ลมยามค่ำคืนช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก อวิ๋นอี้ได้ยินคำพูดนั้น ดวงตาของนางพลันเคลื่อนจากไหล่มาที่ใบหน้าของนาง พร้อมกับยิ้มออกมาเล็กน้อย
มีคน้าจะเป็สาวสูงศักดิ์มากความสามารถ นางก็เต็มใจจะให้โอกาส
เพียงแต่ว่า...
อวิ๋นอี้เลิกคิ้ว ใบหน้าที่อ่อนหวาน ดูเฉยเมยไม่หึงหวงหรือโกรธ แต่กลับแสดงท่าทางอ่อนโยนออกมา "ได้สิ แต่ข้าไม่ค่อยเต็มใจจะให้ยืมเขา ทำเช่นไรดีเล่า?"
นางเอียงศีรษะและถามคำถามด้วยน้ำเสียงแ่เบา
ซูเมี่ยวเออร์ใ ใบหน้ามีความโกรธฉายอยู่วูบหนึ่ง แต่ไม่นานก็หายไป
ต้องทำให้อวิ๋นอี้โกรธ แสดงสีหน้าดุร้ายต่อหน้าหรงซิว ทำให้หรงซิวไม่ชอบนาง แบบนี้แย่กว่าการที่นางต้องเปลืองแรงสร้างภาพลักษณ์ตัวเองให้ดีเป็ไหนๆ
ถึงเวลานั้นที่หรงซิวเบื่ออวิ๋นอี้ ก็เป็เพราะอวิ๋นอี้ทำตัวเอง!
อย่างไรก็โทษนางมิได้
ซูเมี่ยวเออร์ครุ่นคิดในใจ รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของนาง นางนึกว่าคนอื่นจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของนาง หญิงสาวกระแอมเบาๆ แสร้งทำเป็ไร้เดียงสาต่อไป "กระนั้นข้าควรทำเยี่ยงไรดีเพคะ? พี่หญิงพระชายา ข้ามีเื่สำคัญจริงๆ นะเพคะ"
โอ้ยๆๆ
ถึงขนาดเรียกพี่หญิงพระชายาเลยหรือ?
อวิ๋นอี้เกือบจะหายใจไม่ออก นางยังคงพูดต่ออย่างสงบว่า "มิต้องเรียกข้าว่าท่านพี่หญิงหรอก หากจะพูดกันตามอายุ ท่านยังแก่กว่าข้าเสียอีก คุณหนูซูแสร้งทำตัวอ่อนวัยเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่เหมาะสักเท่าไร"
นางพูดอันใดไม่เคยเกรงใจอยู่แล้ว หากเป็ในอดีต ซูเมี่ยวเออร์คงจะโกรธจนหัวฟูไปเสียแล้ว แต่ตอนนี้ นางแทบทนไม่ไหวกับความจอมปลอมของอวิ๋นอี้แล้ว
แต่ทว่าแม้ว่านางจะถูกเล่นงานเช่นนี้ นางก็จะต้องรักษาหน้าไร้เดียงสาของนางเอาไว้ กะพริบตาถามต่อไปว่า “พี่หญิงพระชายา ได้หรือไม่เพคะ?”
