หลายวันมานี้ที่จวนมีข่าวลือเื่พิษที่ท่านอ๋องโดนนั้นไม่มีผู้ใดรักษาได้บรรยากาศภายในจวนก็อึมครึมไม่น้อย
วันนี้นางขอร้องหัวหน้าคนรับใช้ว่านางอยากจะขอพบกับพ่อบ้านของจวน
เพราะว่าถึงอย่างไรเสียนางก็มียศเป็พระชายาหัวหน้าคนรับใช้จึงไม่กล้าทำตัวมีปัญหากับนางมากนัก เขาจึงยอมพานางไปพบกับพ่อบ้าน
นางแต่งเข้ามาในจวนอ๋องตั้งนานแล้วแต่นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้พบกับพ่อบ้าน เขามีมาดสุขุม ไม่หยิ่งทะนงแต่ก็ไม่มีท่าทีอ่อนน้อมรูปร่างสมส่วน ใบหน้าธรรมดาทั่วไปแต่กลับมีดวงตาที่สามารถสะกดผู้คนที่พบเห็น
“พระชายามาหาข้าน้อยมีเื่อะไรขอรับ?”ไม่เหมือนกับคนรับใช้คนอื่นๆ น้ำเสียงของพ่อบ้านไม่แฝงด้วยการดูถูกเหยียดหยามนางยิ่งไม่มีแม้แต่ความห่างเหินหรือเ็า
ซูฉีฉีพูดอย่างไม่ลังเล “ข้ารู้วิชาแพทย์”
“แล้วอย่างไร?” น้ำเสียงของพ่อบ้านนั้นนิ่งเรียบดั่งเคย
มีเ้านายยังไงก็มีบ่าวไพร่เช่นนั้นจริงๆ
“ข้าสามารถระงับพิษในตัวของท่านอ๋องเอาไว้ได้ชั่วคราว”ไม่สนว่าพ่อบ้านที่อยู่ตรงหน้าจะสงสัยในฝีมือนางเท่าไร ซูฉีฉีก็ตัดสินใจแล้วว่าตนเองจะต้องเดินหน้าต่อ จะรอต่อไปไม่ได้แล้ว
“ท่าน?”สีหน้าของพ่อบ้านไม่เปลี่ยน แต่ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
หมอตั้งมากมายที่มารักษานั้นล้วนแต่ไม่มีหนทางแก้กับสตรีที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเช่นนี้ยิ่งทำให้เขาเชื่อถือไม่ลงอีกทั้งสตรีผู้นี้อยู่ๆ ก็เดินมาบอกเช่นนี้กับเขา ทำให้เขาอดสงสัยในตัวนางไม่ได้
“วางใจเถอะเขาเป็สามีของข้า ข้าเป็พระชายาของเขา” ซูฉีฉีรู้ว่าพ่อบ้านกำลังคิดอะไรอยู่นางยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ถึงแม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะไม่ดีต่อนางแต่ตัวนางเองก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะจงเกลียดจงชังเขา
ยิ่งไม่ถึงขั้นที่จะลงมือทำร้ายกับเขา
ดวงตาของพ่อบ้านฉายความละอายออกมาแวบหนึ่งเขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าลง “ได้ขอรับพระชายาโปรดรอสักครู่”
ไม่นานนักพ่อบ้านที่เดินออกไปก็กลับเข้ามาอีกครั้งจากนั้นก็นำซูฉีฉีไปที่เรือนหลักของจวนอ๋องซึ่งมีห้องที่ม่อเวิ่นเฉินพักผ่อนอยู่อย่างนอบน้อม
ยังคงเป็ห้องหอในวันนั้นเพียงแต่กระดาษแดงมงคลที่เคยแปะอยู่นั้นได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
การตกแต่งของห้องพักนั้นเรียบง่ายบนเตียงมีม่อเวิ่นเฉินกำลังนอนพักอยู่ ใบหน้าของเขาขาวซีดไม่มีสีของเืฝาดแม้แต่น้อย ริมฝีปากของเขาม่วงคล้ำ เมื่อเห็นซูฉีฉีเดินเข้ามาองครักษ์เหลิ่งเหยียนที่ยืนเฝ้าอยู่ข้างเตียงก็ตวัดสายตามามองก่อนจะหันไปหาพ่อบ้าน “ผู้หญิงคนนี้มาทำอะไร?”
