หลิวอวิ๋นชูทำตัวเป็คนใบ้ ทุกคนในห้องเรียนได้แต่โกรธในใจ แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา แม้แต่ซูกู้เหยียนก็เอาแต่เม้มปากแน่น คล้ายไม่พอใจกับการกระทำนี้สักเท่าใด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องหาสร้อยไข่มุกให้เจอ องค์หญิงเจ็ดเป็องค์หญิงที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากที่สุด หากเื่นี้บานปลายออกไป ฝ่าาต้องกริ้วมากแน่ๆ หากเป็เช่นนั้นจะยิ่งจัดการยากมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้น ตอนนี้ สิ่งที่ทำได้ก็คือจัดการเื่นี้เงียบๆ
เฟิ่งสือหนิงเดินเข้าไปกระซิบกับซูกู้เหยียน “องค์หญิงเจ็ดยังเป็วัยรุ่น จึงใจร้อนไปหน่อย ปล่อยให้นางค้นดูเสียหน่อยเถอะ”
เหตุนี้ สาวใช้ทั้งสองจึงเที่ยวค้นโต๊ะของทุกคนอย่างไร้มารยาท สิ่งที่ค้นออกมา มีทั้งตำราเรียน หนังสือกำหนัด หนังสือนิยาย และต่างๆ อีกมากมาย
โต๊ะของหลิวอวิ๋นชูกับเฟิ่งสือจิ่นอยู่แถวสุดท้าย โต๊ะของหลิวอวิ๋นชูรกรุงรังเป็อย่างมาก หนังสือเจ็ดถึงแปดเล่มที่ยัดอยู่ในนั้นถูกคุ้ยออกมาจนหมด ส่วนโต๊ะของเฟิ่งสือจิ่นกลับโล่งสะอาด ไม่มีหนังสืออยู่แม้แต่เล่มเดียว
หลิวอวิ๋นชูถามเฟิ่งสือจิ่นด้วยเสียงแ่เบา “เ้า... เ้ากับองค์หญิงเจ็ดคงจะสนิทสนมกันมากใช่ไหม?”
เฟิ่งสือจิ่นหัวเราะประชด “สนิทเสียยิ่งกว่าสนิทเลยล่ะ”
หลิวอวิ๋นชูถอนหายใจอย่างโล่งอก เขาพึมพำขึ้นเบาๆ “เช่นนั้นข้าก็วางใจแล้ว...” จากที่ดู ต่อให้ซูเหลียนหรูจะเจอสร้อยมุกในลิ้นชักใต้โต๊ะของเฟิ่งสือจิ่น นางก็คงไม่ลงโทษเฟิ่งสือจิ่นอยู่ดี ไม่เหมือนเขา หากท่านพ่อรู้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับเื่นี้ล่ะก็ มีหวังถูกเฆี่ยนชุดใหญ่แน่
ท่ามกลางสายตาของทุกคน สาวใช้ทั้งสองคนเดินไปที่โต๊ะของเฟิ่งสือจิ่น หลังล้วงไปที่ใต้โต๊ะของนาง สาวใช้ก็ร้องะโขึ้นทันที “เจอแล้ว!”
รอยยิ้มเยาะหยันของเฟิ่งสือจิ่นเลือนหายไปในพริบตา ใบหน้าของนางชะงักค้างอยู่อย่างนั้น นางมองสาวใช้หยิบสร้อยมุกสีมรกตออกมาจากใต้โต๊ะ แล้วเดินตรงเข้ามาอย่างรีบเร่ง
ซูเหลียนหรูดีอกดีใจเป็อย่างมาก นางรับสร้อยมุกมาดู “เส้นนี้แหละ เ้าหาเจอที่ไหน?”
สาวใช้ตอบ “บ่าวเจอที่ใต้โต๊ะของเฟิ่งสือจิ่นเ้าค่ะ”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วยตาของตนเองว่าสาวใช้หยิบสร้อยมุกเส้นนั้นออกมาจากใต้โต๊ะของเฟิ่งสือจิ่น ภายใต้การจับจ้องของทุกคน เป็ไปไม่ได้ที่สาวใช้จะเล่นตุกติกเพื่อใส่ร้ายนาง เมื่อสาวใช้ตอบกลับมา ซูเหลียนหรูก็หันไปมองเฟิ่งสือจิ่นทันที สายตาของคนอื่นๆ ก็จ้องมาที่เฟิ่งสือจิ่นเช่นกัน ในตอนแรก นักศึกษาทั้งหลายยังนึกโกรธที่ถูกค้นโต๊ะอย่างไร้เหตุผล แต่เมื่อเจอสร้อยมุกในโต๊ะของเฟิ่งสือจิ่น พวกเขากลับยืนดูเหตุการณ์อย่างบันเทิงใจแทน
พวกเขาทุกคนล้วนมีความคิดเดียวกัน... มีเื่กับองค์หญิงเจ็ด เฟิ่งสือจิ่นต้องแย่แน่ๆ
ซูเหลียนหรูเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของเฟิ่งสือจิ่น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวและผิดหวัง นางชูสร้อยมุกในมือขึ้น “เพราะเห็นแก่พี่สะใภ้สี่ เมื่อวานข้าจึงอยากเข้าไปสานสัมพันธ์เพื่อเป็เพื่อนกับเ้า จะได้คอยช่วยเหลือกันระหว่างศึกษาในวิทยาลัยหลวง คิดไม่ถึงว่าแค่วันเดียวสร้อยมุกของข้าก็หายไปเสียแล้ว และคนที่ขโมยมันไปยังเป็เ้า! ถูกจับได้คาหนังคาเขาเช่นนี้ เ้ายังมีอะไรจะพูดอีก?”
