ซูกู้เหยียนไม่ตอบอะไร แต่เหวี่ยงแส้ฟาดไปที่หัวเข่าของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแรง นางทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้น ส่วนที่ถูกตีเจ็บจนชาไปหมด นางใช้มือยันพื้นแล้วพยายามลุกขึ้นมาอีกครั้ง แต่ซูกู้เหยียนก็เหวี่ยงแส้ลงมาเป็ครั้งที่สอง ครั้งนี้ นางทรุดลงไปคุกเข่า โดยไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก “คุกเข่าต่อฟ้าดินและราชครูเท่านั้นงั้นหรือ ในเมื่อไม่มีใครสั่งสอนเื่มารยาทและความผิดชอบชั่วดีแก่เ้า เช่นนั้นก็จงจำไว้ให้ดี เป็คนควรเคารพครูอาจารย์ ทำตามกฎธรรมเนียม ควบคุมพฤติกรรมตนเอง ก่อนจะศึกษาตำราคำสอนของนักปราชญ์ ควรเรียนรู้ที่จะเป็มนุษย์ที่ดีให้ได้เสียก่อน”
เฟิ่งสือจิ่นกัดฟันกรอด “ข้าจะทำตัวอย่างไร เ้าไม่จำเป็ต้องมาสอน และข้าก็ไม่้าคำสอนจากพวกเ้าเช่นกัน! ใจมนุษย์ลึกล้ำเกินจะหยั่งรู้ เ้ารู้ได้อย่างไรว่าใครทำตัวสุจริตผ่าเผย ใครเสแสร้งใครจริงใจ ใครทำตามกฎระเบียบ ใครสร้างภาพตบตา! เ้าไม่สมเป็อาจารย์ของวิทยาลัยหลวง เพราะเ้ามองคนแค่ผิวเผิน ดวงตามืดบอด ไร้ความสามารถ!”
ซูกู้เหยียนกำแส้ในมือแน่น แต่กลับไม่เหวี่ยงมันลงมาเสียที
เฟิ่งสือหนิงเดินไปข้างหน้า นางตวาดเสียงดัง ไม่หลงเหลือความอ่อนโยนอีกต่อไป “คนอื่นไม่มีสิทธิ์สั่งสอนงั้นหรือ นี่เป็กิริยาที่ควรแสดงต่ออาจารย์หรือ? เ้าพูดจาสามหาว ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ สักวันต้องสร้างเื่ใหญ่โตขึ้นแน่! เ้ามีนิสัยเกเรก้าวร้าวเช่นนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็ความผิดของข้า ในเมื่อเ้าคิดว่าอาจารย์ไม่มีสิทธิ์ลงโทษเ้า เช่นนั้น ข้าจะลงมือเอง”
พูดจบก็แย่งแส้มาจากซูกู้เหยียน
ซูกู้เหยียนเตรียมจะรั้ง แต่เฟิ่งสือหนิงกลับเหวี่ยงแส้ลงอย่างหนักโดยไม่ลังเล เฟิ่งสือหนิงร่างกายสั่นเทา เมื่อเหวี่ยงแส้ฟาด น้ำตาก็ไหลทะลักออกมาไม่หยุด นางใบหน้าซีดเผือด “ข้ากับเ้าเป็พี่น้องร่วมสายเื ฟาดบนกายเ้า ข้าเองก็ปวดหัวใจไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่น หากไม่ตีให้เ้าตาสว่าง ข้าจะกล้าไปสู้หน้าท่านแม่ได้อย่างไร!”
เฟิ่งสือหนิงดูเหมือนอ่อนแอ แต่มีแค่เฟิ่งสือจิ่นที่รู้ว่าแส้ที่ฟาดลงบนร่างกายสร้างความเ็ปได้มากเพียงใด นางตีแรงกว่าซูกู้เหยียนเป็ไหนๆ ทว่าในสายตาของคนอื่นๆ พวกเขาคงมองว่าเฟิ่งสือหนิงออกแรงแค่น้อยนิดสินะ
หลิวอวิ๋นชูอดกลั้นกับความรู้สึกผิดในใจ เมื่อหันไปมองสีหน้าสะใจของซูเหลียนหรู ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าทั้งหมดเป็แผนการของนางนั่นเอง กงเยี่ยนชิวกับเจี่ยนซืออินสนิทกับนางที่สุด พวกนางใช้เขาเป็เครื่องมือเพื่อใส่ร้ายเฟิ่งสือจิ่น และเขาก็หลงทำตามเพียงเพราะคำพูดแค่ไม่กี่คำของเจี่ยนซืออิน
เขาอยากสั่งสอนเฟิ่งสือจิ่น และอยากแก้แค้นให้ตนเองเสียหน่อย แต่เขาไม่เคยอยากให้เื่กลายเป็เช่นนี้มาก่อน ต่อให้อยากจะสั่งสอนเฟิ่งสือจิ่นจริงๆ เขาก็อยากจะทำด้วยตนเอง และทำอย่างผ่าเผย ไม่ใช่ใส่ร้ายนางด้วยวิธีสกปรกเช่นนี้!
