เฟิ่งสือจิ่นถูกส่งไปที่จวนราชครู โดยมีจวินเชียนจี้เป็ผู้รับ่ต่อด้วยตนเอง ในตอนนั้น จวินเชียนจี้มีใบหน้าบูดบึ้งเป็อย่างมาก เฟิ่งสือหนิงพูดขึ้น “สือจิ่นขโมยสร้อยมุกที่ฮ่องเต้พระราชทานให้องค์หญิงเจ็ดไป นางถูกจับได้คาหนังคาเขา จึงถูกเฆี่ยนด้วยแส้วินัยยี่สิบครั้งตามกฎระเบียบของวิทยาลัยหลวง ข้าส่งนางกลับมารักษาตัวที่จวนราชครู วานท่านราชครูดูแลนางต่อด้วย”
จวินเชียนจี้อุ้มเฟิ่งสือจิ่นแนบอก “นางนี่หรือขโมยสร้อยมุก อะไรคือการจับได้คาหนังคาเขาที่ว่า?”
เฟิ่งสือหนิงตอบ “สร้อยมุกถูกหาเจอที่ใต้โต๊ะของนาง”
“พวกเ้ามีใครเห็นนางขโมยสร้อยมุกด้วยตาของตัวเองหรือไม่?”
เฟิ่งสือหนิงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ สักพักกว่านางจะพูดขึ้นอีก “ข้ารู้ว่าราชครูอยากปกป้องลูกศิษย์ ข้าเองก็ทรมานใจไม่ต่างกัน แต่ท่ามกลางสายตาของคนมากมายเช่นนั้น หากองค์ชายสี่ไม่ลงโทษนาง คนอื่นๆ จะยอมจบเื่นี้ได้อย่างไร สือจิ่นมีอาจารย์ที่ดีแบบท่าน ถือเป็บุญที่นางเคยทำมาแต่ปางก่อน ข้าไม่รบกวนแล้ว ขอตัวก่อน”
จวินเชียนจี้พูดขึ้นระหว่างที่เฟิ่งสือหนิงกำลังหมุนตัว “ข้าไม่ได้พานางกลับมาให้พวกเ้ารังแกเช่นนี้”
เฟิ่งสือหนิงพูด “หากไม่อยากให้นางถูกรังแก ก็อย่าให้นางเข้าใกล้พวกคนในวิทยาลัยหลวงอีก”
จวินเชียนจี้ไม่อยู่ต่อให้เสียเวลา เขาอุ้มเฟิ่งสือจิ่นเข้าไปในจวนทันที
แผลที่ด้านหลังไม่ได้รุนแรงสักเท่าใด แต่ดูเหมือนนางจะถูกตีที่ท้ายทอย ทำให้กระทบกระเทือนไปถึงสมอง เฟิ่งสือจิ่นนอนสะลึมสะลือ แม้จะนอนอยู่บนเตียงก็ยังไม่ยอมหยุดนิ่ง เอาแต่พูดพึมพำออกมาไม่หยุด จวินเชียนจี้ป้อนยาให้นาง จากนั้นก็นำยาจากห้องสมุนไพรออกมาเคี่ยวด้วยตนเอง เ้าสามมัดะโไปมาบนเตียงของเฟิ่งสือจิ่น ก่อนจะนอนซุกอยู่ที่ไหล่ของนาง และเลียใบหน้าของนางไม่หยุด... เฟิ่งสือจิ่นร่างกายแข็งทื่อแถมยังเย็นเฉียบ เอาแต่พึมพำชื่อของ ‘ซูกู้เหยียน’ ออกมาไม่หยุด ภาพในความทรงจำที่แสนเลือนรางผุดขึ้นมาในหัวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่านางจะพยายามเพียงใดก็สลัดภาพพวกนั้นออกไปไม่ได้เสียที
