ฮูหยินผู้เฒ่านึกถึงวันที่หั่วอี้กลับมาฉลองวันเกิดให้หลิ่วจิ้งเมื่อได้ยินนักพรตถามดังนี้ด้วยไม่รู้ว่าเขามีเจตนาใดจึงพยักหน้าทั้งใบหน้าเคร่งขรึมว่า“เป็ต้นฤดูร้อนกระมัง”
หลิ่วจิ้งได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าตอบ รู้ว่านางกำลังหมายถึงตนจึงโพล่งถามไปว่า “มีเื่ใดไม่ถูกต้องหรือเ้าคะ?”
เต้าหยินคิ้วขาวส่ายหน้าด้วยท่าทีเหมือนมีลับลมคมใน“เดิมทีก็ไม่มีสิ่งใดไม่ถูกต้อง เพียงแต่... ในเรือนมีเด็กที่เกิดในฤดูหนาววันเกิดมีเคราะห์เืตกยางออก ไม่เป็มงคลยิ่งซ้ำคนผู้นี้ยังดวงชงกับฮูหยินผู้เฒ่า หากไม่ต้องมาเจอกันก็ยังแล้วไป เพียงแต่…”
ได้ยินเต้าหยินคิ้วขาวพูดดังนี้ หลิ่วจิ้งก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าเด็กที่เขาเอ่ยถึงมิใช่เด็กที่ยังไม่ลืมตาดูโลกในท้องของนางจ้าวหรอกหรือ?!
หลิ่วจิ้งตาสว่างขึ้นมาทันใดเกรงว่านักพรตผู้นี้จะสมคบกับนางจ้าวมาร่วมมือให้ร้ายตน จึงไม่ถามให้มากความอีกกลับเป็อาหนูที่อยู่ข้างๆ หัวเราะออกมาเบาๆ กล่าวว่า “เื่นี้มีความสำคัญใหญ่หลวงนักท่านนักพรตจะพูดจาส่งเดชไม่ได้นะเ้าคะ”
“เหอะๆ ข้าพูดจาส่งเดชที่ใด? หรือสองสามเดือนมานี้ไม่ได้เกิดเื่ไม่เป็มงคลใดขึ้นในบ้าน?” เต้าหยินคิ้วขาวพูดพลางโยนผ้าดำผืนนั้นขึ้นไปบนฟ้ามันลุกไหม้ขึ้นมาเป็เปลวไฟร้อนแรง เป็ไฟสีเขียวดังดวงิญญาของภูตผี และค่อยๆหายวับไปท่ามกลางสายฝน
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินสิ่งที่เต้าหยินคิ้วขาวพูดพลันคิดถึงเื่ที่เกิดในระยะนี้เมื่อวานยังมาเจอเื่ต้นไผ่เกล็ดัผลิดอกอีก จึงอดสะท้านในใจไม่ได้ทั้งเกิดความกังขา นางเอียงหน้าไปถลึงตาใส่อาหนูหนหนึ่ง ค่อยหันกลับมาเอ่ยกับเต้าหยินคิ้วขาวด้วยรอยยิ้มว่า“นางเป็สตรีที่ไม่รู้จักพูดจา ท่านนักพรตอย่าถือโทษเลยนะเ้าคะ”
“หามิได้ หามิได้ ข้าเป็นักพรตก็เพียงนำลิขิต์มาแจ้งเท่านั้น”เต้าหยินคิ้วขาวหันมองหลิ่วจิ้งคราวหนึ่งแล้วทำทีคล้ายไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“ท่านนักพรต มีเื่ใดโปรดพูดมาตามตรง และโปรดชี้แนะพวกเราด้วยวันหน้าจะได้ส่งคนไปช่วยบูรณะซ่อมแซมสำนักซานหยวนสักคราเ้าค่ะ”นางจ้าวที่อยู่ข้างๆ นิ่งเงียบมาตลอด เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่ามีแววตาร้อนใจ จู่ๆจึงโพล่งคำถามไป
“พูดได้ดี พูดได้ดี ผู้เป็นักพรตล้วนตั้งอยู่ในเมตตา ข้าตั้งใจจะช่วยพวกเ้าให้พ้นเคราะห์อยู่แล้ว”เต้าหยินคิ้วขาวพูดจบก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะหันหน้ากลับมามองสวนดอกไม้แสนเงียบสงัดท่ามกลางสายฝนปรอย