เป็แค่องครักษ์คนหนึ่งแต่กลับมีน้ำเสียงที่เ็ายิ่ง
“พระชายานั้นรู้วิชาแพทย์”พ่อบ้านแสดงสีหน้านอบน้อม ทว่ากลับพูดด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
“นาง...”เหลิ่งเหยียนไม่แม้แต่จะมองซูฉีฉีแต่กลับส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา ใครบ้างไม่รู้ว่าอัครเสนาบดีนั้นมีบุตรสาวอยู่สองคนคนหนึ่งนั้นรูปโฉมงดงาม ฉลาดหลักแหลม อีกคนนั้นกลับมีหน้าตาธรรมดาไม่โดดเด่น ไม่เชี่ยวชาญแม้กระทั่งกาพย์กลอน
สตรีเช่นนั้นน่ะหรือจะรู้วิชาการแพทย์ นี่ไม่ใช่เื่น่าตลกหรอกหรือ
“ท่านถ้าหากส่งผลกระทบต่อการอาการของท่านอ๋อง ท่านจะรับผิดชอบไหวหรือไม่?” ซูฉีฉีรู้ว่าองครักษ์ผู้นี้ทำเพื่อม่อเวิ่นเฉิน ถือได้ว่าเขานั้นซื่อสัตย์จงรักภักดี
แต่ว่านางมีโอกาสแค่ครั้งเดียว โอกาสครั้งเดียวที่จะพลิกชะตาชีวิตของตน
เมื่อเห็นความเด็ดเดี่ยวที่แสดงออกมาบนสีหน้าของซูฉีฉีเหลิ่งเหยียนถึงกับตะลึงค้าง
ตอนนี้ผู้คนข้างนอกต่างรู้ว่าพิษบนตัวของท่านอ๋องติ้งเป่ยโหวนั้นร้ายแรงมากอาจจะมีชีวิตได้อีกไม่นาน เชื่อว่าถ้าหากไม่มีข่าวการฟื้นของท่านอ๋องอีกล่ะก็เมืองหลวงคงต้องมีคนก่อความไม่สงบอย่างแน่นอน
ม่อเวิ่นเฉินนั้นมีหน้าที่คุ้มครองแคว้นต้าเยียนเขาเปรียบเสมือนเทพที่ปกปักษ์รักษาแผ่นดินของชาวต้าเยียน
แน่นอนว่าตำแหน่งนี้ของเขานั้นไม่ได้รับการยอมรับจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
“ได้ถ้าหากพระชายาสามารถรักษาท่านอ๋องได้นั้น ย่อมเป็อีกเื่แต่ถ้าหากรักษาไม่ได้...” เหลิ่งเหยียน คำพูดที่เอ่ยออกมานั้นเ็าดั่งชื่อของเขาเขาพูดออกมาแค่เพียงเท่านี้แต่ทุกคำพูดล้วนเต็มไปด้วยการขมขู่
เมื่อได้ยินประโยคที่เขาเอ่ยมาสีหน้าของซูฉีฉีกลับสงบนิ่งดังเดิม นางรู้ตัวนางเองก็ขบคิดมาเป็เวลานานถึงตัดสินใจมาช่วยคน
ในใจนางกลับรู้สึกขมขื่นมิน้อย แต่นั่นย่อมเป็อีกเื่หรือ ดูเหมือนว่าอนาคตของนางนั้นจะสุขหรือทุกข์ยังคงยากที่จะรู้ได้
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ “ข้าเข้าใจ”
นับว่าเป็การตอบประโยคเมื่อครู่ของเหลิ่งเหยียนแล้ว
นางมองไปยังบุรุษที่นอนอยู่บนเตียงแม้ว่าม่อเวิ่นเฉินจะสลบไม่ได้สติแต่หว่างคิ้วของเขายังคงเผยความโหดร้ายเอาไว้อยู่ซูฉีฉีอดที่จะตกตะลึงมิได้ บุรุษผู้นี้ ต่อให้ป่วยหนักเช่นนี้แล้วยังคงมีความน่าเคารพยำเกรงอยู่ไม่น้อย
เมื่อเห็นซูฉีฉียืนตะลึงอยู่ตรงนั้นสีหน้าของเหลิ่งเหยียนก็เข้มขึ้นกว่าเดิม “พระชายา”
ตอนนี้พ่อบ้านได้ออกไปข้างนอกอย่างรู้สถานการณ์แล้ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้