จวินเชียนจี้กลับมาพร้อมกับถ้วยยา เมื่อพบว่าเฟิ่งสือจิ่นมีเหงื่อท่วมร่างกาย คิ้วคมก็ขมวดมุ่นขึ้น ในขณะเดียวกัน จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็ลืมตาขึ้น สายตาที่มองมายังจวินเชียนจี้เต็มไปด้วยความสับสนและเลื่อนลอย นางประกายรอยยิ้มสดใสออกมา เพล้ง... ถ้วยในมือของจวินเชียนจี้ถูกชนจนตกลงพื้น ถ้วยกลมกลิ้งอยู่บนพื้นหลายรอบ ทำให้ยาในนั้นสาดกระจายไปทั่วบริเวณ
จวินเชียนจี้จำต้องเอนตัวกลับไปด้านหลังจึงจะยืนตั้งหลักได้ มือทั้งสองข้างชะงักค้างอยู่กลางอากาศ จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็พุ่งเข้ามากอดเขาเอาไว้แน่น และกอดอยู่อย่างนั้นไม่ยอมปล่อย แถมยังค่อยๆ ปีนสูงขึ้นมาเรื่อยๆ เท้าเปลือยเปล่าเหยียบลงบนเตียง ทำให้ความสูงของนางอยู่ในระดับเดียวกับจวินเชียนจี้ในที่สุด
เฟิ่งสือจิ่นคล้องคอของจวินเชียนจี้ แล้วถูแก้มไปที่ใบหน้าของเขาไม่หยุด “ซูกู้เหยียน เ้าบอกว่ารอให้ข้าอายุครบสิบห้าปี และผ่านพิธีปักปิ่น[1]แล้ว เ้าจะขอให้ฝ่าาประทานสมรสให้ข้ากับเ้าใช่ไหม... ยังเหลืออีกแค่สองปีเท่านั้น ไม่ว่าคนในบ้านจะเกลียดชัง ข่มเหงรังแก หรือเหยียบย่ำข้ามากแค่ไหนข้าก็จะอดทน ทนจนถึงวันที่เ้ามาแต่งงานกับข้า รอจนถึงวันที่จะได้มีชีวิตใหม่... ซูกู้เหยียน...”
เฟิ่งสือจิ่นกำลังร้องไห้
น้ำตาไหลลงมาจากขอบตา และหยดลงบนคอเสื้อสีขุ่นของจวินเชียนจี้หยดแล้วหยดเล่า
“แต่การอดทนนี้ช่างทรมานเหลือเกิน...” เฟิ่งสือจิ่นลูบใบหน้าคมคายของจวินเชียนจี้ด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็ใช้จมูกเล็กๆ สีแดงของตนถูจมูกของอีกฝ่ายอย่างแ่เบา “ซูกู้เหยียน ทำไมข้าถึงรู้สึกเ็ปมากขนาดนี้... เ็ปจนราวกับ...” นางร้องไห้ด้วยเสียงแหบพร่า พลางครุ่นคิดอย่างตั้งใจ พยายามหาคำที่เหมาะสมมาอธิบายถึงความรู้สึกของตน “เหมือนกับว่า... เ้าไม่ได้เป็ของข้าอีกแล้ว...”
จวินเชียนจี้คล้อยมือลงต่ำ ก่อนจะยกแขนขึ้นไปลูบหัวของเฟิ่งสือจิ่นอย่างแ่เบา “เขามีดีตรงไหน ทำไมเ้าถึงโหยหาเขาถึงเพียงนี้” เขาพูดด้วยเสียงราบเรียบ
“เมื่อโตขึ้น สิ่งเดียวที่ข้าอยากเป็มากที่สุด ก็คือเ้าสาวของเ้า...”