“...…”
อวิ๋นอี้พยักหน้า “ได้ แต่ข้ามีเงื่อนไข"
"เงื่อนไขอันใดหรือเพคะ?" ซูเมี่ยวเออร์รู้สึกแปลก และผิดหวังเล็กน้อย
แปลกใจที่ไม่คิดว่าอวิ๋นอี้ยอมง่ายขนาดนี้
น่าผิดหวังที่นางกลับไม่โกรธจนทำให้หรงซิวมิชอบได้
อย่างไรก็ตาม เื่เช่นนี้จำเป็ต้องสะสมไปเรื่อยๆ สายสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองนั้นย่อมหมดลงในไม่ช้าก็เร็ว
นางรอมาสามปีแล้ว ไม่สนใจว่าจะต้องรออีกกี่ปี
ซูเมี่ยวเออร์มองหรงซิวอย่างไม่พอใจ เขาไม่พูดอันใด แต่เมื่อเขามองไปที่อวิ๋นอี้ ความอ่อนโยนในดวงตาของเขากลับไม่สามารถปิดซ่อนเอาไว้ได้
ความไม่พอใจพลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
ในตอนนั้นเอง อวิ๋นอี้ก็อ้าปาก นางพูดช้าๆ ว่า “ข้าเห็นว่าจิ้งจอกน้อยในอ้อมแขนของเ้าสวยยิ่งนัก ไม่เช่นนั้นเ้าเอามันมาให้ข้าเถิด แล้วข้าจะพิจารณาให้ยืมฝ่าาครู่หนึ่ง"
"จะเป็ไปได้เช่นไร?" ซูเมี่ยวเออร์ถูกนางยั่วโมโห เกือบโพล่งต่อว่าขึ้นมา นางรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่าอวิ๋นอี้จะให้ข้อเสนออย่างไร้เหตุผลเช่นนั้น
รู้หรือไม่ว่า จิ้งจอกตัวนี้เป็นางที่ดึงดันขอมาจากหรงซิวเชียวนะ
ระหว่างพวกเขาสองคน สิ่งที่มีค่าที่สุดก็คือสุนัขจิ้งจอกตัวนี้
ซูเมี่ยวเออร์ไม่พอใจ ปากของนางเม้มแน่น เมื่อเปิดปากพูดก็กล่าวว่า "พี่หญิงพระชายาไม่รู้อันใด จิ้งจอกตัวนี้ ฝ่าาเป็คนให้ข้า ข้าชอบมันมาก ข้า...”
นางยังไม่ทันพูดจบก็โดนอวิ๋นอี้ขัดจังหวะ "ข้ารู้ว่าเขามอบให้เ้า ข้าถึง้ามัน"
“......”
ซูเมี่ยวเออร์นับว่ามองออกว่านางจงใจ
ต่อหน้าหรงซิว ช่างโเี้ไร้เหตุผลได้ถึงขนาดนี้เชียว
ซูเมี่ยวเออร์มองไปที่หรงซิว เห็นหรงซิวขมวดคิ้ว นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุข
นางบอกแล้ว ตราบใดที่หรงซิวรู้ใบหน้าที่แท้จริงของพระชายาตน เขาจะทนนางได้นานแค่ไหนกันเชียว?
"ได้หรือไม่เพคะ..." ซูเมี่ยวเออร์พยายามอีกครั้ง ตั้งใจจะแสร้งทำเป็ไร้เดียงสาและอ่อนแอจนถึงที่สุด
อวิ๋นอี้ดึงดัน ส่ายหัวแล้วยิ้ม "มิได้ เ้าต้องรู้ว่าปลากับอุ้งตีนหมีจะได้มาพร้อมกันไม่ได้ [1] หากจะคุยกับองค์ชาย ก็เอาจิ้งจอกมาให้ข้า"
เพื่อที่จะให้ภาพลักษณ์ของอวิ๋นอี้ถูกทำลายเสียหมด ซูเมี่ยวเออร์ร้องคร่ำครวญแล้วส่งสุนัขจิ้งจอกให้นาง
ราวกับว่าเดาไว้อยู่แล้วว่านางจะยอมตกลงเยี่ยงนี้ อวิ๋นอี้ะโลงจากอกของหรงซิวแล้วรับจิ้งจอกมา
นางกอดมันไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง ลูบขนของจิ้งจอกน้อยอย่างอ่อนโยน อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา นุ่มจริง!
