ทั้งสองอยู่ห่างกันประมาณหนึ่งก้าว ซูเหลียนหรูยักยิ้มมุมปาก นางพูดด้วยระดับเสียงที่มีแค่เฟิ่งสือจิ่นเท่านั้นที่ได้ยิน “คิดไม่ถึงว่าเ้าจะกล้ามาที่นี่อีก”
เฟิ่งสือจิ่นประกายรอยยิ้มบางๆ ออกมา ก่อนจะเปิดริมฝีปากขึ้นเบาๆ “ไม่ใช่แค่กล้ามา แต่ข้าจะมาทุกวัน อย่างน้อย การทำให้เ้าอารมณ์ไม่ดีที่เห็นหน้าข้า ก็ถือเป็เื่ที่ช่วยให้อารมณ์ดีได้ไม่น้อยเลย ไม่ใช่หรือ?”
สีหน้าของซูเหลียนหรูเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางหัวเราะด้วยเสียงเย็นเยียบ “นั่นสินะ หากเ้าทำตัวเป็เต่าที่เอาแต่มุดหัวอยู่ในกระดองั้แ่เนิ่นๆ ชีวิตในวิทยาลัยหลวงของข้าคงน่าเบื่อสิ้นดี” พูดจบก็สะบัดแขน แล้วเดินเข้าไปในห้องเรียนต่อ
เฟิ่งสือจิ่นเดินเลี้ยวไปที่หลังห้อง แล้วนั่งลงข้างๆ หลิวอวิ๋นชูช้าๆ นางฟุบนอนบนโต๊ะ เตรียมจะงีบหลับเสียหน่อย นางนอนหันหน้าไปทางหลิวอวิ๋นชู เขาแอบมองใบหน้าของนางหลายครั้ง คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็ลืมตาขึ้นมา ทำให้สายตาของทั้งสองประสานเข้ากัน
หลิวอวิ๋นชูรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา ใบหน้าร้อนผ่าวไปหมด แต่ก็ยังฝืนปากแข็ง “อย่าคิดว่าข้ากำลังแอบมองเ้าอยู่นะ หน้าผอมจนมีแต่กระดูก ไม่มีเนื้อเลยสักนิด อัปลักษณ์เหมือนลิงไม่มีผิด มีอะไรน่ามองหรือไง”
เฟิ่งสือจิ่นสบถออกมาเบาๆ จากนั้นก็ประกายรอยยิ้มและหลับตาลงราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ดูเหมือนวันนี้จะไม่เหมาะแก่การนอนสักเท่าใด ซูกู้เหยียนปรายตามองไปที่หลังห้องแวบหนึ่ง จากนั้นจึงวางหนังสือในมือลง เขาบอก “วันนี้ออกไปเรียนกลางแจ้งกันดีกว่า”
ทันใดนั้น นักศึกษาทั้งหลายก็ส่งเสียงเฮลั่นขึ้น ทำให้เฟิ่งสือจิ่นหนวกหูจนนอนไม่หลับ โดยเฉพาะเสียงของหลิวอวิ๋นชู เขายกเก้าอี้ออกไปด้านนอก พลางร้องเพลงด้วยเสียงแหลมปรี๊ด “ยามนี้แมกไม้ร่มรื่น งดงามตา แม่นางอย่าได้เขินอาย บดบังหน้า~ เ้านั้นงดงามกว่าบุปผา แววตาพร่างพราวกว่าดวงดารา~”
นอกห้องเรียนมีพื้นที่โล่งกว้าง ต่อให้นำโต๊ะของนักเรียนทุกคนไปตั้งเรียงกันก็ยังมีที่ว่างเหลืออีกไม่น้อย ในวิทยาลัยหลวง นักศึกษาจะได้ออกมาเรียนกลางแจ้งอยู่บ่อยๆ นอกจากสอนวิชาความรู้ในตำราแล้ว บางครั้ง ซูกู้เหยียนก็จะสอนเื่การชงชา ดีดพิณ วาดภาพ และวิชาอื่นๆ ซึ่งเป็วิชาภาคปฏิบัติอีกมากมาย เมื่อเทียบกับตำราที่แสนน่าเบื่อ ดูเหมือนวิชาภาคปฏิบัติจะน่าสนใจกว่าหลายเท่าตัว
วันนี้จู่ๆ ซูกู้เหยียนก็เกิดอยากสอนวิชาภาคปฏิบัติขึ้นมา เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็เพราะอะไร แค่รู้สึกว่า ปล่อยให้เฟิ่งสือจิ่นออกมานั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไหวก็ยังดีกว่าปล่อยให้นางฟุบนอนบนโต๊ะอย่างไม่มีชีวิตชีวาแบบนั้น
