ม้าเร็วที่อยู่ใต้ร่างวิ่งราวกับบินไปตลอดทาง อวิ๋นอี้กลัวจะถูกสลัดลงมา จึงนั่งตัวเกร็งตลอดทาง นางจับคอม้าไว้ด้วยมือทั้งสองข้างแน่น
ท่าทีของนางทำให้หรงซิวอดหัวเราะออกมามิได้
อวิ๋นอี้กลอกตา ต่อว่าเขาอย่างโกรธเคือง “ฝ่าา ท่านป่วยหรือเพคะ? ผู้อื่นกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ท่านยังมีอารมณ์มาวอนขอความรัก หรือว่าท่านอยากจะเอาไข่เป็ดไปทำคะแนนในวันล่าสัตว์วันแรกกันเล่าเพคะ?”
“เหตุใดจะต้องรีบร้อนด้วย?” หรงซิวโอบแขนรอบเอวของนาง “ในสายตาของข้า ชื่อเสียงเกียรติยศพวกนั้นล้วนจอมปลอม มีเพียงเวลาที่ได้ใช้กับอวิ๋นเออร์เท่านั้นที่เป็ของจริง”
เปิดปากทีก็พูดคำหวาน ชักจะเกินไปแล้ว อวิ๋นอี้แทบทนมิไหว
นางหัวเราะเฮอะเฮอะ กลบความเขินอาย "ข้าถูกท่านบังคับให้มาแล้ว ท่านล่าดีๆ เถิดเพคะ"
"ได้" หรงซิวยิ้มอย่างสง่างามและจ้องมองมาที่นางทันที "อวิ๋นเออร์ มีเ้าอยู่ ข้ารู้สึกมีพลังเหลือเกิน รู้สึกราวกับว่าหากยิงร้อยนัดก็โดนร้อยนัด"
โอ้อวดนักอีก พูดโอ้อวดไปเรื่อย!
อวิ๋นอี้ไม่เคยเห็นทักษะการขี่ม้าล่าสัตว์ของหรงซิว แต่จากการที่ได้พูดคุยกับกู่ซือฝานเมื่อวานนี้ ก็ได้รู้ว่าผู้ที่ทรงม้าและยิงธนูเก่งที่สุดในราชวงศ์ก็คือองค์รัชทายาท
ส่วนหรงซิว คาดว่าน่าจะอยู่ในห้าอันดับแรก
ยิงร้อยนัดโดนร้อยนัดกระไรนั่น อย่างไรก็ตาม นางรู้สึกว่ามันไม่มีจริง
ทั้งสองขี่ม้าเข้าไปในป่าอันเขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยภาพความเขียวขจี เหมือนจะได้แต่กลิ่นของหญ้า
กีบม้าที่เหยียบย่ำบนหญ้าสีเขียวส่งเสียงแ่เบา
พวกเขาผ่านเข้าไปอย่างช้าๆ
ทั้งสองมีสมาธิ ตาทั้งสี่ของพวกเขาเบิกกว้างมองไปรอบๆ แต่ก็ยังไม่พบเหยื่อแม้แต่ตัวเดียว
อวิ๋นอี้อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ดูสิ เป็ความผิดของฝ่าานั่นแหละเพคะ ไม่รู้เป็บ้ากระไร ตอนนี้ไม่เหลืออันใดสักอย่าง ทุกคนต้องแย่งไปหมดแล้วแน่ๆ!”
“อยากดูข้าล่าสัตว์ขนาดนั้นเชียวหรือ?” หรงซิวคิด เลิกคิ้วมองนาง
เมื่อเห็นนางยังคงหน้ามุ่ย ไม่พอใจ เขาจึงเงยหน้าขึ้น หางตาเขายังคงระมัดระวังสายลมทุ่งหญ้าที่อยู่รอบตัว เขาพูดกับนางว่า “อวิ๋นเออร์อยากให้ข้าชนะหรือ?”
ถามแต่ละอย่างช่างไร้สาระ
ในเมื่อเข้าร่วมแล้ว ก็ต้องคิดอยากจะชนะสิ
อวิ๋นอี้ไม่เข้าใจความคิดของหรงซิว ี้เีจะตอบเขา นางจ้องไปที่ด้านหน้าไม่ว่อกแว่ก ทันใดนั้นก็เห็นหญ้าเคลื่อนตัว
“นั่น นั่น นั่น!” นางตบแขนของหรงซิวอย่างแรง “ตรงนั้นเพคะ อยู่ตรงนั้น!”