เฟิ่งสือจิ่นบอก “ข้าไม่ได้ขโมย”
ซูเหลียนหรูหัวเราะเสียงเย็นเยียบ “ไม่ได้ขโมยแล้วมันไปอยู่กับเ้าได้อย่างไร?”
“เื่นั้นคงต้องถามตัวเ้าเองแล้ว”
ซูเหลียนหรูเอ่ย “เ้ากำลังจะบอกว่า ข้าจงใจใส่ความเ้างั้นหรือ?” นางหันไปมองซูกู้เหยียน “ท่านอาจารย์ เดิมที เห็นแก่ที่พวกเราเป็เพื่อนร่วมชั้น แถมยังเคยรู้จักกันมาก่อน หากเฟิ่งสือจิ่นยอมรับผิดและขอโทษข้าละก็ ข้าจะยอมจบเื่นี้อย่างไม่เอาความ แต่ท่านก็เห็นอยู่ ว่านอกจากจะไม่ยอมรับผิดแล้ว นางยังบอกว่าข้าจงใจใส่ร้ายนางอีก ในเมื่อเป็เช่นนี้ เราก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันอีกแล้ว ขอให้อาจารย์ตัดสินเื่นี้ด้วย หากอาจารย์ตัดสินอย่างไร้ความยุติธรรม ข้าจะกลับไปทูลเสด็จแม่ ให้เสด็จแม่เป็คนตัดสินแทน!”
ลานกว้างจมเข้าสู่ความเงียบงัน สายตาของคนทั้งหลายเป็เหมือนเข็มแหลมที่ทิ่มแทงมายังร่างของเฟิ่งสือจิ่น และสร้างาแที่หนักหนาจนไม่อาจเยียวยาแก่นาง นางไม่ได้ัักับสายตาเช่นนี้มานานหลายปีแล้ว แต่ไม่ว่าจะผ่านมานานเท่าใด นางก็ไม่เคยเกรงกลัวสายตาเช่นนี้อยู่แล้ว สิ่งใดที่เคยทำก็คือเคยทำ สิ่งใดไม่เคยทำก็คือไม่เคยทำ นางไม่จำเป็ต้องรู้สึกผิด
ซูกู้เหยียนพูดขึ้น “เฟิ่งสือจิ่น เ้าเป็คนขโมยสร้อยมุกขององค์หญิงเจ็ดไปใช่หรือไม่?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบด้วยเสียงหนักแน่น “ไม่”
เขาถาม “เช่นนั้นก็จงอธิบายมา ว่าทำไมมันถึงไปอยู่ในโต๊ะเรียนของเ้า?”
เฟิ่งสือจิ่นจ้องมองซูกู้เหยียนด้วยสายตาหยิ่งทะนงและดื้อรั้น นางเค้นพูดทีละพยางค์ “ข้าบอกไปแล้วไงว่าข้าไม่รู้”
เฟิ่งสือหนิงเดินเข้ามาหา “สือจิ่น เื่นี้จะใหญ่ก็ว่าใหญ่ จะเล็กก็ว่าเล็ก ในเมื่อองค์หญิงเจ็ดไม่เอาเื่ ก็จงยอมรับผิดและขอโทษองค์หญิงเสีย”
เฟิ่งสือจิ่นมองไปยังเฟิ่งสือหนิงด้วยรอยยิ้มเย็นเฉียบ “เ้าอยากให้ข้ากลายเป็ตัวตลกมากสินะ คิดว่าทำให้ข้าอับอายแล้วเ้าจะดูดีขึ้นใช่หรือไม่ ข้าไม่ได้ทำ จะให้ข้ายอมรับผิดในเื่ที่ไม่ได้ทำได้อย่างไร?”