อวิ๋นอี้ไม่มีภูมิต้านทานต่อสิ่งมีชีวิตที่มีขนนุ่มฟูแบบนี้ เดินต่อก็ไม่ไหวเพราะว่าใจละลาย
นางอยากได้จิ้งจอกน้อยตัวนี้มาั้แ่เช้าแล้ว ในที่สุดนางก็ได้มันมา ยิ้มแป้นจนปากจะถึงใบหูอยู่แล้ว
นางยืนลูบอยู่เป็เวลานาน จนกระทั่งมีลมหนาวพัดพามาอีกครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า “เอาล่ะ ฝ่าา ในเมื่อคุณหนูซูมีเื่สำคัญจะพูดกับท่าน ข้าก็จะกลับก่อน ท่านทั้งสองคุยกันดีๆ เล่า! ค่ำคืนนี้ช่างยาวนานนัก ไม่ต้องรีบนะเพคะ"
อวิ๋นอี้พูดจบในลมหายใจเดียว มองดูหรงซิวที่มีสีหน้ามืดมนขึ้นเรื่อยๆ ก็รีบเดินจากไปอย่างมีไหวพริบ
นางเข้ามาในกระโจมและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หรงซิวกับซูเมี่ยวเออร์จะพูดถึงอันใดกันนั้น นางไม่รู้ แต่นางเข้าใจถึงเจตนาของซูเมี่ยวเออร์
หากมีเื่สำคัญจริงๆ นางคงไปหาหรงซิวเป็การส่วนตัวแล้ว ไม่วิ่งมาหาเื่นางอย่างจงใจเช่นนี้หรอก
คงอยากจะทำลายนางต่อหน้าหรงซิว ทำให้หรงซิวไม่พอใจนาง
น่าเสียดายที่ซูเมี่ยวเออร์ไม่รู้ว่านางมิใช่สตรีอย่างที่เคยเป็อีกต่อไป ไม่ใช่สตรีที่รักหรงซิวอย่างไม่ลืมหูลืมตาอีกแล้ว ตอนนี้นางแค่อยากจะจากหรงซิวไปใช้ชีวิตดีๆ คนที่ดึงดันรั้งไว้ ไม่ใช่อวิ๋นอี้ผู้นี้
ครึ่งปี ครึ่งปี...สัญญาครึ่งปี เมื่อใดจะถึงกันนะ?
แม้ว่าการต่อสู้กับผู้คนจะสนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อสู้กับดอกบัวขาวอย่างซูเมี่ยวเออร์แล้ว แต่เมื่อเกิดขึ้นหลายครั้งหลายครา ก็ไม่ได้อันใดขึ้นมา
เมื่อนึกถึงเื่ที่ทำให้กังวลใจ อวิ๋นอี้ก็ถอนหายใจยาว
มาเล่นกับจิ้งจอกน้อยเสียดีกว่า
ทุกคนต่างบอกว่าบนตัวสุนัขจิ้งจอกมักจะมีกลิ่นคาว อวิ๋นอี้ชอบพิสูจน์ความจริง ก็อุ้มสุนัขจิ้งจอกขึ้นมาดมแรงๆ แต่กลับไม่ได้กลิ่นคาวเลยสักนิด กลิ่นหอมค่อนข้างฟุ้งเลยต่างหาก
นางมุ่ยปาก คำบอกเล่าไร้สาระ
อวิ๋นอี้เคยเลี้ยงแมวเมื่อชาติก่อน มีประสบการณ์ในการดูแลสัตว์อยู่บ้าง แต่นางไม่รู้ว่าสุนัขจิ้งจอกต้องกินอันใด
ปกติแล้วสัตว์ก็กินเนื้อกันหมดใช่หรือไม่?
หลังจากที่นางตัดสินใจได้แล้ว นางก็เรียกทหารยามนอกกระโจมกลางดึก ให้นำหมูดิบเข้ามาสองสามถ้วย ทหารรับคำสั่งแล้วเดินออกไป ไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นนอกประตู อวิ๋นอี้วิ่งเหยาะๆ ออกมาดู ผู้ใดจะไปรู้ว่าเมื่อม่านเปิดออก ใบหน้าที่โผล่มาดันเป็หรงซิว
กลับมาเร็วจริง?
อวิ๋นอี้เห็นถาดในมือของเขา ตาก็เป็ประกาย หลังจากรับมานางก็ถาม "ทำไมเร็วนัก? ข้านึกว่าพวกท่านจะใช้เวลาทั้งคืนพูดเื่หัวใจเสียอีก!"