หรงซิวยิ้มกริ่ม เขาหยิบลูกธนูขึ้นอย่างไม่ลังเล ใส่เข้าไปในคันศร แขนยาวของเขาเหยียดออก อวิ๋นอี้ยังไม่ทันได้มองท่าทีของเขาให้ชัด ข้างหูก็เกิดเสียงฉึบดัง สั่นจนนางปวดหู
“อื้อ” นางร้องเบาๆ เสียงอันแ่เบาของนางเข้าหูของหรงซิว เขาถามด้วยความเป็ห่วงทันที “เป็อันใดไป?”
อวิ๋นอี้เอามือปิดหู หรงซิวเห็นเช่นนั้น แววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เข้าใจในทันที
เขาดึงมือนางออก เผยให้เห็นใบหูที่เล็กและบอบบางนั้น น่ารักจนอยากจะเข้าไปกัด
ชายหนุ่มอดกลั้นต่อแรงกระตุ้นในใจ เขานวดหูเบาๆ ให้นาง “ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”
“...…”
อวิ๋นอี้พูดไม่ออก แค่โดนมือเขาแล้วความเจ็บก็มลายหายไปได้เชียวหรือ?
“ข้าจูบให้ จูบเสียหน่อยก็หายแล้ว” เมื่อเห็นนางดูไม่พอใจ หรงซิวจึงรีบแนะนำ
อวิ๋นอี้รีบผลักเขาออก และพูดขัดจังหวะ "ไม่ต้องเพคะ ดีขึ้นแล้ว ออกล่าต่อเถิดเพคะ"
เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ธนูทำนางาเ็อีก หรงซิวก็ให้อวิ๋นอี้นั่งอยู่บนหลังม้าคนเดียว ส่วนเขาลงม้ามาดูรอบๆ
สัตว์ที่ยิงได้เมื่อครู่คือกระต่ายป่าตัวสีเทา
เหยื่อมิได้ใหญ่มาก แต่ก็นับว่าเปิดฉากได้แล้ว จากนั้นในระหว่างทางสถานการณ์ก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ
หรงซิวยังยิงไก่ป่ากับกระรอกได้หลายตัว เรียกได้ว่าเหยื่อตัวใดเข้ามาในสายตาก็ไม่อาจจะเล็ดลอดไปได้
ยิงร้อยนัดโดนร้อยนัดอันใดนั่น ก็ไม่ใช่ว่าจะเชื่อถือมิได้
เมื่อถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์อยู่กลางหัว อวิ๋นอี้คำนวณคร่าวๆ ก็พบว่ามีเหยื่อราวๆ ห้าสิบกว่าตัว
นางไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ เมื่อเห็นว่าหรงซิวกำลังหยิบขนมจากกระเป๋าออกมา จึงถามเขาว่า “ห้าสิบกว่าตัวนี่ถือว่าดีหรือไม่เพคะ?”
“อยากรู้หรือ?” หรงซิวหยิบขนมส่งเข้าปากนาง
หญิงสาวที่กระหายความรู้ไม่ทันได้สนใจ นางก็กลืนมันลงไปในคำเดียว แต่ปลายลิ้นของนางก็ยังเลียนิ้วของเขาเบาๆ อย่างไม่รู้ตัว
หรงซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก้มหน้าลง หยิบขนมอีกชิ้นอย่างใจเย็นแล้วใส่เข้าปาก
ทั้งสองมองหน้ากัน เขาจึงนึกคำถามของนางขึ้นมาได้ ตอบว่า "ค่อยดูตอนบ่ายอีกครา บางทีอวิ๋นเออร์อยู่กับข้าวันนี้ ข้าอาจจะโชคดี ล่าเหยื่อได้มากขึ้น"
เดิมทีคิดว่ามันเป็แค่คำพูดธรรมดาๆ แต่ในตอนบ่ายกลับกลายเป็เื่จริง
หรงซิวถือว่าโชคดีนัก
พวกเขาล่าเหยื่อได้อย่างง่ายดาย เดินลึกเข้าไปตามป่าทึบ เดินๆ หยุดๆ ได้พบเหยื่อเกือบจะทุกครา
อวิ๋นอี้ชอบอกชอบใจ ชี้สั่งให้เขายิงธนูไปทุกที่ เมื่อตอนใกล้ค่ำ ทั้งคู่ก็เริ่มหมดแรง
เมื่อตอนกลับมาตะกร้าลูกธนูบนหลังม้าก็ว่างเปล่าเสียแล้ว หลังจากลูกธนูหมด หรงซิวก็นวดคอที่ปวดแล้วขึ้นหลังม้าอีกครั้ง
เขาเอาแขนโอบนางจากด้านหลัง และเอาหน้าถูกับคอของนาง “ตัวอวิ๋นเออร์ หอมเสียจริง”
“ทำอันใดเพคะ?” อวิ๋นอี้ขยับตัว ดิ้นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “ไม่ล่าแล้วหรือเพคะ?”
