว่าตนก็ไปจุดธูปไหว้พระเป็ประจำเช่นกัน...
เจินจูยิ้มน้อย ๆ พลางกล่าวขึ้น “เทพเ้าท่านรู้ทุกเื่ในทุกหนทุกแห่ง ทุกท่านมีจิตใจเมตตาและซื่อสัตย์ เทพเ้าที่อยู่บน์ต้องมองเห็นเป็แน่แท้ วันสองวันนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้รับการตอบแทนก็เป็ได้ ทว่าตอนนี้นำเื่ของคุณหนูเหอไปบอกที่จวนของนางเสียก่อนเถิด พวกเขาจะได้ดีใจด้วย” นางพูดจบก็หยิบเงินจากในแขนเสื้อจำนวนหนึ่งใส่มือบ่าวรับใช้หลิวจิ่วกวงพลางกล่าวว่า “เงินเล็กน้อยนี้ถือเป็ค่าเหนื่อยเดินทางของพวกท่าน หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ”
บ่าวรับใช้หวงคิดไม่ตกว่าเหตุใดท่านแม่ชีจึงให้เงินจำนวนมากเช่นนี้แก่พวกนาง เงินเกือบตั้งสี่ตำลึง เดินทางไปกลับสิบรอบก็ยังใช้ไม่หมด ปกติแล้ว ฮูหยินรองผู้ดูแลจวนหลัวให้เงินบ่าวเพียงไม่กี่อีแปะก็ถือว่าเยอะมากแล้ว ทว่าแม่ชีของวัดแห่งนี้แปลกยิ่งนัก เหตุใดจึงใช้เงินมือเติบเช่นนี้? ช่างไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย การไปส่งข่าวให้ตระกูลหลัวไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจินจูสักหน่อย นางไม่จำเป็ต้องออกเงินเองด้วยซ้ำ
บ่าวรับใช้คนอื่น ๆ ที่อยู่รอบตัวนางก็คิดเช่นเดียวกัน ยิ่งคิดสีหน้าของนางก็ยิ่งเปี่ยมไปด้วยความกังวล นางถกเถียงกับตัวเองอยู่ในใจ ‘รับไว้เสียเถอะ’ เดิมทีพวกนางได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มาช่วยส่งิญญาศพอยู่แล้ว แต่ตอนนี้งานศพกลับถูกยกเลิกไป เมื่อคิดว่าตนจะต้องรับเงินจากแม่ชีที่ออกบวชเช่นนี้ นางจะรับมาได้อย่างไรเล่า? ทว่าใจจริงนางก็อยากได้เงิน... อีกทั้งหลายวันมานี้พวกนางก็รู้สึกไม่พอใจเื่ค่าเดินทาง เช่นนี้จึงไม่มีใครพูดสิ่งใดออกมา
เจินจูพอจะดูออกพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ทุกท่านรับไว้เถิด อย่าได้กังวล เงินนี้เป็เงินที่คุณหนูเหอมอบให้พวกท่านไว้ดื่มชาระหว่างทาง นางกลัวว่าพวกท่านจะไม่รับเงินจากเด็กน้อยจึงไม่ให้ข้าบอก แต่เมื่อคิดดูแล้ว นางก็ถือว่าเป็นายของพวกท่าน พวกท่านต้องลำบากเดินทางไปเช่นนี้ นางมอบค่าเหนื่อยให้ก็เป็เื่ที่สมควรแล้ว
เมื่อได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของบ่าวทั้งหลายก็ค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มแล้วพูดกล่าวชมคุณหนูเหอคนละประโยคสองประโยค บอกว่านางดีอย่างนู้นดีอย่างนี้ จากนั้นก็รับเงินไว้ด้วยความสบายใจแล้วก่อนจะเดินทางลงเขาไป
…...
เหอตังกุยกลับมาที่ห้องปีกตะวันออก นางเห็นว่าประตูเปิดแง้มอยู่จึงผลักเข้าไป แต่กลับพบว่าบนโต๊ะมีถ้วยน้ำข้าวต้มของเจินจิ้งเหลืออยู่ครึ่งชามทว่าเ้าของชามนั้นไม่ได้อยู่ในห้องเสียแล้ว
เหอตังกุยจึงเดินไปเอนตัวหลับตาลงที่หัวเตียงเพื่อพักผ่อนร่างกาย แม้ว่าเมื่อวานตอนค่ำนางจะใช้เข็มเย็บผ้ากระตุ้นลมปราณ ขับความร้อนจากหัวใจออกมารักษาอาการหนาวเย็นตามร่างกายของนางแล้ว แต่ร่างกายของนางก็ยังคงอ่อนแออยู่มาก เป็ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ล้มป่วยนั้นง่าย หายป่วยนั้นยาก’ นอกเสียจากจะมียาบำรุงดี ๆ ให้กิน มิเช่นนั้นก็คงจะต้องรอพักฟื้นและนอนกลิ้งไปกลิ้งมาแบบนี้ไปอีกสิบกว่าวันเป็แน่
เหอตังกุยยื่นมือออกไปแตะที่หม้อดินพบว่ามันยังอุ่นอยู่ นางจึงเทน้ำข้าวต้มใส่ถ้วย ระหว่างกินก็นึกถึงเื่เงินไปด้วย สิ่งที่นางขาดแคลนที่สุดในตอนนี้ก็คือเงิน ถึงกระนั้นก็ยังไม่ได้นับรวมจี้รูปกุญแจทองคำที่แขวนอยู่บนอกซึ่งห้ามแตะต้องโดยเด็ดขาด สำหรับนางในตอนนี้ เงินเพียงแดงเดียวก็เปรียบดังวีรบุรุษแล้ว หายารักษาโรคก็ต้องใช้เงิน ไถ่ตัวเจินจิ้งก็ต้องใช้เงิน จะทำการค้าก็ยังต้องใช้เงิน แล้วนางจะหาเงินมาจากที่ใดกันเล่า?
นางคิดไปกินไป พลางในใจค่อย ๆ เกิดแผนออกมาถึงสองแผน นางจึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
จู่ ๆ เจินจิ้งก็วิ่งลุกลี้ลุกลนเข้ามา เมื่อนางเห็นว่าเหอตังกุยกลับมาแล้ว จึงยกมุมปากฝืนยิ้มที่ไม่ได้น่าดูเลยสักนิดส่งมาให้ พลางกล่าวขึ้นอย่างเก้ ๆ กัง ๆ “กลับมาแล้วหรือ? ไม่ได้เผยไต๋เื่นั้นใช่หรือไม่? ท่านจะนอนกลางวันแล้วงั้นรึ? น้ำข้าวต้มหม้อนี้อร่อยมาก ๆ เลย... ฮ่า ๆ !”
เหอตังกุยเห็นว่าสิ่งที่เจินจิ้งกำลังพูดไม่เกี่ยวข้องกันเลยสักนิด นางขมวดคิ้วด้วยความสงสัยพลางมองสำรวจไปที่เจินจิ้งอย่างละเอียด เหอตังกุยทิ้งถ้วยในมือลงก่อนจะรีบไปจับเจินจิ้งไว้ จากนั้นก็ดึงมือทั้งสองของนางที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อออกมา แล้วกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ผู้ใดตีเ้า?”