หมูดิบจากในครัวเป็หมูที่ดีที่สุด ดูสีเพียงอย่างเดียวก็น่าทานยิ่งนักแล้ว
อวิ๋นอี้กลืนน้ำลาย ใช้ตะเกียบคีบมาชิ้นหนึ่งวางไว้ในจานของจิ้งจอกน้อย
สุนัขจิ้งจอกเดิมที่ขดตัวเป็ก้อนอยู่บนเตียง เมื่อได้กลิ่นอาหาร ก็รีบลุกขึ้นทันที มันวิ่งไปที่จาน ก้มหัวลงแล้วดม แล้วอ้าปากกัดขึ้นมา
อวิ๋นอี้โล่งใจ แล้ววางหมูทั้งจานลงพร้อมรอยยิ้ม
เสียงเคี้ยวของจิ้งจอกน้อยในกระโจมนั้นน่าพอใจยิ่งนัก
นางกำลังลูบมันที่กำลังกินอยู่ ภายใต้แสงสีเหลืองอบอุ่นที่ส่องมาที่นาง ดูนุ่มนวลและสบายตายิ่ง
หรงซิวนั่งอยู่บนเบาะ มองนางเงียบๆ พลางนึกถึงเื่ที่ซูเมี่ยวเออร์พูดเมื่อครู่นี้
หลังจากที่อวิ๋นอี้ทิ้งทั้งสองคนไป จริงๆ แล้วนางไม่มีอันใดจะพูด เป็เพียงแค่การถามสารทุกข์สุกดิบเท่านั้น
เขาไม่ค่อยได้สนใจตอบคำถามเ่าั้ จากนั้นหัวข้อก็วนเวียนไปมา และกลับมาถึงอวิ๋นอี้และจิ้งจอกน้อย
คำพูดเต็มไปด้วยความไม่อยากจากสุนัขจิ้งจอก เขาได้ฟังจนรู้สึกรำคาญ "เป็เ้าเองที่ให้จิ้งจอกกับนาง เ้าตกลงตามเงื่อนไข ในเมื่อตอบรับผู้อื่นแล้ว ก็ต้องทำให้ได้ มิฉะนั้นทุกอย่างจะวุ่นวายไปหมดมิใช่หรือ?"
เขาไม่สนท่าทีโต้ตอบของซูเมี่ยวเออร์ ชายหนุ่มหันหลังเดินจากมาทันที
ยืนตากลมหนาวกับนาง ไม่น่ารื่นรมย์เลยสักนิด
การเคลื่อนไหวในกระโจมขัดความคิดของเขา ที่แท้ก็เป็จิ้งจอกน้อยกินเนื้อดิบหมดแล้ว
อวิ๋นอี้กอดมันและมองดูไปมา สุดท้ายก็วางมันลงบนเบาะนุ่ม และพูดกับมันอย่างอดทนเหมือนเด็กๆ ว่า “คืนนี้เ้านอนที่นี่ก่อนนะ รอกลับจวนแล้วข้าจะหาบ้านให้เ้าอยู่”
จิ้งจอกน้อยหลับตาราวกับว่ามันสามารถฟังเข้าใจได้
อวิ๋นอี้ลูบขนนุ่มๆ ของมัน เมื่อยืนขึ้น ก็เห็นหรงซิวจ้องมองนางด้วยท่าทางเหมือนหมาป่า
นางตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก “ทำ...ทำไมเล่าเพคะ? ข้าบอกก่อนนะเพคะ นางอยากคุยกับท่าน ข้ากังวลว่าจะเป็เื่สำคัญจริงๆ กลัวจะเสียเวลา จึงตัดสินใจแทนท่าน ข้าทำเพื่อฝ่าานะเพคะ"
พูดข้างๆ คูๆ กลับดำเป็ขาว กำลังพูดถึงตนเองใช่หรือไม่?
หรงซิวกลอกตาแล้วตบเตียงนุ่มๆ "มานี่ พักผ่อน"
"ไม่ ไม่ ไม่" นางกลัวที่จะัักับเขา รู้สึกเสมอว่าหรงซิวคิดไม่ซื่อ
ปล่อยให้เขาเป็เช่นนี้ต่อไป เกรงว่าเขาจะกลายเป็หมาป่าในตอนกลางคืน
อวิ๋นอี้คิดไปมากมาย หรงซิวไม่ให้โอกาสนาง ไม่รอให้นางได้มีโอกาสลุกขึ้น เขาก็เดินเข้าไปหาแล้วอุ้มนางขึ้นเอว ก่อนจะเหวี่ยงนางลงบนเตียง
"อุ้บ…"
นางไม่สามารถดิ้นรนได้ วุ่นวายอยู่นาน ในที่สุดทั้งคู่ก็หมดแรงและผล็อยหลับไป
ความรู้สึกนี้ช่างหอมหวานเหลือเกิน
หลังจากตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น การล่าสัตว์ในฤดูวสันต์ที่ครึกครื้นก็เริ่มต้นขึ้น
เทศกาลล่าสัตว์มีบุรุษเป็ตัวเอกมาตลอด บุรุษจะต้องตะลุยรอบพื้นที่ล่าสัตว์ภายในเวลาที่กำหนด และนับคะแนนกันในตอนบ่ายเป็เวลาสามวัน ผู้ชนะคือผู้ที่ล่าสัตว์ได้มากที่สุด แน่นอนว่าภายใต้การจัดการของหรงซิวในการล่าสัตว์ปีนี้จะมีรางวัลพิเศษเพิ่มขึ้น ผู้ใดก็ตามที่ล่าลูกเสือขาวได้ จะมีโอกาสได้กราบทูลขอรางวัลจากฮ่องเต้อวี่ซวนหนึ่งครั้ง
รางวัลพิเศษนี้ เรียกได้ว่าน่าดึงดูดทีเดียว
ก่อนการแข่งขันจะเริ่มต้น ตามธรรมเนียมจะต้องจุดประทัด หลังจากจบพิธีจะมีเพียงเสียงกลองเท่านั้น บุรุษขี่ม้าอยู่ก็รีบวิ่งออกไปราวกับม้าป่า
มีเพียงหรงซิวเท่านั้นที่ยังคงอยู่กับที่
อวิ๋นอี้และกู่ซือฝานที่อยู่ในที่นั่งฝั่งสตรี คิดว่าจะรอตอนที่ไม่มีผู้ใดสังเกตจะแอบกลับไปนอนต่อที่กระโจม แต่เมื่อสังเกตเห็นหรงซิวก็ใ
นางดันกู่ซือฝาน “เขาทำอันใดน่ะ? เหตุใดจึงไม่ไป?”