"ลูกธนูใช้หมดแล้ว ไม่ล่าแล้ว" หรงซิวพูด "อีกอย่าง ฟ้ากำลังมืดลง อยู่ในป่าไม่ปลอดภัย เราจะกลับกันแล้ว"
“แล้วสัตว์ที่ล่าได้เล่าเพคะ จะทำเช่นไร?” อวิ๋นอี้ใสซื่อบริสุทธิ์ นางถามอย่างไม่รู้
หรงซิวยิ้มมองดวงตาที่สดใสของนาง รู้สึกอีกครั้งว่าการที่นางสูญเสียความทรงจำช่างเป็เื่ที่ดี
ในอดีตนางไม่ถามเื่เช่นนี้แน่
แต่ว่าถ้าในอดีตล่ะก็ เขาก็ไม่น่าจะพานางมาล่าสัตว์ด้วยเช่นนี้เหมือนกัน
เมื่อตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงในความคิดของตน หรงซิวก็หยุดยิ้มไป ทันใดนั้นเมื่อเขาได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะของอวิ๋นอี้ เขาก็ค่อย ๆ เกลี้ยกล่อมนางว่า “ไม่ต้องห่วง จะมีคนมานับคะแนน พวกเรารีบกลับไปพักกันเถิด”
ทั้งสองก็ขี่ม้ากลับออกมา ตามที่หรงซิวบอก ท้องฟ้าเริ่มมืดลงอย่างรวดเร็ว
ตอนที่พวกเขาเพิ่งพ้นออกมาจากป่า ก็เห็นว่าท้องฟ้ามืดลงหมดแล้ว
ที่ที่อยู่ไม่ไกลจากกระโจม มีดวงดาวสว่างไสว ท้องฟ้ากว้างใหญ่เป็พื้นหลัง เป็ความงดงามราวกับภาพเขียนสีน้ำมันธรรมชาติ
หรงซิวพานางเข้าไปในกระโจม บอกเซียงเหอให้เตรียมน้ำร้อนให้นางอาบ
หลังจากนั้นเขาก็จัดเสื้อผ้าและออกไป
อวิ๋นอี้งุนงง จึงรีบพูดออกมาว่า "ฝ่าาจะไปที่ใดหรือเพคะ?"
"กระไรกัน? มิอยากให้ข้าไป คืออยากจะอาบน้ำกับข้าหรือ?" เขาใช้สายตามองนางยิ้มเสมือนไม่ยิ้ม
เขาดูมีเสน่ห์ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น เวลาเงียบไปก็เ็าและเฉียบแหลม ในเวลาอ่อนโยนก็เหมือนสระน้ำในสารทฤดู เมื่อมองดูนางในเพลานี้ แววตาช่างกลมเหมือนพระจันทร์เต็มดวง แต่ราศีกลับแข็งแกร่งจนนางไร้ที่หลบซ่อน
อวิ๋นอี้ยิ้มแป้น กลัวจะโดนแกล้งอีก ยืนขึ้นผลักเขาออกไป “ไปเถิดเพคะ ข้าไม่ถามก็ได้เพคะ! ฝ่าาไม่กลับมายิ่งดี!”
“แม่สาวน้อยปากไม่ตรงกับใจ" เขาโน้มตัวลงมากระซิบข้างหูนาง ทำให้นางรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
ช่วยด้วย
หยุดหาเื่เป่าหูนางสักทีจะได้หรือไม่?
