ซูกู้เหยียนหัวใจกระตุกวูบ เฟิ่งสือหนิงจับมือของเขาเอาไว้ ซูกู้เหยียนอยากดึงมือกลับมา แต่นางก็จับเอาไว้แน่นและไม่ยอมปล่อย “กู้เหยียน...” นางเรียกด้วยเสียงไพเราะ
ซูกู้เหยียนก้มมองนางด้วยสายตาอ่อนโยน “ไม่ว่าอย่างไร การหายตัวไปของสือจิ่นก็เป็ความผิดของข้า เพราะข้าไม่ดูแลนางให้ดีจึงเป็เช่นนี้ สือหนิง เ้ากลับไปกินมื้อเย็นก่อนเถอะ”
เฟิ่งสือหนิงไม่ยอมปล่อยมือ “กู้เหยียน อย่าโทษตัวเองเลย เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับเ้าเลยสักนิด เอาแบบนี้เถอะ พวกเรากลับไปกินมื้อเย็นกันก่อน จากนั้นค่อยออกไปหาสือจิ่นพร้อมกัน ราชครูออกตามหานางแล้ว ข้าเชื่อว่าอีกไม่นานต้องหานางเจอแน่” นางลากให้ซูกู้เหยียนนั่งลงพร้อมกันช้าๆ “สือจิ่นเป็เช่นนี้มาั้แ่ไหนแต่ไรแล้ว นางชอบหนีไปซ่อนแบบนี้บ่อยๆ เมื่อซ่อนจนพอใจแล้วก็จะออกมาเอง”
เบื้องหน้าเป็อาหารชั้นดีหลากหลายรูปแบบ เฟิ่งสือหนิงคีบอาหารให้ซูกู้เหยียน ดูแลเขาอย่างรอบคอบ แต่ซูกู้เหยียนกลับไม่มีอารมณ์มากินอาหารตรงหน้า แค่คิดว่าเฟิ่งสือจิ่นหายไปทั้งบ่าย แถมยังไม่กลับจวนราชครูจนถึงป่านนี้ เขาก็อดกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางไม่ได้
เฟิ่งสือหนิงพูดกล่อม “กู้เหยียน เสวยสักคำเถอะ”
ซูกู้เหยียนหยิบตะเกียบขึ้นมา ก่อนจะวางมันลงอีกครั้ง เขาถอนหายใจแล้วลุกขึ้นยืน “สือหนิง เ้ากินไปก่อนเถอะ ข้าอยากออกไปดูเสียหน่อย”
เฟิ่งสือหนิงจับมือเขาเอาไว้ “เสวยให้อิ่มก่อนแล้วค่อยไปไม่ได้หรือเพคะ?” สายตาที่ซูกู้เหยียนมองไปที่นางเริ่มมีความสงสัยประกายออกมา เมื่อเห็นดังนั้น นางก็ก้มหน้าลงต่ำอย่างเศร้าหมอง “คนหนึ่งเป็สวามีของข้า ในหนึ่งวันก็มีแค่ตอนเย็นเท่านั้นที่ข้าจะได้กินข้าว และเดินเล่นกับท่านเสียหน่อย แต่อีกคนก็เป็น้องสาวของข้า นางหายตัวไป ข้าเองก็เป็ห่วงไม่แพ้กัน ข้าที่เป็คนกลางรู้สึกร้อนรนเหมือนถูกไฟเผา แต่ก็ตัดสินใจเลือกใครไม่ได้ทั้งสองฝ่าย ข้าเองก็อยากหาสือจิ่นเจอเร็วๆ แต่ก็อยากให้ท่านเสวยให้อิ่มก่อนแล้วค่อยไป...”
