หลิ่วจิ้งกลับเข้ามาในห้อง สั่งอิ๋งเหอและอวี้จิ่นให้จัดเก็บเสื้อผ้าเก่าจากนั้นทั้งสามคนก็มานั่งสนทนากันใต้แสงตะเกียง
“ฮูหยิน วันนี้ท่านทำอิ๋งเหอในักเหตุใดจึงกินของว่างชิ้นนั้นลงไปเล่าเ้าคะ!”
อวี้จิ่นมองดูอยู่ข้างๆ เห็นหลิ่วจิ้งมีสีหน้าซีดขาวจะต้องเป็เพราะเื่เลยเถิดกว่าที่คาดเอาไว้ จึงไม่ได้เอยสำทับไปเพียงรอให้หลิ่วจิ้งเป็คนบอกเหตุผลออกมาเอง
ดวงตาใสดังสายวารีของหลิ่วจิ้งขยับ มีแววความกังขาจับอยู่ขั้นหนึ่งนางยิ้มบางๆ ก่อนจะส่ายหน้า “ข้าก็เพียงเอาชีวิตตนลงเดิมพันสักตั้ง ของว่างที่พวกเราทำมากับมือใส่ไม่ใส่ยาพิษย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ หากมีคนวางแผนทำร้ายจริงดังว่าพิษนั่นก็จะต้องใส่ได้แค่ผิวนอกเมื่อข้าคิดได้ดังนี้จึงเลือกหยิบส่วนที่เป็ไส้กินลงไปเสีย!”
“วันหน้าฮูหยินอย่าได้เอาชีวิตไปล้อเล่นเช่นนี้อีกนะเ้าคะ!”อิ๋งเหอคิดไม่ถึงมาก่อนว่าตอนนั้นหลิ่วจิ้งจะลองเอาตัวเองไปเสี่ยงดูเช่นนั้น
“ก็สถานการณ์ยามนั้นคับขัน มีทั้งประจักษ์พยานวัตถุพยาน ข้ามีปากก็ไม่อาจพูดได้ชัดเจน!หากไม่ทำเช่นนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะต้องไม่ไว้ชีวิตข้าแน่!”
อิ๋งเหอได้ฟังจึงไม่พูดมากอีก ได้แต่ขอบคุณฟ้าขอบคุณดินที่ตอนนี้พวกนางเพียงแค่ถูกกักบริเวณตื่นใแต่ไร้อันตราย!
ฟ้ายามเย็นเพิ่งมืดลงบ่าวที่มีหน้าที่จุดตะเกียงพากันจุดตะเกียงทั้งหมดภายในจวนแม่ทัพแม้แต่ในเรือนที่ปกติแล้วไม่มีคนอาศัยอยู่ก็ยังจุดตะเกียงให้สว่างตามระเบียบของจวน
ฝนนอกชานเรือนจวนจะหยุดแล้ว มีน้ำเจิ่งนองไปทั่วจวนแม่ทัพ เพิ่งจะพ้นยามจื่อ[1] เหล่าบ่าวไพร่ก็พากันเร่งทำงานกันอย่างไม่คิดชีวิตอยู่ที่เรือนหน้า
ไก่ยังไม่ทันโห่ หลิ่วจิ้งก็ต้องตื่นเพราะเสียงเอะอะนอกเรือนแล้ว
เมื่อเห็นว่าข้างนอกมีโคมไฟจุดสว่างไสวเต็มไปหมดเงาคนเดินขวักไขว่ไปมา ความง่วงเหงาหาวนอนก็หายไปทันใด เดิมทีหลิ่วจิ้งถูกกักบริเวณจึงไม่มีแก่ใจจะไปร่วมวงด้วย แต่เมื่อวานนี้พ่อบ้านหวังมารายงานเป็การเฉพาะเกรงว่านี่จะเป็ความประสงค์ของฮูหยินผู้เฒ่า
