รอยบวมบนใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นดีขึ้นมากแล้วเมื่อเทียบกับตอนเช้า แต่ถึงกระนั้นก็ยังเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่ดี เฟิ่งสือจิ่นหันหน้าไปอีกทางก่อนที่นิ้วของจวินเชียนจี้จะััโดน นางยกมือขึ้นมาเช็ดหน้าของตัวเองแบบส่งๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “่บ่าย ข้าไม่ระวังก็เลยถูกกิ่งไม้เกี่ยวหน้านิดหน่อย อาจารย์ไม่ต้องกังวล ตอนนี้แผลหายเจ็บแล้ว”
จวินเชียนจี้มองนางด้วยสายตาจริงจัง เฟิ่งสือจิ่นเกรงกว่าจวินเชียนจี้จะจับพิรุธได้ เลยรีบะโเข้าไปคล้องแขนของเขาเอาไว้ “อาจารย์ ข้าหิวแล้ว”
จวินเชียนจี้พานางเดินกลับ “งั้นก็รีบกลับไปกินข้าวเถอะ” ซูกู้เหยียนรีบเบี่ยงตัวหลบ ทั้งสองจึงไม่สังเกตเห็นเขา เฟิ่งสือจิ่นกับจวินเชียนจี้เดินเคียงกันออกไป จวินเชียนจี้ถามขึ้น “ไปเกี่ยวกับต้นไม้ท่าไหน หน้าเ้าถึงได้เป็แบบนี้ บนต้นไม้มีขี้เถ้าด้วยหรือ?”
เฟิ่งสือจิ่นครุ่นคิดอยู่นานจึงพูดขึ้น “มีสิ” นางชี้ไปที่ทิศหนึ่งแบบมั่วๆ “ทางนั้นไง ตรงนั้นมีอาคารเก่าที่เคยถูกไฟเผา ข้าไปปีนต้นไม้เล่นแถวนั้นตอนพักเที่ยง แต่กลับเหยียบพลาด เลยได้รับาเ็เช่นนี้”
มือใหญ่ของจวินเชียนจี้กอบกุมมือเล็กของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ “หากไม่ชอบวิทยาลัยหลวง ข้าจะ...”
“ข้าชอบที่นี่!” เฟิ่งสือจิ่นชิงพูดขึ้นพลางพยักหน้าด้วยสายตาหนักแน่นจริงจัง ความใสซื่อบนใบหน้ามลายหายไปในพริบตา “อาจารย์ไม่ต้องกังวล ข้าจะตั้งใจเล่าเรียนให้ดี อาจารย์ของวิทยาลัยหลวงสอนได้ไม่เลวเลย เพื่อนร่วมชั้นก็ดีกับข้ามาก”
“งั้นหรือ” จวินเชียนจี้ไม่รับปากหรือปฏิเสธใดๆ
ซูกู้เหยียนซ่อนตัวอยู่ในมุมมืด เขามองตามแผ่นหลังที่ไกลออกไปเรื่อยๆ ของคนทั้งสอง กระทั่งมันลับสายตาไป เขาจึงเดินกลับไปที่จวนองค์ชายสี่อีกครั้ง เมื่อมาถึงก็พบว่าเฟิ่งสือหนิงกำลังนั่งรออยู่ในห้องนอน ทันทีที่เห็นเขา นางก็สั่งให้ชูชุนไปเตรียมอาหารเย็น แล้วเดินเข้ามาปลดเสื้อชั้นนอกให้ซูกู้เหยียนด้วยท่าทางอ่อนโยน “กู้เหยียน หาสือจิ่นเจอหรือยัง?”
ซูกู้เหยียนพยักหน้า “เจอแล้ว ตอนนี้นางกลับจวนราชครูเรียบร้อยแล้ว”
ไม่นานอาหารก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะ เฟิ่งสือหนิงบอก “เ้ายังไม่ได้กินมื้อเย็น ต้องหิวแล้วแน่ๆ รีบกินสักหน่อยเถอะ”
ซูกู้เหยียนส่ายหน้าเบาๆ “ข้าไม่หิว ข้าเหนื่อยแล้ว งดมื้อเย็นสักวันก็แล้วกัน” พูดจบก็เดินไปที่อ่างล้างหน้าทันที แต่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าวเขาก็หันกลับมามองเฟิ่งสือหนิงอีกครั้ง “เ้ากินมื้อเย็นแล้วหรือยัง?”