ซูกู้เหยียนมีท่าทีอ่อนลง เขาประทับจูบลงบนหน้าผากของเฟิ่งสือหนิง พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “สือหนิง ข้าทำให้เ้าลำบากใจแล้ว อย่ากังวลไปเลย เฟิ่งสือจิ่นไม่เป็ไรหรอก ตอนนี้ข้าเองก็ไม่ได้หิวอะไร ข้าไปแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”
ยังไม่ทันที่เฟิ่งสือหนิงจะได้พูดอะไร ซูกู้เหยียนก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากห้องอาหารเสียแล้ว เฟิ่งสือหนิงมองตามแผ่นหลังในชุดสีขาวของเขาจนลับสายตาไป
ห้องอาหารที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นเย็นะเืลงทันตา เหลือเพียงคนรับใช้หนึ่งคน กับเฟิ่งสือหนิงที่ยังคงยืนอยู่ข้างโต๊ะ นางประคองมุมโต๊ะ แล้วค่อยๆ ย่อตัวลงไปนั่งช้าๆ แม้อาหารตรงหน้าจะหลากหลายและน่ากินเพียงใด นางก็ไม่อยากลิ้มรสของพวกมันอีกแล้ว
สาวใช้ที่มีนามว่าชูชุนเห็นนางนิ่งไปนานจึงเดินเข้าไปโค้งคำนับ “อาหารเริ่มเย็นแล้ว พระชายา เสวยเสียหน่อยเถิดเพคะ”
เฟิ่งสือหนิงพูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ “องค์ชายสี่ไม่อยู่แล้ว ยังจะกินอะไรอีก ยกออกไปให้หมด”
ชูชุนยังคงลังเล “แต่พระชายา เช่นนี้จะไม่ดีต่อร่างกายนะเพคะ”
“ข้าบอกให้ยกออกไปไง”
ชูชุนไม่มีทางเลือกจึงโค้งตัวลงอีกครั้ง “ทราบแล้วเพคะ” นางรีบเดินออกไปด้านนอกแล้วสั่งให้คนยกอาหารออกไป
เฟิ่งสือหนิงพูดขึ้น “เก็บอาหารบางส่วนไว้ แล้วคอยอุ่นรอ เมื่อองค์ชายสี่กลับมาถึง ค่อยยกกลับเข้ามาใหม่”
ซูกู้เหยียนเดินออกไปจากจวน เขารีบมุ่งหน้าไปที่วิทยาลัยหลวงทันที ไม่แน่ เฟิ่งสือจิ่นอาจยังอยู่ในวิทยาลัยหลวงก็ได้
ในขณะเดียวกัน จวินเชียนจี้เดินผ่านซอยที่เงียบสงัด ชายกระโปรงลอยพลิ้วเป็ระยะ ห่างออกไป ดวงแสงจากโคมไฟส่องสว่างท่ามกลางราตรี ให้ความรู้สึกเหมือนเป็หมู่ดาวที่ตกลงมาบนดินเช่นนั้น แสงรำไรของมันส่องลงบนร่างของจวินเชียนจี้ เขากลับไปที่วิทยาลัยหลวงอีกครั้ง พบว่าประตูบานใหญ่ปิดสนิท แถมยังมีแม่กุญแจขนาดใหญ่ที่สร้างจากเหล็กกล้าคล้องอยู่ เขายืนอยู่ที่ขั้นบันไดชั่วครู่ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า แล้วยกแม่กุญแจขึ้นมาเบาๆ เคร้ง... เมื่อเขาออกแรงดึง เสียงขาดสะบั้นของโลหะก็ดังขึ้น แม่กุญแจไม่ได้เสียหายอะไร แต่เหล็กที่คล้องกับแม่กุญแจกลับถูกดึงจนหลุดออกมาจากประตู จวินเชียนจี้โยนแม่กุญแจทิ้งแบบส่งๆ จากนั้นก็ดันประตูให้เปิดออก แล้วก้าวยาวๆ เข้าไปในนั้น
เมื่อเทียบกับตอนเช้า ดูเหมือนวิทยาลัยหลวงในเวลากลางคืนจะเงียบสงัดและวังเวงกว่ามาก ต้นไหวรูปร่างคดงอหน้าอาคารกำลังส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ไปทั่วบริเวณ กิ่งที่ชูออกไปรอบด้านเป็เหมือนสัตว์ประหลาดที่กำลังกางแขน เตรียมจะโจมตีศัตรูเช่นนั้น จวินเชียนจี้เดินอ้อมต้นไหว และอาคารเรียนที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของหนังสือด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาเดินไปตามทางสายเล็กสายหนึ่งอย่างเงียบงัน
ถนนสายนี้มีเขาเพียงคนเดียว บรรยากาศวังเวงเล็กน้อย เสียงฝีเท้าของเขาเบาจนแทบจะไม่ได้ยิน มีเพียงเสียงของชายเสื้อที่ถูกลมพัดจนกระพือเบาๆ เท่านั้นที่ดังขึ้นเป็ระยะ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็ดวงิญญาที่ล่องลอยอย่างไร้จุดหมายอย่างไรอย่างนั้น จวินเชียนจี้ก้าวเดินอย่างระมัดระวัง และมองสำรวจรอบด้านอย่างละเอียดไปตลอดทาง
เขาเดินสำรวจวิทยาลัยหลวงไปมากกว่าครึ่ง ในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลงใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งหนึ่ง ต้นไม้ต้นนี้ขึ้นโดดๆ อยู่กลางแมกไม้ มันยืนตระหง่านภายใต้แสงจันทร์ ดูคล้ายกับเห็ดสีดำขนาดใหญ่ที่ขึ้นอยู่บนขอนไม้ไม่มีผิด
อีกด้าน ซูกู้เหยียนเดินตามหลังมาติดๆ เมื่อเห็นจวินเชียนจี้หยุดยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน ซูกู้เหยียนก็เลือกที่จะซ่อนตัวอยู่ข้างกำแพง ไม่ได้เข้าไปรบกวนอีกฝ่าย
จวินเชียนจี้เงยหน้าขึ้น เขาฟังเสียงของสายลมอย่างตั้งใจ สักพักจึงพูดขึ้นเบาๆ “สือจิ่น เ้าอยู่บนนั้นหรือไม่?”