ก่อนจะถอนหายใจยาว กล่าวว่า “เดิมทีฤดูร้อนก็ร้อนรุ่มอยู่แล้วยามมาพบกับความแห้งแล้งในฤดูหนาว เพียงัักันก็จะลุกไหม้ขึ้นมาฉะนั้นอีกไม่กี่วัน ในเรือนจะต้องเกิดเื่เืตกยางออกแน่นอนสองสามวันนี้ฮูหยินที่เพิ่งมาใหม่อย่าได้กลับมาที่จวนจะดีกว่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเต้าหยินคิ้วขาวพูดสายตาก็อดจะจับจ้องไปยังนางจ้าวไม่ได้
นางจ้าวมีโทสะในใจที่ยังไม่ระบายออกั้แ่เมื่อครู่นี้อยู่แล้วเมื่อได้ยินเต้าหยินคิ้วขาวอธิบาย จึงถลึงตาใส่หลิ่วจิ้งหนหนึ่ง“ข้าก็ว่าแล้วเชียว มีตัวซวยมาจากที่ใด ที่แท้... ชะตาดุร้ายนักกลับจะมาทำร้ายลูกข้าเสียแล้ว”
“ฮูหยินจะพูดอย่างนี้ได้อย่างไรเ้าคะ?เดิมทีก็เป็เพราะพื้นดวงไม่สมพงศ์กัน หาใช่เพราะจงใจทำร้ายท่านไม่”อาหนูว่าพลางดึงตัวหลิ่วจิ้งเอาไว้อย่างอ่อนโยน
นางจ้าวบันดาลโทสะแต่ไม่อาจแสดงออกเมื่อรู้ว่าเื่ในวันนี้บรรลุตามประสงค์แล้วจึงแสร้งทำเป็ปวดท้องหนักจนทนไม่ไหว แล้วให้บ่าวพาตัวออกไปอย่างสง่าผ่าเผย
“ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดอย่าถือโทษที่ฮูหยินจ้าวเสียมารยาทเพราะเื่นี้เกี่ยวพันถึงเืเนื้อเชื้อไขของนางเ้าค่ะ”หลิ่วจิ้งมองตามหลังนางจ้าว อดถอนใจเบาๆ ไม่ได้เพื่อไล่นางไปก็นับว่านางจ้าวลงทุนลงแรงไปไม่น้อยจริงๆ
เต้าหยินคิ้วขาวสั่งความกับฮูหยินผู้เฒ่าอีกสองสามคำก่อนจะกลับไปฮูหยินผู้เฒ่าเป็คนไปส่งเต้าหยินคิ้วขาวออกจากจวนแม่ทัพด้วยตนเอง
เมื่อเห็นว่าฮูหยินผู้เฒ่าไปแล้ว หลิ่วจิ้งจึงหันไปขอบคุณอาหนู“หลายครามานี้ น้องหญิงช่วยพูดให้ข้ามาหลายครั้งหลายหนข้ากลับไม่ทันได้ขอบคุณน้องหญิงสักคำเลยของที่เ้าให้คนนำมามอบให้วานนี้ก็เป็ของล้ำค่านัก พี่ซาบซึ้งใจจริงๆ ”
“พี่หญิงพูดอันใดกันเ้าคะ ยามนี้ท่านและข้าร่วมแค้นศัตรูเดียวไยต้องเกรงอกเกรงใจเพียงนี้” อาหนูแสร้งมองหลิ่วจิ้งด้วยความเป็ห่วง พูดต่อไปว่า“เกรงแต่ว่าเวลานี้นางจ้าวคงเห็นพี่หญิงเป็ก้างขวางคอเสียแล้ว ไม่กำจัดไม่เป็สุข พี่หญิงคงต้องเร่งคิดหาวิธีจัดการจึงจะถูกนะเ้าคะเกิดเื่ตลอดหลายวันมานี้ ไม่ว่าเป็ผู้ใดก็ต้องไม่สบายใจเ้าค่ะ!”
หลิ่วจิ้งเข้าใจความหมายของอาหนู นางจ้าวเอาเด็กในท้องมาอ้างหน้าคอยหาเื่ทำร้ายผู้คนมาหลายครั้ง หากตนเองยังคงอดทนเช่นนี้ต่อไป กลัวแต่ว่าสักวันจะถูกนางเ้าลุกขึ้นมาเหยียบหัวเสียแล้ว!