แต่เพราะตัดสินใจกะทันหันโดยไม่ได้เตรียมความพร้อมใดๆ ทั้งสิ้น ซูกู้เหยียนจึงสั่งให้นักศึกษาทั้งหลายไปนำพิณออกมาฝึกฝนด้วยตนเอง ในวิทยาลัยหลวง นักศึกษาทุกคนล้วนมีพิณประจำตัว แม้แต่คุณชายเสเพลอย่างหลิวอวิ๋นชูก็ยังมีพิณที่ดูไม่เลวเป็พิณประจำกาย แต่เพราะเฟิ่งสือจิ่นเพิ่งมาไม่นาน จึงยังไม่มีพิณเป็ของตัวเอง ดังนั้น ขณะที่คนอื่นๆ กำลังดีดพิณเป็ทำนองไพเราะ นางจึงทำได้เพียงนอนฟุบอยู่บนโต๊ะใต้ต้นไหวเท่านั้น
จู่ๆ เสียงพิณก็หยุดลง ใครบางคนเคาะโต๊ะของเฟิ่งสือจิ่นเบาๆ นางเงยหน้าขึ้นอย่างสะลึมสะลือ พบว่าซูกู้เหยียนในชุดสีขาวสะอาดมายืนอยู่ใต้ต้นไหวั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เขากำลังอุ้มพิณคันหนึ่งเอาไว้ด้วยใบหน้าเ็า
เฟิ่งสือจิ่นถามด้วยใบหน้าราบเรียบ “อาจารย์มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ?”
ซูกู้เหยียนวางพิณลงที่โต๊ะเบื้องหน้านาง “ทางวิทยาลัยยังไม่ได้เตรียมพิณให้เ้า ใช้ของข้าไปก่อนก็แล้วกัน”
เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “แต่ข้าดีดไม่เป็นี่”
ซูกู้เหยียนพูด “ไม่เป็ไร ข้าจะสอนเ้าเอง”
เฟิ่งสือจิ่นปรายตามองเขา “แต่ข้าไม่อยากฝึก”
คนจำนวนไม่น้อยหันมามองซูกู้เหยียนกับเฟิ่งสือจิ่น พวกเขาใจนลืมดีดพิณไปชั่วขณะ แม้แต่หลิวอวิ๋นชูก็ยังตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ซูเหลียนหรูหันไปส่งสายตาให้กงเยี่ยนชิวแวบหนึ่ง ก่อนกงเยี่ยนชิวจะลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “พิณ ‘ทำนองมรกต’ เป็พิณโบราณที่มีชื่อเสียงและล้ำค่าจนยากจะหาสิ่งใดมาเทียบ มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่คู่ควรกับพิณคันนี้ จะให้นักศึกษาดีดเล่นสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไร หากเฟิ่งสือจิ่นยังไม่มีพิณเป็ของตัวเอง เช่นนั้นก็ยืมพิณของนักศึกษาคนอื่นไปก่อนก็ได้”
เฟิ่งสือจิ่นได้ยินดังนั้นก็นึกสนุกขึ้นมา นางมองพิณที่วางอยู่ตรงหน้า พบว่ามันเป็พิณที่ดูเก่าแก่อย่างที่ว่าจริงๆ อีกทั้งเห็นว่าทุกคนต่างก็จับจ้องมาที่ตนเป็ตาเดียว จึงเริ่มพูดขึ้นบ้าง “ที่แท้พิณนี้ก็มีนามว่าทำนองมรกตหรือนี่” ซูกู้เหยียนหัวใจกระตุกวูบ เฟิ่งสือจิ่นลูบสายพิณเบื้องหน้าเบาๆ เสียงของมันหนักแน่นแต่ก็บางเบา เป็เหมือนธารใสที่ไหลหลั่งออกไปไกลแสนไกล และแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของผู้ฟังได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่เมื่อเสียงพิณจบลง เฟิ่งสือจิ่นก็ััได้ถึงความเจ็บแสบที่ปลายนิ้ว
ซูกู้เหยียนเก็บชายกระโปรง แล้วค่อยๆ นั่งลงที่ด้านหลังของเฟิ่งสือจิ่น “ดีดเช่นนี้จะทำให้นิ้วมือได้รับาเ็ได้ ควรจะดีดเช่นนี้” พูดจบก็ดีดให้เฟิ่งสือจิ่นดูเป็ตัวอย่าง “เ้าเพิ่งเริ่มเรียนครั้งแรก เช่นนั้น ข้าจะสอนให้เ้ารู้จักกับสายพิณก่อนก็แล้วกัน”
เขาไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้จนเกินไป แต่ก็ไม่ได้อยู่ไกลเช่นกัน แม้กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาจะยังเ็าไม่ต่างไปจากเดิม แต่ท่วงท่าของเขากลับอ่อนโยนแถมยังสง่างาม รักษามารยาทระหว่างศิษย์กับอาจารย์ได้อย่างยอดเยี่ยม เฟิ่งสือจิ่นหันหน้ากลับไปมอง ใบหน้าด้านข้างที่ถูกทาบทับด้วยเงาไม้แลดูสะอาดสะอ้านและสงบ แตกต่างกับภาพที่เฟิ่งสือจิ่นได้เห็นในยามปกติอย่างสิ้นเชิง เฟิ่งสือจิ่นหัวใจกระตุกวูบ พยายามรื้อฟื้นความทรงจำในอดีตกลับมาอีกครั้ง แต่ความทรงจำนั้นกลับห่างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ ห่างไกลจนนางแยกแยะไม่ออกว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่ผุดขึ้นในหัวใจนี้ เกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่
เฟิ่งสือจิ่นปวดหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ซูกู้เหยียนเตือนสติ “อย่ามัวแต่เหม่อ”
ซูกู้เหยียน... เฟิ่งสือจิ่นดึงมือกลับมากดที่ขมับของตนเอง “ข้ากับเ้าสนิทกันหรือ...”
ในตอนนั้นเอง สตรีรูปโฉมงดงามในชุดกระโปรงหรูหราคนหนึ่งปรากฏตัวภายใต้แสงตะวัน ใบหน้าที่สวยจนไร้ที่ติมีเครื่องสำอางประดับอยู่เพียงเบาบางเท่านั้น ดวงตาคู่สวยเชิดขึ้นเล็กน้อย ที่หัวมีปิ่นราคาแพงประดับประดา สวมต่างหูที่ทำมาจากหยกเนื้อดี นางเดินมาที่ลานภายใต้การนำทางของเด็กรับใช้ในวิทยาลัยหลวง เมื่อมาถึงหน้าประตูก็เห็นภาพของซูกู้เหยียนที่นั่งซ้อนอยู่เื้ัของเฟิ่งสือจิ่น และกำลังสอนนางดีดพิณอย่างตั้งใจ
เฟิ่งสือจิ่นแตกต่างกับนางราวฟ้ากับดิน นางมีแค่ปิ่นไม้ธรรมดา สวมชุดนักพรตสีเขียวขุ่น ดูต่ำต้อยจนไม่มีใครเห็นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แต่แม้จะเป็เช่นนั้น แม้จะไม่มีแสงทองจากดวงตะวันคอยส่อง แม้จะไม่ได้งามยั่วยวน แต่ความผ่าเผยและสะอาดบริสุทธิ์ของนางก็ทำให้นางแลดูโดดเด่นจนน่าระคายตาอยู่ดี
ใครคนหนึ่งสังเกตเห็นเฟิ่งสือหนิง จึงลุกขึ้นยืนและกล่าวทักทาย “อาจารย์หญิง ท่านมาแล้วหรือ!”
นักศึกษาทั้งหลายลุกขึ้นยืนและทำความเคารพนาง
เฟิ่งสือหนิงเดินเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางงามสง่า นางก้มหน้าลง เก็บความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ในหัวใจเอาไว้อย่างแเี จากนั้นก็ฉีกยิ้มที่อ่อนหวานและอ่อนโยนขึ้นอีกครั้ง นางสั่งให้ชูชุนนำขนมในกล่องไปแจกให้นักศึกษาทั้งหลายอย่างอ่อนโยน
ซูกู้เหยียนลุกขึ้นยืน เมื่อหันไปเห็นเฟิ่งสือหนิงที่กำลังเดินเข้ามาหา เขาก็ชะงักลงเล็กน้อย “เ้ามาได้อย่างไรกัน?”