ไม่มีใครตอบกลับมา
สักพักจวินเชียนจี้ก็เปล่งเสียงขึ้นอีกครั้ง “สือจิ่น ฟ้ามืดแล้ว พวกเราควรกลับบ้านได้แล้ว”
เป็เวลานาน กว่าเสียงแหบพร่าจะดังอู้อี้ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ “อาจารย์?”
จวินเชียนจี้ขานตอบเบาๆ “อืม”
เฟิ่งสือจิ่นนอนพิงอยู่ตรงกลางระหว่างกิ่งไม้ใหญ่ เมื่อได้ยินเสียงของจวินเชียนจี้ นางก็ค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า เพราะเพิ่งตื่น เสียงที่เปล่งออกมาจึงมีความเกียจคร้านแฝงอยู่ เมื่อนางเคลื่อนไหว ชุดนักพรตที่มีขนาดเล็กกว่าชุดบนร่างของจวินเชียนจี้ก็คล้อยตกลงมาจากกิ่งอย่างแ่เบา เฟิ่งสือจิ่นขยี้ตาตัวเอง เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกดีใจ แต่ก็หวั่นใจไม่น้อยเช่นกัน “อาจารย์ ท่านมาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร?”
จวินเชียนจี้ตอบ “ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ข้าหาไปทั่วเมืองแต่ก็ไม่เจอเ้า เลยลองเข้ามาดูในนี้เสียหน่อย แล้วก็เป็อย่างที่ข้าคิดจริงๆ” เมื่อพูดจนถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของเขาก็เผยความจนปัญญาออกมา
เฟิ่งสือจิ่นพูดด้วยเสียงใสซื่อ “ที่แท้ก็ดึกขนาดนี้แล้วหรือนี่... ศิษย์เผลอหลับอยู่บนต้นไม้ เลยไม่รู้ว่าฟ้ามืดแล้ว”
“ยังไม่รีบลงมาอีก”
เฟิ่งสือจิ่นยืนอยู่บนกิ่งไม้ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ไม่ต่างไปจากแสงจันทร์ นางยกชายกระโปรงขึ้น แล้วเล็งตำแหน่งของจวินเชียนจี้จนแม่นยำ จากนั้นก็ะโลงมาอย่างไม่ลังเล ซูกู้เหยียนซ่อนตัวอยู่หลังกำแพง เขาเห็นเฟิ่งสือจิ่นร่วงลงในอ้อมแขนของจวินเชียนจี้พอดิบพอดี และจวินเชียนจี้ก็รับนางเอาไว้อย่างมั่นคง เสื้อผ้าบนร่างของคนทั้งคู่ถูกพัดให้ปลิวสะบัดขึ้นเบาๆ ให้ความรู้สึกคล้ายร่างกายของพวกเขากำลังผสานเป็หนึ่งเดียวกัน
ซูกู้เหยียนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เขาไม่เคยเห็นราชครูที่เ็ากับทุกคน และชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพังคนนี้สนิทชิดเชื้อกับใครเท่านี้มาก่อน ต่อให้เขาจะรักลูกศิษย์ของตัวเองมากแค่ไหน แต่การกระทำเช่นนี้ก็ยังดูสนิทสนมเกินไปอยู่ดี... รอยยิ้มบริสุทธิ์บนใบหน้าขาวสะอาดของเฟิ่งสือจิ่นทำให้ซูกู้เหยียนสติพร่าเลือนไปชั่วขณะ เขารู้สึกเหมือนได้กลับไปในอดีต กลับไปเห็นรอยยิ้มของเด็กสาวที่เกี่ยวก้อยและคอยติดตามเขาไปทุกที่คนนั้นอีกครั้ง... ซูกู้เหยียนประคองกำแพงเอาไว้พลางหลับตาลง เขาส่ายหน้าเบาๆ นางก็คือนาง สือหนิงก็คือสือหนิง ต่อให้วางแผนมาอย่างแยบยลแค่ไหน แม้จะแสร้งจนเหมือนเพียงใด นางก็ไม่มีทางแทนที่สือหนิงได้อยู่ดี เด็กสาวตัวเล็กที่เดินตามตนไปไหนมาไหนคือเฟิ่งสือหนิง ไม่ใช่เฟิ่งสือจิ่น
จวินเชียนจี้ตำหนิเฟิ่งสือจิ่นด้วยสีหน้าบึ้งตึงพลางวางร่างของนางลงอย่างอ่อนโยน ทว่าเมื่อสายตาไปปะทะเข้ากับใบหน้าของนาง จวินเชียนจี้ก็ชะงักนิ่งลงอย่างกะทันหัน เขาลูบใบหน้าข้างหนึ่งของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแ่เบาด้วยนิ้วมือเย็นเยียบ “หน้าเ้าไปโดนอะไรมา?”