เฟิ่งสือหนิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ฉีกยิ้มขึ้นอย่างอ่อนโยน “ข้ากินแล้ว หากเหนื่อยก็ล้างหน้าล้างตาแล้วพักผ่อนเถิด ข้าจะสั่งให้คนเตรียมของว่างเอาไว้ ถ้าเ้าหิวกลางดึกจะได้ตื่นมากิน”
ซูกู้เหยียนกล่าว “ลำบากฮูหยินแล้ว”
วันต่อมา เมื่อดวงตะวันโผล่พ้นขอบฟ้า และแสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมาอีกครั้ง นักศึกษาทั้งหลายก็เริ่มทยอยเข้ามาในวิทยาลัยหลวงเฉกเช่นทุกวัน หลิวอวิ๋นชูเองก็เป็หนึ่งในนั้น ทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าคนผู้นี้เป็ชนชั้นสูงจอมเสเพล เมื่อเดินเข้าไปในห้อง เขาพบว่ามีนักศึกษามาถึงบ้างแล้ว แต่ที่นั่งของเฟิ่งสือจิ่นกลับมีเพียงความว่างเปล่า
หลิวอวิ๋นชูเดินไปนั่งที่ เขาอดสงสัยไม่ได้ ไม่รู้ว่าเมื่อวานเฟิ่งสือจิ่นหายไปไหน และวันนี้จะมาเข้าเรียนหรือเปล่า เมื่อตื่นจากภวังค์ เขาก็พบว่าที่มุมโต๊ะระหว่างโต๊ะของตนกับเฟิ่งสือจิ่นมีสร้อยมุกสีมรกตห้อยอยู่ มันเป็มุกที่มีผิวเรียบเนียน เปล่งประกายงดงาม แถมยังกลมสวยเป็อย่างมาก นอกจากนี้ ที่ตรงกลางยังมีลูกแก้วที่ทำมาจากไม้จันทน์ ซึ่งสลักลวดลายเรียบหรูเอาไว้
หลิวอวิ๋นชูหยิบสร้อยดังกล่าวขึ้นมาดู ตัวสร้อยให้ััเย็นสบาย แถมยังแลดูประณีตงดงาม แค่ดูก็รู้ว่าของชิ้นนี้ต้องมีราคาแพงมากแน่ๆ เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็เริ่มสงสัยขึ้นมา ไม่รู้ว่าใครนำสร้อยเส้นนี้มาห้อยไว้ที่ตรงนี้กันแน่
จำได้ว่าตอนที่เขาเพิ่งเข้ามาศึกษาในวิทยาลัยหลวง เพราะหน้าตาหล่อเหลา จึงมีหญิงสาวชมชอบเป็จำนวนมาก หญิงสาวมากมายมักแอบนำของขวัญมาให้เขาอยู่บ่อยๆ แต่มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่ยอมมอบของราคาแพงเช่นนี้ให้ ยามที่มอบของก็มักจะแอบนำมายัดใส่ในกระเป๋าของเขาอย่างลับๆ ด้วยเกรงว่าจะมีคนอื่นมาเห็นและตนจะถูกหัวเราะเยาะนั่นเอง
หลิวอวิ๋นชูมีสีหน้าลำพองใจอย่างออกนอกหน้า เขาเล่นสร้อยไข่มุกในมือ พลางกวาดตามองนักศึกษาหญิงเพียงไม่กี่คนในห้องเรียน กำลังคิดว่าใครเป็ผู้มอบของแทนใจชิ้นนี้ให้ตนกันแน่ จิ๊ๆ... ดูท่า นักศึกษาหญิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่เองก็หลงเสน่ห์ตนจนหัวปักหัวปำแล้วสินะ... ในตอนนั้นเอง กงเยี่ยนชิวกับเจี่ยนซืออินเดินเข้ามาในห้องเรียน และเดินผ่านหน้าหลิวอวิ๋นชูพอดี กงเยี่ยนชิวมองตรงไปข้างหน้า ไม่คิดจะชายตามองหลิวอวิ๋นชูด้วยซ้ำ ผิดกับเจี่ยนซืออินที่กล่าวทักทายหลิวอวิ๋นชูด้วยเสียงสดใส ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นสร้อยมุกในมือของเขา “โอ้โฮ พี่อวิ๋นชู ท่านไปเอาสร้อยมุกที่งดงามเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?” นางกล่าวชื่นชม
หลิวอวิ๋นชูกะพริบตาข้างเดียวกลับไปอย่างย่ามใจ “จะเอามาจากที่ไหนได้อีกล่ะ ก็เป็ของขวัญจากสาวๆ น่ะสิ”
เจี่ยนซืออินส่งเสียงหัวเราะคิกคัก “แต่่นี้ ห้องเราไม่ได้มีนักศึกษาใหม่เข้ามาเสียหน่อย หากเพิ่งเข้ามาใหม่ อาจถูกรูปลักษณ์ภายนอกของท่านชายหลอกได้ แต่กับนักศึกษาเก่าอย่างพวกเราซึ่งต่างก็รู้นิสัยของกันและกันดีอยู่แล้ว จะมีใครมาแอบชอบ และแอบนำของขวัญมามอบให้ท่านชายอีก?”