ไม่รู้หรือว่าตรงนั้นของนางอ่อนไหวยิ่งนัก!
อวิ๋นอี้ที่ไม่พอใจอยู่ ก็มีเซียงเหอมารายงานว่าน้ำร้อนพร้อมแล้ว
หลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน นาง้าการผ่อนคลายอย่างเร่งด่วน หญิงสาวร่าเริงขึ้นทันทีและะโลงไปในอ่าง
หลังจากอาบน้ำอย่างสบายตัวเสร็จแล้ว หรงซิวก็ยังไม่กลับมา
พอดีกับที่กู่ซือฝานส่งคนมาชวนนางไปทานอาหารเย็น อวิ๋นอี้กำลังหิวได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจนักรีบวิ่งเหยาะๆ ตามไป
กู่ซือฝานได้เตรียมอาหารไว้เต็มโต๊ะแล้ว สิ่งที่ทำให้อวิ๋นอี้แปลกใจก็คือ มีเหล้าองุ่นที่หมักเอาไว้ด้วย
องค์ชายเก้าหรงหลินไม่อยู่ อวิ๋นอี้สบายใจและผ่อนคลายมาก นางนั่งลงอย่างเกียจคร้านเหมือนบุรุษ
“น้องพี่ รู้ความเหมือนกันนะเราเนี่ย เหล้าเตรียมพร้อมเชียว วันนี้ไม่เมา พวกเราไม่กลับ"
"ฮ่าฮ่า ดีเลยเพคะ" กู่ซือฝานยิ้มแป้น ยื่นตะเกียบให้นาง แล้วทั้งสองก็คุยกันระหว่างทานอาหาร
แต่ว่า อวิ๋นอี้หิวยิ่งนัก เป็คนดีๆ แต่รู้สึกราวกับผีหิวโหย ในตอนแรกนางเอาแต่ทาน กู่ซือฝานพูดไปเยอะแยะแล้ว นางถึงตอบแค่เพียงสองสามคำ
ใน่หลังเมื่อดื่มกินจนได้ที่แล้ว การพูดคุยที่แท้จริงค่อยเริ่มต้นขึ้น
หัวข้อสนทนาของบุรุษมักจะเกี่ยวกับการงานการพัฒนาทรัพย์สินใดๆ กลับกันในขณะที่หัวข้อสนทนาของสตรีมักจะเกี่ยวข้องกับบุรุษ
ใน่กลางวันหรงซิวอยู่ภายใต้การจับตามองของทุกคน เขาพาอวิ๋นอี้ขึ้นหลังม้า ตอนที่ออกล่า ทำให้เกิดเสียงฮือฮามากมาย
กู่ซือฝานกระตือรือร้นยิ่งนัก “ฝ่าาทรงปฏิบัติต่อท่านแตกต่างจากอดีตจริงๆ นะเพคะ! ก่อนหน้านี้ พวกเราเห็นพวกท่านสองคนปรากฎตัวพร้อมกันในสถานที่สาธารณะน้อยนัก!”
คำพูดประมาณเดียวกันนี้ อวิ๋นอี้ฟังมาจนชินแล้ว
นางเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ข้าคิดว่าเขาจงใจที่จะแกล้งข้า เ้าไม่รู้อันใด ข้าเกือบจะถูกม้าตัวนั้นดีดจนก้นฉีกไปหมดแล้ว”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” กู่ซือฝานหัวเราะอย่างไม่สนภาพลักษณ์ "มิรู้สิเพคะ แต่ที่ข้ารู้คือ มีคนโกรธจนตัวจะะเิเลยเพคะ"
ทั้งสองคนรู้อยู่แล้วว่ามันหมายถึงผู้ใด
นอกจากซูเมี่ยวเออร์นางคนขี้ริษยานั่น แล้วจะเป็ผู้ใดไปได้?