เฟิ่งสือหนิงหัวเราะเบาๆ “วันนี้ข้าไม่มีธุระที่ไหน เห็นว่าอากาศดี เลยออกมาเดินเล่นเสียหน่อย” นางมองไปยังเฟิ่งสือจิ่นที่ยังคงนั่งอยู่ “เมื่อคืนสือจิ่นกลับดึก ข้าเองก็อดเป็ห่วงไม่ได้ พอได้มาเห็นนางนั่งเรียนอยู่ตรงนี้อย่างปลอดภัยก็วางใจเสียที เมื่อครู่ เ้ากำลังสอนนางดีดพิณหรือ?” เมื่อสายตาไปหยุดลงที่พิณทำนองมรกต แววตาก็เปลี่ยนไปจากเดิมทันที
ซูกู้เหยียนตอบ “ใช่”
เฟิ่งสือหนิงยกมือขึ้นมาปิดปากพลางหัวเราะขึ้นเบาๆ อย่างหยอกล้อ “เช่นนั้นเ้าคงต้องเหนื่อยหน่อยนะ สือจิ่นไม่มีพร์ด้านดนตรีมาั้แ่เด็ก หากจะเรียนพิณ คงยากกว่าคนอื่นๆ หลายเท่า เพียงแต่... เ้าให้นางใช้พิณคันนี้เพื่อฝึกฝน ไม่ลำเอียงเกินไปหน่อยหรือ หากนักศึกษาคนอื่นมาเห็นเข้าจะดีหรือ?”
ซูกู้เหยียนพูด “นางยังไม่มีพิณเป็ของตัวเอง ทั้งวิทยาลัยก็ไม่มีพิณสำรอง ข้าจึงให้นางใช้พิณคันนี้ไปก่อนเป็การชั่วคราว”
เฟิ่งสือหนิงพูดด้วยเสียงที่ไม่ดังหรือเบาจนเกินไป แต่พอให้นักศึกษาทุกคนที่อยู่รอบๆ ได้ยินกันอย่างถ้วนหน้า “แม้สือจิ่นจะเป็น้องสาวแท้ๆ ของข้า แต่ในเมื่อนางเข้ามาศึกษาในวิทยาลัยหลวง เ้าก็ต้องปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม อย่าลำเอียงให้นางเป็อันขาด หากทำผิดก็ลงโทษ อะไรที่ควรตำหนิก็จงทำ”
เฟิ่งสือจิ่นยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ นางยกมือเท้าคาง พลางปรายตามองเฟิ่งสือหนิงด้วยรอยยิ้มบางๆ “อาจารย์ไม่ได้เห็นว่าข้าเป็น้องสาวของเ้า และข้าเองก็ไม่คิดจะพึ่งบารมีของเ้าด้วย เื่พวกนี้ เ้าไม่ต้องลำบากเข้ามายุ่งหรอก ‘หากทำผิดก็ลงโทษ อะไรที่ควรตำหนิก็จงทำ’ คำพูดนี้ อาจารย์ในวิทยาลัยพูดได้ ท่านราชครู-อาจารย์ของข้าก็พูดได้ แต่ดูเหมือนพระชายาจะไม่มีสิทธิ์พูดแม้แต่น้อย เ้ากำลังตั้งข้อกังขาในความสามารถด้านการสอนของท่านอาจารย์อยู่หรือ?”
เฟิ่งสือหนิงหัวเราะอย่างจนปัญญา “ข้าไม่เคยเถียงชนะเ้ามาั้แ่เด็กอยู่แล้ว”
หลังให้เวลาพักผ่อนเพียงสั้นๆ การเรียนการสอนก็เริ่มขึ้นอีกครั้งโดยมีเฟิ่งสือหนิงนั่งดูอยู่ข้างๆ ซูกู้เหยียนสอนเฟิ่งสือจิ่นต่อ แต่เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเขาไม่เป็ธรรมชาติ และแข็งกระด้างกว่าก่อนหน้านี้มาก
ซูเหลียนหรูนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ชายเสื้อขนาดใหญ่ลูบผ่านพิณบนโต๊ะแรงจนพิณคันนั้นเกือบจะร่วงตกลงมา ยังดีที่เฟิ่งสือหนิงเข้าไปรับไว้ทัน เฟิ่งสือหนิงเห็นว่านางเอาแต่เหลียวซ้ายแลขวาด้วยท่าทางตื่นตระหนกจึงถามขึ้น “เหลียนหรู เ้ากำลังหาอะไรอยู่หรือ?”