หลิวอวิ๋นชูพูดเสียงดุ “ใครจะให้ของขวัญนั่นมันก็เื่ของข้า อย่างน้อยไม่ใช่เ้าก็แล้วกัน”
เจี่ยนซืออินยกมือเท้าคางพลางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางกลอกตาไปมาอย่างซุกซน ก่อนจะหัวเราะขึ้นเบาๆ “จะว่าไปแล้ว ล่าสุดห้องเราก็เพิ่งมีนักศึกษาใหม่นี่” นางพูดพลางชี้ไปยังที่นั่งที่ยังว่างเปล่าของเฟิ่งสือจิ่น “ไม่แน่ นี่อาจเป็สร้อยของนางก็ได้”
หลิวอวิ๋นชูชะงักนิ่งลง เขากึ่งเชื่อกึ่งสงสัยในสิ่งที่อีกฝ่ายบอก
เจี่ยนซืออินพูด “ดูสิ ที่ตรงกลางมีลูกแก้วที่ทำมาจากไม้จันทน์ด้วย ของแบบนี้ คงมีแต่จวนราชครูเท่านั้นถึงจะมี”
หลิวอวิ๋นชูตรวจดูอย่างละเอียด ทันใดนั้นเขาก็ปักใจเชื่อมากขึ้นเป็เท่าตัว เป็จริงอย่างที่นางว่า เฟิ่งสือจิ่นมักจะสวมชุดนักพรต และเกล้าผมด้วยปิ่นที่ทำมาจากไม้จันทน์เสมอ จึงไม่ใช่เื่แปลกที่สร้อยมุกเส้นนี้จะเป็ของนาง ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เจอสร้อยเส้นนี้ที่ตรงกลางระหว่างโต๊ะของตนกับเฟิ่งสือจิ่น เป็ไปได้สูงว่าจะเป็สร้อยของนางจริงๆ
เจี่ยนซืออินกับกงเยี่ยนชิวเดินไปที่แถวแรก และนั่งประจำที่ของตน หลิวอวิ๋นชูเล่นสร้อยมุกในมือ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้หลากหลายจนอธิบายไม่ถูก ความลำพองและดีอกดีใจตอนที่คิดว่ามีสาวๆ มาชื่นชอบมลายหายไปจนหมดสิ้น ภาพใบหน้าของเฟิ่งสือจิ่นผุดขึ้นมาในหัว เขารู้สึกอึดอัดใจเหมือนมีอะไรจุกอยู่ในอกเช่นนั้น ความชื่นชมที่เคยมีต่อสร้อยมุกในมือก็หายไปด้วยเช่นกัน เขาเบะปาก พลางยัดสร้อยในมือไปที่ใต้โต๊ะของเฟิ่งสือจิ่นอย่างรังเกียจ “ไม่เห็นจะสวยอะไรเลย” เขาพึมพำ
นักศึกษาคนอื่นๆ ทยอยเข้ามาในห้องเรียนอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อนักศึกษามาถึงจนครบทุกคนแล้วก็ยังไม่เห็นเงาของเฟิ่งสือจิ่นอยู่ดี ซูกู้เหยียนมองตรงไปยังที่นั่งของเฟิ่งสือจิ่นทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง จากนั้นจึงปรายตามองหลิวอวิ๋นชูต่อ ทางด้านของหลิวอวิ๋นชู เมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่ายก็ยักไหล่เบาๆ เป็เชิงว่าตนก็ไม่รู้เหมือนกัน
องค์หญิงเจ็ดซูเหลียนหรูเป็คนสุดท้ายที่ก้าวเข้ามาในวิทยาลัยหลวง นางชอบการมีสาวใช้รายล้อม และชอบการเป็เป้าสายตาของทุกคนเช่นกัน แต่นางเพิ่งก้าวเข้ามาในวิทยาลัย ร่างในชุดนักพรตสีเขียวขุ่นก็ก้าวตามเข้ามาติดๆ
ซูเหลียนหรูรับรู้ได้ว่ามีคนเดินตามหลัง จึงชะงักลงเล็กน้อยแล้วหันกลับไปมอง พบว่าเฟิ่งสือจิ่นกำลังยืนอยู่หน้าประตูอย่างผ่าเผย โดยมีแสงอาทิตย์ส่องเข้ามาจากทางด้านหลัง
ปิ่นที่ทำมาจากไม้จันทน์เกล้าเส้นผมยาวๆ ไว้กลางหัว ชุดนักพรตสีเขียวขุ่นดูพลิ้วไหว ทว่าก็ทำให้นางดูเป็ผู้ใหญ่เช่นกัน โครงร่างของนางถูกปกคลุมไปด้วยแสงอาทิตย์สีเหลืองอ่อน เหมือนตอนที่นางเพิ่งก้าวเข้ามาในวิทยาลัยวันแรก แสงแดดที่ส่องเข้ามา ทำให้ใบหน้าของนางดูขาวใสจนแทบจะโปร่งแสง แต่ถึงกระนั้นก็ยังดูออกว่าใบหน้าข้างหนึ่งมีรอยบวมอยู่
ดวงตาคมกริบสีน้ำตาลอ่อนสะท้อนกับแสงจนใสวาวราวกับกระจก ทว่าบัดนี้ ในนั้นกลับไร้ซึ่งความสดใสสมวัย ดวงตาที่เป็ผู้ใหญ่ รอบคอบ และใจเย็นคู่นั้นกำลังจ้องเข้ามาในดวงตาของซูเหลียนหรูอย่างเปิดเผย