มิใช่ว่าจำนวนเหยื่อมีจำกัดหรืออย่างไร?
หาก้าได้ที่หนึ่ง ก็ควรรีบหาเหยื่อเข้าสิ
กู่ซือฝานกระตุกมุมปาก “บางที...ท่านพี่อาจกำลังคิดเื่ชีวิตก็เป็ได้นะเพคะ?”
ณ ่เวลาหัวเลี้ยวหัวต่อเช่นนี้ จะมาคิดเื่ชีวิตอันใดเล่า!
คนรอบข้างหลายคนกำลังพูดถึงหรงซิว หลายคนคาดเดาว่าเขาน่าจะไม่สบาย?
กู่ซือฝานกระซิบบอกนางว่า “ท่านไปดูฝ่าาสิเพคะ หากเขาไม่สบายจะได้เรียกหมอทัน”
ในเมื่อทำอันใดไม่ได้ อวิ๋นอี้ต้องไปหาเขา นางแอบด่าหรงซิวว่าเื่มาก
เดินมาถึงอย่างไม่เต็มใจ นางเงยหน้าขึ้นไปที่บุรุษหัวสูงบนหลังม้า "ฝ่าาไม่สบายหรือเพคะ คนอื่นออกไปหมดแล้ว ยืนโง่อย่ทำไมเล่าเพคะ?"
"ขึ้นมา" เขาโค้งริมฝีปาก"เราไปด้วยกัน"
ล้อเล่นอันใด!
อวิ๋นอี้ปฏิเสธ “เื่เยี่ยงนี้พวกบุรุษอย่างท่านต่อสู้กันก็พอเพคะ เหตุใดต้องให้ข้าไปด้วย? ข้ายังต้องกลับไปดูจิ้งจอกน้อยนะเพคะ”
นางหันหลังกลับ หรงซิวจะปล่อยนางไปได้อย่างไร
เขาะโลงจากหลังม้า หลังจากที่เท้าแตะพื้น เขาก็เกี่ยวเอวของอวิ๋นอี้ อวิ๋นอี้รู้สึกเพียงโลกหมุน แล้วก้นของนางก็นั่งอยู่บนหลังม้าแข็งๆ หน้าอกร้อนผ่าวแนบอยู่ที่หลังของนาง
น้ำเสียงของเขาแ่เบา ดังก้องอยู่ในหู ลมหายใจร้อนๆ ที่หายใจออกก็ทำให้นางประหม่า จึงได้แต่มองไปข้างหน้า “กลับไปดูจิ้งจอกน้อย จะสำคัญไปกว่ากระชับความสัมพันธ์กับข้าได้อย่างไร? อวิ๋นเออร์ เ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าถึงจะทำได้ดี”
มิอาจปฏิเสธได้ ในวินาทีถัดมา ม้าก็เงยหน้าเหินทะยานออกตัวไปทันที
เชิงอรรถ
[1] ปลากับอุ้งตีนหมีจะได้มาพร้อมกันไม่ได้ 鱼和熊掌不可兼得 หมายถึง ได้อย่างเสียอย่าง