จวินเชียนจี้ชะงักนิ่งลง ทว่าเฟิ่งสือจิ่นกลับขยับเข้ามาใกล้ แล้วจรดริมฝีปากลงบนริมฝีปากเย็นเยียบของเขาอย่างแ่เบา... จวินเชียนจี้จับเอวของนางเอาไว้ พยายามดันนางออกไป แต่นางกลับกอดจวินเชียนจี้เอาไว้แน่น ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้าและพละกำลังมากมายเช่นนี้มาจากที่ใด
กลิ่นหอมจากกายสตรีลอยเข้ามาแตะจมูก มันเป็กลิ่นที่จวินเชียนจี้คุ้นเคยมากที่สุดมาตลอดหกปี นอกหน้าต่าง เสียงร้องของจักจั่นดังขึ้นั้แ่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เ้าสามมัดะโกระเด้งไปมา ก่อนจะปีนออกไปทางหน้าต่างที่เปิดแง้มอยู่
นางเรียกชื่อของซูกู้เหยียน พลางบังคับจูบจวินเชียนจี้ที่เป็อาจารย์ของตนเองไปด้วย
จวินเชียนจี้ดันนางออกไปไม่ได้ จึงปล่อยให้นางทำตามใจอยาก ชุดนักพรตที่สะอาดและเป็ระเบียบถูกดึงจนยุ่งเหยิงไปหมด วินาทีที่เฟิ่งสือจิ่นกำลังจะลืมตา จวินเชียนจี้ก็รีบกดไปที่ท้ายทอยของนางอย่างรวดเร็ว มันเป็ชีพจรที่ควบคุมการนอนหลับของมนุษย์นั่นเอง เพียงกดเบาๆ ร่างบางของเฟิ่งสือจิ่นก็สิ้นกำลังลงในอ้อมแขนของจวินเชียนจี้ทันที
จวินเชียนจี้จ้องมองริมฝีปากสีแดงสดที่แสนชุ่มฉ่ำของเฟิ่งสือจิ่นเป็เวลานาน ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำจนยากจะคาดเดา มือที่จับเอวของนางเอาไว้เริ่มร้อนจนน่าใ ในที่สุดเขาก็ปล่อยมือ และวางนางลงบนเตียงอีกครั้ง
เขาเก็บถ้วยยาขึ้นมาจากพื้น จากนั้นก็เช็ดยาบนพื้นจนสะอาด เมื่อทำทุกอย่างเสร็จจึงเดินไปเอายาชนิดอื่นที่ห้องหลอมสมุนไพร เมื่อได้ยาแล้ว เขาก็เดินไปหยุดอยู่ข้างเตียงของเฟิ่งสือจิ่น จวินเชียนจี้มองเฟิ่งสือจิ่นที่กำลังละเมอพึมพำอยู่บนเตียงอย่างตั้งใจ หลังมองอยู่นาน ในที่สุดก็ก้มมองเม็ดยาในมืออย่างชั่งใจ และส่งมันเข้าไปในปากของเฟิ่งสือจิ่นช้าๆ
เฟิ่งสือจิ่นส่ายหน้าขัดขืน ขณะที่ปากก็พึมพำออกมาไม่หยุด “ข้าไม่กิน อย่าฝันว่าข้าจะลืมเขา...”