“พี่หญิงเป็คนฉลาด ไม่จำเป็ต้องให้อาหนูพูดให้มากความเ้าค่ะ”
หลังจากขอบอกขอบใจอาหนูแล้วหลิ่วจิ้งเห็นว่าทุกคนล้วนแยกย้ายกันกลับ นางจึงพาอิ๋งเหอเตรียมตัวกลับเช่นกัน
กลางสายฝนหยาดริน
หลิ่วจิ้งยืนอยู่ใต้คันร่ม มองดูน้ำกระเซ็นสายบนผิวหน้าทะเลสาบอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ ภาพดอกมู่ตานบนร่มต้องน้ำฝนจนเปียกปอนยิ่งดูงดงามสมจริงทำให้หลิ่วจิ้งถูกปกคลุมอยู่ภายในลำแสงสีแดง
ข้างหู
เสียงฝนสาดดังซ่าๆ ในสวนอันเงียบสงัดเหลือเพียงเสียงร่ำไห้ยามเม็ดฝนโถมสาดดอกไม้
หลิ่วจิ้งจับจ้องม่านหมอกหลายชั้นที่ปกคลุมด้วยผิวน้ำไกลออกไปในใจคิดไปต่างๆ นานา ว้าวุ่นดังเส้นด้ายพันกันเป็กลุ่มก้อน ไร้ทางออกใดๆ
นางปรายตาดูกิ่งก้านใบไม้สองข้างทาง เนิ่นนานจึงถามว่า“อิ๋งเหอเ้าคิดเห็นเช่นใดกับอาหนู?”
อิ๋งเหอได้ยิน ใคร่ครวญในใจพักหนึ่ง จึงกล่าวว่า“คนหนีห้าสิบก้าวเยาะคนหนีหนึ่งร้อยก้าว [1] ล้วนมีเจตนาแอบแฝง ไยฮูหยินต้องนำมาไตร่ตรองอีกเ้าคะ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าทำตามคำแนะนำของเต้าหยินคิ้วขาวเดิมทีคิดว่าจะส่งตัวหลิ่วจิ้งไปอยู่ที่เรือนพักนอกเมืองแต่ก็กลัวว่ายามหั่วอี้กลับมาแล้วไม่เจอนางก็จะโมโหโกรธาเมื่อเสร็จพิธีจึงได้แต่สั่งให้บ่าวนำม้าเร็วเร่งส่งจดหมายถึงหั่วอี้ บอกเขาว่าเสร็จงานแล้วก็ให้รีบกลับมาสักหน่อย
ส่วนหลิ่วจิ้งถูกกักบริเวณอยู่ในเรือนหลังห้ามผู้ใดกรำกรายเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว
เทศกาลผีกำลังจะมาถึงแล้ว หลิ่วจิ้งอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแต่เช้าอิ๋งเหอก็ยกข้าวถั่วแดง [2] ชามหนึ่งเข้ามาจากข้างนอก
“ฮูหยินเ้าค่ะ รีบกินข้าวถั่วแดงชามนี้เถิดเ้าค่ะ”หลิ่วจิ้งรับชามและช้อนมา เห็นว่านอกหน้าต่างมีน้ำเจิ่งนองน้ำค้างลงหนามีบ่าวที่ทำหน้าที่ปัดกวาดเช็ดถูกเดินขวักไขว่ไปมา จึงวางชามข้าวไว้ข้างๆ ก่อน
นับจากวันที่เต้าหยินคิ้วขาวกลับไปก็ไม่เกิดเื่เกิดราวใดในจวนแม่ทัพอีกเลย เพียงแต่คราวก่อนเต้าหยินคิ้วขาวก็ไม่ได้พูดชัดเจนว่าแท้จริงแล้วเป็เคราะห์มีเืตกยางออกเช่นใดฉะนั้นทุกคนในเรือนล้วนพากันตื่นกลัวและจัดแต่งทั่วทั้งจวนตามคำบอกกล่าวของเต้าหยินคิ้วขาวเพื่อขอให้เกิดความสงบสุขปลอดภัย
ทางเรือนของนางจ้าวก็คอยจุดธูปและให้คนสวมมนต์ขอพรอยู่ทุกวันด้วยกลัวว่าจะเกิดเื่ผิดพลาดใดขึ้น