อวิ๋นอี้มิได้ใส่ใจ ในสายตานาง ซูเมี่ยวเออร์เป็เพียงแค่ตัวประกอบตัวเล็กๆ ที่คิดต่อต้าน เป็นักแสดงจริงบนเวทีมิได้หรอก
ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับชีวิตของตัวเอง มีเพียงนางเท่านั้นที่หาเื่เล่นตอนเบื่อไม่มีงานการทำ ไม่รู้จักเหน็ดไม่รู้จักเหนื่อย
กู่ซือฝานมองดูสีหน้ารังเกียจของนาง จึงรินเหล้าแล้วยื่นให้นาง "พี่สะใภ้เพคะ วันนี้ข้าเห็นบางอย่างเข้า อยากจะเตือนท่านเพคะ"
น้ำเสียงของนางดูจริงจัง ทำให้อวิ๋นอี้อยากรู้ขึ้นมา นางนั่งตัวตรง "เ้าพูดมาสิ"
"วันนี้ข้าเห็น ในตอนบ่าย ซูเมี่ยวเออร์ส่งสาวใช้ผู้หนึ่งถือกระเป๋าเข้าไปในกระโจมของท่าน หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้คนนั้นก็ออกมาจากกระโจมด้วยสีหน้าตื่นตระหนก" กู่ซือฝานสีหน้าวิตกกังวล “ท่านกลับไปที่กระโจมมาแล้วใช่หรือไม่เพคะ? สังเกตเห็นอันใดผิดปกติหรือไม่?"
ผิดปกติหรือ...
อวิ๋นอี้ระดมสมองนึกย้อนกลับไป แต่ว่ากลับจำอันใดมิได้เลยจริงๆ
ประการแรกคือตอนที่กลับไปตอนนั้นนางหอบเหนื่อยเป็หมา อยากจะอาบน้ำเพียงอย่างเดียว ประการที่สองคือหรงซิวก็อยู่ที่นั่น หากมีอันใดผิดปกติ เขาควรเป็คนแรกที่สังเกตเห็นได้
สีหน้าของอวิ๋นอี้ทำให้กู่ซืออี้ฝานเข้าใจได้ นางพูดอย่างระมัดระวัง "อย่างไรก็ตาม คืนนี้ท่านพี่ต้องระวังตัวให้มากนะเพคะ"
จากนั้นพวกเขาก็คุยกันเื่อื่นๆ แต่อวิ๋นอี้ก็ยังคงวางใจไม่ลง
หลังจากที่หรงหลินกลับมาที่กระโจม อวิ๋นอี้ก็ลุกขึ้นบอกลา
นางคิดว่าหรงซิวกลับมาแล้ว แต่กลับกลายเป็ว่ากระโจมยังว่างเปล่า
เมื่อมองไปที่กระโจม นางไม่วางใจ จึงเรียกเซียงเหอมา
อวิ๋นอี้ไม่ได้ปิดบัง ถามเซียงเหอตรงๆ "บ่ายนี้มีผู้ใดเข้ามาบ้างหรือไม่?"
"ไม่นะเพคะ" เซียงเหอส่ายหน้า เมื่อเห็นอวิ๋นอี้มองจ้องมาที่นาง นางแลบลิ้นออกมา “ในตอนบ่าย องค์ชายกับพระชายาไปล่าสัตว์ เซียงเหอจึงแอบไปหลับอยู่พักหนึ่ง พระชายา...เซียงเหอสำนึกผิดแล้วเพคะ ลงโทษทุบตีข้าได้เลยเพคะ”
ลงโทษทุบตีอันใดเล่า!
อวิ๋นอี้โบกมือ แอบหัวเราะความงี่เง่าและน่ารักของนาง นางปลอบเซียงเหอ "ข้าไม่โทษเ้าหรอก ดึกมากแล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด ข้าจะรอองค์ชายกลับมา"
สร้างโอกาสให้องค์ชายกับพระชายาอยู่ด้วยกัน เซียงเหอยินดีให้บริการ
นางจากไปโดยไม่พูดอันใดสักคำ
เซียงเหอเดินออกไป อวิ๋นอี้ก็คอยมองไปรอบๆ กระโจมอยู่หลายรอบ แต่ไม่พบสิ่งน่าสงสัยอันใด
จนกระทั่งนางรู้สึกเหนื่อยล้า นั่งลงบนเตียง ถึงได้ใเมื่อรู้ว่ามีบางอย่างบิดไปมาอยู่ใต้ผ้าห่ม
อวิ๋นอี้ขนลุกไปหมด ะโออกไปไกล มองไปทางเตียงอย่างหวาดกลัว