จวินเชียนจี้กล่อมด้วยเสียงอ่อนโยน “เด็กดี กินยานี้เข้าไปก็หายปวดหัวแล้ว”
เมื่อได้ยินเสียงของอาจารย์ ท่าทีของเฟิ่งสือจิ่นก็เริ่มโอนอ่อนลงเรื่อยๆ คล้ายจิตใจเริ่มสงบลงแล้วเช่นนั้น สักพักดวงตาสีแดงก่ำของนางก็เปิดออก แล้วจับจ้องไปที่จวินเชียนจี้ทั้งน้ำตา นางเริ่มได้สติกลับมาแล้ว หลังอ้าปากอยู่นาน ในที่สุดนางก็พูดด้วยท่าทางน่าสงสาร คล้ายถูกใครรังแกมาเช่นนั้น “อาจารย์... ข้าปวดหัว...” นางกินยาเม็ดนั้นเข้าไปแต่โดยดี จากนั้นก็กลืนมันลงคออย่างยากลำบาก
จวินเชียนจี้ลูบหน้าผากของนางอย่างอ่อนโยน กำลังเช็ดเหงื่อให้นางนั่นเอง เฟิ่งสือจิ่นคลานมานอนซบที่ตักของจวินเชียนจี้ จากนั้นจึงหลับสนิทอีกครั้ง จวินเชียนจี้พูดขึ้นด้วยเสียงแ่เบา “หลับให้สบายเถิด อาจารย์จะเฝ้าดูแลเ้าเอง เมื่อตื่นขึ้นมา ทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอน”
รุ่งสาง เ้าสามมัดะโโลดเต้นอยู่ที่ริมหน้าต่าง ขนปุยของมันสั่นไหวเมื่อสายลมยามเช้าพัดผ่าน มันกำลังกัดแทะบานหน้าต่างเพื่อลับฟันของตัวเอง ก่อเสียงครืดคราดจากการเสียดสีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แถมยังใช้สองเท้าตะกุยหน้าต่างจนเกิดเสียงดังรัว
เฟิ่งสือจิ่นสะดุ้งตื่นจากความฝัน นางลืม และเด้งตัวขึ้นมาอย่างกะทันหัน สมองเหลือเพียงความว่างเปล่า หัวใจเต้นแรง นางคิดทบทวนความฝันเมื่อครู่ซ้ำแล้วซ้ำอีก... เฟิ่งสือจิ่นยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากเบาๆ บนนั้นยังมีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ใบหน้าของนางก็ร้อนผ่าวขึ้นมาทันที
เ้าสามมัดเห็นว่าเ้านายได้สติแล้ว จึงรีบะโเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจ เฟิ่งสือจิ่นดึงมันเข้ามาใกล้ แล้วมุดเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับเ้ากระต่ายน้อยในผ้าห่ม สักพักจึงพูดพึมพำขึ้น “เ้าสามมัด ข้าฝันถึงอาจารย์ด้วยล่ะ...”
เ้าสามมัดใช้เล็บตะกุยเสื้อผ้าของนางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนกำลังบอกว่า... นี่ก็ไม่ใช่เื่แปลกนี่นา แต่ก่อนเ้าก็เคยฝันเห็นอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่หรือ?
เฟิ่งสือจิ่นเงียบลงชั่วครู่ ก่อนจะะโราวกับคนเสียสติ “อ๊าก... เ้าต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าในฝัน ข้าทำอะไรลงไปบ้าง ข้า...” นางแตะริมฝีปากของตัวเองเบาๆ ทำหน้าเหมือนฟ้ากำลังจะถล่มลงมาเช่นนั้น นางพูดอย่างยอมรับชะตากรรม “ข้า... ข้าทำเื่ชั่วช้าเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน... ข้าจูบเขา...” เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกร้อนไปทั้งหน้า นางมุดกลับเข้าไปในผ้าห่ม มือหนึ่งกอดเ้าสามมัดเอาไว้ อีกมือก็ทุบลงบนเตียงอย่างบ้าคลั่ง “ช่างบาปกรรมเสียจริง เขาเป็ถึงราชครูแห่งแคว้นจิ้นที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ราวกับเทพเ้า เป็ราชครูที่ไม่มีใครกล้าลบหลู่เชียวนะ แต่ข้ากลับล่วงเกินเขาอย่างเลวทราม! ข้าไม่มีหน้าไปเจออาจารย์แล้ว...”
.............................
[1] พิธีปักปิ่น หมายถึง พิธีที่บ่งบอกว่าสตรีคนนั้นโตเป็ผู้ใหญ่และพร้อมจะแต่งงานได้แล้ว มักทำเมื่อมีอายุครบสิบห้าปี