ซูเหลียนหรูพูด “เฟิ่งสือจิ่นเทียบชั้นกับพี่สะใภ้สี่ไม่ได้อยู่แล้ว นางถูกขับไล่ออกจากตระกูลเฟิ่งตั้งนานแล้ว นางทำตัวไร้มารยาท ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำมาั้แ่เด็ก แถมยังทำให้ท่านชายน้อยของจวนท่านโหวหรงกั๋วถึงแก่ชีวิต พี่สะใภ้ยังคาดหวังว่าจะได้รับความเคารพจากคนเช่นนี้อีกหรือ? คนแบบนี้ ก็ไม่แปลกที่นางจะลักเล็กขโมยน้อย ทำเื่เลวทรามแต่ไม่ยอมรับความผิด”
เจี่ยนซืออินไปยืนอยู่ข้างหลิวอวิ๋นชูั้แ่เมื่อใดไม่ทราบ นางขยับเข้าไปกระซิบด้วยรอยยิ้ม “นางเริ่มจากการมีเื่มีราวกับพี่อวิ๋นชูกลางถนนจนกลายเป็ข่าวลือไปทั่ว มาที่วิทยาลัยหลวงวันแรกก็มีเื่ต่อยตีกับพี่อวิ๋นชูอีก นางสร้างเื่ไม่เว้นวันเลยนี่ ถูกหรือไม่พี่อวิ๋นชู?”
หลิวอวิ๋นชูนึกย้อนไปถึงความทรงจำอันน่าเศร้าในอดีต เขาเคยเป็นักเลงประจำซอยมาตั้งกี่ปี ยังไม่เคยถูกใครข่มเหงมาก่อน แต่ั้แ่ได้เจอกับเฟิ่งสือจิ่น เขาก็พ่ายแพ้แก่นางครั้งแล้วครั้งเล่า นอกจากจะขายหน้าแล้ว ยังถูกที่บ้านเฆี่ยนตีทุกวัน เมื่อเกิดเื่ตรงหน้าขึ้น หลิวอวิ๋นชูจึงปลอบใจตัวเองว่าอย่างไรเสียนางก็ไม่ตายเสียหน่อย ถือว่าเป็การสั่งสอนก็แล้วกัน นางจะได้เลิกอวดดีเสียที เขาเองก็ถือว่าได้แก้แค้นด้วยเช่นกัน เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเบาๆ แล้วฝืนพูดออกไป “เฟิ่งสือจิ่น ก็แค่ยอมรับผิดออกมา มันไม่ทำให้เ้าตายเสียหน่อย”
เฟิ่งสือจิ่นหันไปมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ
เฟิ่งสือหนิงกล่าว “แม้สือจิ่นจะเกเรไปหน่อย แต่ข้าเชื่อว่านางไม่ได้มีจิตใจเลวร้ายอะไร”
ซูเหลียนหรูเลิกคิ้ว “แล้วพี่สะใภ้คิดว่าเราควรลงโทษนางอย่างไรดี? พี่สะใภ้อยากช่วยพูดแทนนางหรือ? เมื่อครู่ท่านก็เห็นไปแล้วนี่ ต่อให้ช่วยพูดแทนนาง นางก็ไม่ซาบซึ้งน้ำใจของท่านหรอก”
เฟิ่งสือหนิงพูด “ในเมื่อทำผิด ย่อมต้องลงโทษให้หลาบจำ แม้ข้าจะเป็พี่สาวแท้ๆ ของนาง แต่ก็ปล่อยผ่านเื่นี้ไปไม่ได้ หากนางไม่ยอมรับผิด เช่นนั้น องค์ชายสี่จะลงโทษอย่างไรก็แล้วแต่เถิด”
เจี่ยนซืออินพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ ตามกฎของวิทยาลัยหลวง ต่อให้เป็เชื้อพระวงศ์ หากทำผิดก็ต้องได้รับโทษไม่ต่างจากราษฎร ผู้ที่ลักเล็กขโมยน้อย ต้องถูกตีด้วยแส้วินัยยี่สิบครั้ง”
หลิวอวิ๋นชูเบิกตากว้าง “ใครใช้ให้เ้าพูดมากเช่นนี้!”
เจี่ยนซืออินพูดด้วยเสียงเบาหวิว “หรือพี่อวิ๋นชูจะรับโทษแทนนาง?”
ซูกู้เหยียนนิ่งเงียบไปนาน ในที่สุดเขาก็พูดขึ้น “สือจิ่น เมื่อคืนนี้ เ้าอยู่ในวิทยาลัยหลวงเป็คนสุดท้ายใช่ไหม?”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ใช่แล้วอย่างไร?”
ซูกู้เหยียนยื่นมือออกไป “เอาแส้มา” ไม่นาน เด็กรับใช้ก็นำไม้แส้มาให้ มันเป็แส้วินัยขนาดใหญ่ที่มัดไม้แส้จำนวนมากเข้าด้วยกัน เขาบอกกับเฟิ่งสือจิ่น “หากยังไม่สำนึกผิดก็คุกเข่า แล้วยอมรับการลงโทษเสีย”
เฟิ่งสือจิ่นปรายตามองเขา พลางเชิดคางขึ้นสูง “ในเมื่อเ้าตัดสินไปแล้วว่าข้าเป็คนทำ ต่อให้ข้าจะยอมรับหรือไม่ก็มีผลเท่ากันไม่ใช่หรือ เพียงแต่ข้า เฟิ่งสือจิ่นจะคุกเข่าต่อฟ้าดินและราชครูเท่านั้น เ้าถือเป็ตัวอะไร ถึงมาสั่งให้ข้าคุกเข่า?”