ซูเหลียนหรูรู้สึกรังเกียจท่าทีประจบประแจงของเฟิ่งสือหนิงเล็กน้อย แต่ก็ยังแสร้งทำเป็ร้อนรน “สร้อยมุกของข้าหายไป ข้าหาจนทั่วแล้วแต่ก็ไม่เจอเสียที นั่นเป็เครื่องบรรณาการจากแคว้นอื่น ที่เสด็จพ่อประทานให้ข้าเชียวนะ แถมเสด็จแม่ก็เชิญให้นักบวชที่มีวิชาแกร่งกล้าจากอารามฮว๋าเหยียนมาทำพิธีปลุกเสกให้แล้วด้วย ทำไมถึงหายไปได้นะ...” ซูเหลียนหรูแสร้งทำเป็กระวนกระวายจนแทบจะกลั้นน้ำตาไม่อยู่
คำว่า ‘เครื่องบรรณาการ’ มีน้ำหนักมหาศาลเลยทีเดียว
ในแคว้นจิ้น มีสร้อยมุกที่นางหมายถึงเพียงสามเส้นเท่านั้น เื่นี้ซูกู้เหยียนรู้ดีกว่าใคร นอกจากฝ่าาก็มีแค่พระสนมเสียนซึ่งเป็เสด็จแม่ของเขา กับองค์หญิงเจ็ด-ซูเหลียนหรูเท่านั้นที่มี
เฟิ่งสือหนิงพูด “อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เ้าลืมไว้ในห้องเรียนหรือไม่?”
ซูเหลียนหรูสั่งให้สาวใช้สองคนไปหาในห้องเรียนแต่ก็ยังไม่พบอยู่ดี นางะโเสียงดัง “เมื่อวานยังอยู่แท้ๆ หรือจะถูกคนขโมยไป?”
ใครบางคนพูดซุบซิบ “บางที เ้าอาจจะลืมใส่มาหรือไม่...”
หลิวอวิ๋นชูหัวใจกระตุกวูบ... หรือจะเป็สร้อยไข่มุกที่เขาเก็บได้เมื่อเช้านี้... เมื่อคิดได้ดังนั้นก็รีบหันไปมองเฟิ่งสือจิ่น จู่ๆ เขาก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา
ซูเหลียนหรูพูดอย่างมั่นใจ “เป็ไปไม่ได้! ตอนอยู่ในวัง ข้าไม่เคยถอดสร้อยไข่มุกออกมาจากข้อมือแม้แต่ครั้งเดียว จะมีก็แต่ตอนที่อยู่ในวิทยาลัยเท่านั้น ที่ข้าจะถอดเพราะเขียนหนังสือไม่สะดวก! ต้องถูกขโมยในวิทยาลัยหลวงแน่!”
บรรยากาศเปลี่ยนมาเป็ตึงเครียดในพริบตา ซูเหลียนหรูสั่งให้สาวใช้คนสนิททั้งสองคนไปค้นหาที่ใต้โต๊ะของนักศึกษาทุกคนอย่างไม่เกรงใจ
การกระทำที่ไร้มารยาทเช่นนี้ย่อมสร้างความไม่พอใจแก่นักศึกษาคนอื่นๆ เป็ธรรมดา เฟิ่งสือจิ่นลุกขึ้นยืน “ต่อให้สร้อยไข่มุกจะหายไปจริง แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ามีคนขโมยไปนี่ เ้าอาจจะทำตกไว้ที่ไหนก็ได้ เที่ยวค้นโต๊ะของคนอื่นแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเช่นนี้ ดูไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่?”
ซูเหลียนหรูหันกลับไปมองเฟิ่งสือจิ่นด้วยท่าทางหยิ่งผยอง “ใต้โต๊ะเรียนก็มีแค่ตำราเรียนธรรมดาๆ เท่านั้น ไม่มีอะไรน่าอายเสียหน่อย คนอื่นยังไม่ทักท้วงกันสักคำ แต่เ้ากลับออกมาขัดขวางเช่นนี้ กลัวว่าจะถูกจับได้หรือ? ก็แค่ค้นใต้โต๊ะครู่เดียว มันเสียหายตรงไหนหรือ?”