เห็นบ่าวเข้าๆ ออกๆ ในลานเรือน หลิ่วจิ้งอดทอดถอนใจหลายหนไม่ได้เพราะตนเองใจอ่อนมีเมตตาเกินไป! หลังจากใคร่ครวญมาหลายวัน ที่สุดนางก็เข้าใจว่านางจ้าวเตรียมการอย่างหลักแหลมด้วยการยิ่งทีเดียวได้นกสองตัวเพียงแต่ผู้ที่จะมีเคราะห์เืตกยางออกคือผู้ใด กลับยังคงทำให้หลิ่วจิ้งไม่อาจวางใจได้สักที
นางกำลังขบคิดก็เห็นบ่าวข้างกายอาหนูถือบางสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็สิ่งใดอยู่ในมือเดินอ้อมเข้ามาทางประตูข้างเรือน
เมื่อสาวใช้คนนั้นเข้ามาในห้องก็ย่อตัวลงคารวะหลิ่วจิ้ง
เวลานี้ควันกำยานจากเตากำยานกระจายอบอวลไปทั่วห้องกำยานหอมมอดไหม้กลายเป็ควันหอมไปจนหมดแล้วขี้เถ้าสีเทาอ่อนทิ้งตัวอยู่ใต้ก้นเตาเงียบๆ หลิ่วจิ้งหยิบผงกำยานข้างๆใส่เข้าไปในเตากำยานและจุดขึ้นมาใหม่ ยกมุมปากขึ้นน้อยๆสงบนิ่งดังเป็ดป่าสันโดษโบยบินยามสายันต์ ลึกลงไปในดวงตาความมืดมนกลับครอบคลุมไหลเวียนวน
เนิ่นนาน หลิ่วจิ้งจึงค่อยๆ เอ่ยออกมาว่า“เ้าไม่ทุกข์ไม่เข้าหาพระรัตนตรัย [3] ยามนี้เรือนข้าเป็เขตหวงห้าม เ้าเสี่ยงภัยมาหาน้องอาหนูมีเื่ใดหรือ?”
สาวใช้ได้ยินหลิ่วจิ้งพูดดวงตาก็จับจ้องยังชามข้าวถั่วแดงที่ยังไม่ถูกแตะต้องบนโต๊ะ ดวงตามีรอยยิ้มจางๆจงใจโยนหินถามทางไปว่า “เหตุใดฮูหยินจึงยังไม่ทานข้าวถั่วแดงนี่เล่าเ้าคะ?”
หลิ่วจิ้งจงใจแสร้งทำทีไม่ได้ยินเอาแต่ตั้งใจจับเถ้ากำยานในเตากำยาน
สาวใช้เห็นว่าหลิ่วจิ้งจงใจไม่สนใจตนก็ไม่ได้ร้อนรนอันใดนางยังคงยิ้มหวานดังดอกไม้ เอ่ยต่อไปว่า “บ้านนอกของเรามีตำนานเล่าขานว่า ‘ยามเดือนสิบ เห็นเด็กเลี้ยงวัววิ่งกลับบ้าน หากไม่ยอมไปเ้าของที่เอาแอกผาลไถ [4] ตบเ้าสามหนสับด้วยมีดบางหนึ่งหน[5]’”
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] คนหนีห้าสิบก้าวเยาะคนหนีหนึ่งร้อยก้าว มีความหมายดังสำนวนว่าว่าแต่เขาอิเหนาเป็เอง คือตำหนิผู้ที่มีความผิดเช่นเดียวกับตน
[2] ข้าวถั่วแดง ดูเชิงอรรถ 5
[3] ไม่ทุกข์ไม่เข้าหาพระรัตนตรัย หมายถึงไม่เื่ใดจำเป็ก็จะไม่มาหา
[4] แอก ผาลไถ คือ คานไม้และแผ่นเหล็กคล้ายเหล็กหน้าของจอบที่ใส่ไว้กับควายเพื่อใช้ไถนา
[5] ตำนานเดือนสิบเื่เด็กเลี้ยงวัวและตำนานข้าวถั่วแดงเล่ากันว่าเด็กเลี้ยงวัวถูกเ้าของที่ดินตีจนตายเืของเขาไหลไปอาบเมล็ดข้าวในท้องนาจนเป็สีแดงถึงเดือนสิบชาวบ้านจะเอาถั่วแดงหุงหรือต้มกับข้าวให้มีสีแดงเหมือนข้าวที่เปื้อนเืเพื่อระลึกถึงเด็กเลี้ยงวัวและต่อมายังเชื่อกันว่าข้าวถั่วแดงนี้สามารถป้องกันภูตผีปิศาจได้อีกด้วยจึงนิยมทำกินกันในเดือนสิบซึ่งเชื่อว่าเป็เดือนที่ประตูยมโลกเปิด