หลิวอวิ๋นชูแทบจะควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาอยากจะวิ่งออกไปช่วยเฟิ่งสือจิ่น แต่ก็ถูกเจี่ยนซืออินดึงแขนเอาไว้เสียก่อน เขาหันกลับไปมองเจี่ยนซืออินตาเขม็ง “ปล่อยข้า!”
เจี่ยนซืออินพูดกระซิบ “พี่อวิ๋นชู ออกไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร เฟิ่งสือจิ่นถูกเฆี่ยนไปแล้ว ท่านอยากไปหาเื่ใส่ตัวหรือไง? อย่าลืมสิ ว่าแส้ของท่านลุงหลิวเจ็บแสบกว่านี้หลายเท่าเลย ทำไมต้องลำบากตัวเองด้วยล่ะ อย่างไรเสียเื่นี้ก็ไม่เกี่ยวกับท่านอยู่แล้ว”
หลิวอวิ๋นชูเริ่มขี้ขลาดขึ้นมาอีกครั้ง “แต่พวกเ้าก็ทำรุนแรงเกินไป!”
เจี่ยนซืออินปล่อยมือ “เอาสิ อยากไปก็ไปเลย มาดูกันว่าท่านจะอธิบายเื่นี้อย่างไร บอกว่าตัวเองเป็คนยัดสร้อยมุกเข้าไปในโต๊ะของเฟิ่งสือจิ่นหรือ? แล้วท่านไปเอาสร้อยมุกมาจากไหนล่ะ? เก็บได้หรือ? นั่นเป็เครื่องบรรณาการเชียวนะ จะเก็บได้ตามถนนหรือไง? หากอยากทำให้คนอื่นเข้าใจผิด และหาเื่ใส่ตัวเอง เช่นนั้นก็ออกไปเถิด”
หลิวอวิ๋นชูทำใจให้กลับมาสงบอีกครั้ง เขากำหมัดแน่น แต่ก็ไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าอีกแม้แต่ก้าวเดียว
แผ่นหลังเจ็บแสบไปทั่ว แส้ขนาดใหญ่ฟาดลงที่ท้ายทอยของเฟิ่งสือจิ่นหนักๆ สร้างความเ็ปแก่นางอย่างมหาศาล มันแทบจะทำให้นางหมดสติลงเลยก็ว่าได้ เฟิ่งสือหนิง... อยากจะตีนางให้ตายสินะ... กระแสเืแล่นตรงเข้าสู่สมอง เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน ภาพตรงหน้าเริ่มพร่าเบลอมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นเอง จู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนตนอยู่ในซอยแคบๆ ที่แสนหนาวเหน็บ ใครบางคนกำลังะโใส่ร้ายอย่างคลุ้มคลั่ง... “ต่อให้จะไม่มีเ้า ข้าก็ทำให้เขามีความสุขได้เหมือนกัน! ขอแค่เขามีความสุข สำคัญด้วยหรือว่าคนที่อยู่เคียงข้างเขาจะเป็ข้าหรือเป็เ้า! แต่ก่อน พวกเราก็มอบความรักให้เขาโดยไม่สนว่าเขาจะเลือกใครไม่ใช่หรือ?”
“เ้ายังอยาก... ให้ข้าตายไม่เปลี่ยนเลยนะ...”
“หากข้าอยากให้เ้าตายจริงๆ คงไม่เหลือแม้แต่โอกาสให้เ้ารอดชีวิตกลับไปได้ด้วยซ้ำ”
“ทำไมเ้าถึงอยากให้ข้าลืมเขานัก...”
คำพูดเ่าั้เป็เหมือนฝูงงูที่เลื้อยเข้ามาในหัวของเฟิ่งสือจิ่นอย่างบ้าคลั่ง พวกมันเลื้อยชอนไชไปทั่วจนนางปวดหัวไปหมด นางลืมความเ็ปที่แผ่นหลังไปอย่างสิ้นเชิง เฟิ่งสือจิ่นยกมือกุมหัว นางกัดฟันกรอด พลางพูดด้วยดวงตาแดงก่ำ “เขาเป็ใคร... ข้าลืมใครไป... หากเลิกคิดถึงเขา ความเจ็บก็จะหายไปเอง กลับกัน ยิ่งคิดถึงเขามากเท่าไร ความเจ็บก็จะเพิ่มพูนมากขึ้นเท่านั้น... วิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้หลุดพ้นจากความทรมานก็คือการลืมเขาไปตลอดกาล...”
นอกจากเฟิ่งสือหนิงที่อยู่ใกล้ที่สุด ไม่มีใครได้ยินว่าเฟิ่งสือจิ่นกำลังพึมพำอะไรกันแน่ เฟิ่งสือหนิงมือสั่นเทา ใบหน้าขาวซีด คราวนี้ นางไม่จำเป็ต้องแสร้งทำเหมือนหวาดกลัวและตื่นตระหนกอีกต่อไป เฟิ่งสือหนิงเบิกตากว้าง น้ำตารื้นขึ้นมาที่ขอบตา มือที่กำลังเหวี่ยงตีก็หยุดชะงักลงอย่างกะทันหัน นางก้าวถอยหลังกลับไปหลายก้าว ก่อนแส้ในมือจะร่วงลงบนพื้นดินอย่างอ่อนแรง
ซูกู้เหยียนได้ยินเพียงเลือนรางเท่านั้น เขาขมวดคิ้วมุ่นขึ้น “เมื่อครู่นางพูดว่าอะไรนะ?”
เฟิ่งสือหนิงได้สติกลับมา นางรีบเช็ดน้ำตาบนใบหน้า แล้ววิ่งเข้าไปกอดเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ “สือจิ่น... อย่าโทษข้าเลย ข้าแค่อยากให้เ้าเป็คนดี... ข้าไม่ได้อยากตีเ้าเลยจริงๆ...” นางพูดด้วยท่าทางปวดใจ ก่อนจะหันไปขอร้องซูกู้เหยียน “วันนี้ให้นางหยุดเรียนสักวันได้หรือไม่ ตอนนี้นางก็ถูกลงโทษไปแล้ว ให้ข้าพานางไปรักษาเถอะ”
ซูกู้เหยียนมองเฟิ่งสือจิ่นที่มีเหงื่อท่วมตัว และสติพร่าเบลอเพราะความเ็ปชั่วครู่ ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดด้วยเสียงเคร่งขรึม “ส่งนางกลับไปที่จวนราชครูเถอะ”
เฟิ่งสือหนิงเรียกให้ชูชุนเข้ามาช่วยประคองเฟิ่งสือจิ่นออกไปจากวิทยาลัยหลวง นักศึกษาที่เหลือมองหน้ากันไปมาเพื่อถ่ายทอดความรู้สึกของตนผ่านทางสายตา ซูกู้เหยียนบอก “เื่นี้ ให้มันจบลงเพียงแค่นี้ นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ห้ามพูดถึงมันอีก”
ซูเหลียนหรูเล่นสร้อยมุกในมืออย่างอารมณ์ดี จากนั้นก็ชื่นชมเล็บยาวๆ ของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ เมื่อทำเสร็จจึงพูดขึ้นอย่างพึงพอใจ “ไหนๆ ก็หาสร้อยมุกเจอแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้เสียหายอะไร เฟิ่งสือจิ่นก็ได้รับบทลงโทษอย่างสาสม ในเมื่อเป็เช่นนี้ ข้าจะปล่อยเื่นี้ไปก็ได้” นางคารวะซูกู้เหยียนด้วยท่าทางเสแสร้ง “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ให้ความยุติธรรมแก่ข้า”
เฟิ่งสือจิ่นถูกแบกขึ้นไปบนรถม้า นางนั่งพิงอยู่ในมุมหนึ่งของรถม้าเพียงลำพัง พลางพึมพำอย่างไร้สติไม่หยุด เฟิ่งสือหนิงนั่งอยู่ไม่ไกล นางมีสีหน้าเย็นะเื ไม่คิดจะสนใจไยดีน้องสาวเลยสักนิด ท่าทีอ่อนโยนและเศร้าสลดเมื่อครู่เลือนหายไปอย่างสิ้นเชิง
ชูชุนพูดด้วยท่าทางหวาดกลัว “พระชายา ตอนนี้เราควรทำอย่างไรต่อไปดี... จะส่งนางกลับไปที่จวนราชครูจริงๆ หรือ?”
เฟิ่งสือหนิงตอบ “ไม่เช่นนั้นจะพานางไปที่ไหนได้อีก?”
“แต่นางจำได้แล้ว...”
เฟิ่งสือหนิงนั่งเอนพิงหมอนข้าง พลางมองเฟิ่งสือจิ่นตาไม่กะพริบ “เื่มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้นางจำได้แล้วอย่างไร หากไม่ใช่เพราะต้องแย่งคนที่ข้ารักมากที่สุดในชีวิตมา ข้าก็ไม่อยากให้นางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้เหมือนกัน” พูดจบก็ขยับเข้าไปนั่งข้างกายเฟิ่งสือจิ่น นางลูบหัวของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแ่เบา ก่อนจะโอบกอดนางเข้ามาในอ้อมแขน แล้วพูดด้วยเสียงอ่อนโยน “ในโลกใบนี้ ข้าเหลือน้องสาวแท้ๆ แค่คนเดียวแล้ว หากนางไม่เข้ามาขัดขวางข้า ข้าก็ยินดีจะรักและปกป้องนางต่อไป” เมื่อมองไปยังเฟิ่งสือจิ่น สายตาของนางก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายและซับซ้อนจนเกินจะแกะความหมาย “หากเ้าไม่ได้มีหน้าตาเหมือนกับข้าทุกส่วนเช่นนี้ก็คงจะดี หากเ้าไม่เข้ามายุ่งเื่ของข้า หากเ้าไม่กลับมาเมืองหลวงก็คงจะดี หนีไปไกลสุดหล้าฟ้าเขียว ลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ แล้วใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีต่อไปไม่ดีหรือ...”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้