เมื่อเห็นว่าจวนจะถึงเวลาแล้วหลิ่วจิ้งจึงสวมเสื้อคลุมยาวสีกลีบบัวปักลายดอกไม้ ให้อิ๋งเหอช่วยทำผมอย่างง่ายให้ตนและให้อวี้จิ่นอยู่เฝ้าเรือนก่อนจะพาอิ๋งเหอมุ่งหน้าไปยังเรือนหน้าท่ามกลางความมืด
นี่เป็เวลาหลังฝนจึงมีหมอกลงหนาสรรพสิ่งรอบกายทั้งใกล้ไกลล้วนพร่ามัวไปหมด รอบตัวมีเงาต้นไม้แน่นขนัดเห็นเพียงแสงโคมสีเหลืองหลายดวงที่ให้แสงมัวสลัวแทรกผ่านหมอกขาวอยู่ท่ามกลางเงาไม้
เมื่อหลิ่วจิ้งมาถึงเรือนหน้า ก็เห็นว่าในเรือนเวลานี้นอกจากบ่าวไพร่ที่เดินเข้าออกกันวุ่นวายแล้วก็ยังไม่มีคนอื่นมาโต๊ะทำพิธีจัดวางเอาไว้เรียบร้อยแล้ว บนโต๊ะมีกระดิ่งสะกดิญญา กระบี่ไม้ท้อ แผ่นยันต์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็ในการประกอบพิธี ล้วนจัดวางเอาไว้ตามลำดับอย่างเป็ระเบียบ
นอกจากนี้ ตรงหน้าสุดก็ยังจัดวางตะเกียงที่ฐานเป็รูปดอกบัวสองดวงมันส่องแสงสีฟ้าโบกไหวอยู่ท่ามกลางค่ำคืนมืดมิด ของเซ่นไหว้ที่ต้องใช้ล้วนจัดวางไว้ตามลำดับทั้งสองข้างทั้งผลไม้ หัวหมู กระดาษเซ่นไหว้ เสื้อกันหนาว [2] สิ่งใดควรมี ล้วนมีทั้งสิ้น
ลมเย็นวูบหนึ่งพัดเข้ามาแสงไฟสีฟ้าโบกไหวดังแมลงปอะโแตะผิวน้ำสองหน ทำเอาสะท้านไปทั้งตัว
ฮูหยินผู้เฒ่าพานางจ้าวและอาหนูมานั่งรอนานแล้ว เมื่อจวนจะถึงฤกษ์พ่อบ้านหวังก็พานักพรตสวมชุดยาวสีเหลืองสว่างผู้หนึ่งเดินเข้าประตูมา
“ฮูหยินผู้เฒ่าขอรับ ท่านนี้คือเต้าหยินคิ้วขาวที่เชิญมาจากสำนักซานหยวนในเฉิงซีตามประสงค์ของฮูหยินขอรับ”พ่อบ้านหวังว่าพลางน้อมตัวลงคารวะฮูหยินผู้เฒ่าอย่างนอบน้อม
ฮูหยินผู้เฒ่าพยักหน้ารับน้อยๆหันไปยกมือไหว้ตามวิธีของนักพรตด้วยใบหน้าเปี่ยมด้วยความนับถือ“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนท่านนักพรตแล้วเ้าค่ะ”
หลิ่วจิ้งมองดูนักพรดชุดเหลืองตรงหน้ามีความขลังเช่นเซียนเช่นนักพรตผู้คงแก่เรียน ปลายคิ้วยาวทั้งสองข้างห้อยย้อยลงมาเมื่อเขาได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าพูดดังนี้สองตาก็หรี่ลงน้อยๆพยักหน้ารับด้วยสีหน้าราบเรียบ ก่อนจะตอบกลับว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าโปรดวางใจ”
แม้หลิ่วจิ้งจะรู้สึกกังขาอยู่ในใจ แต่ก็ไม่รู้ว่ามีที่ใดไม่เข้าทีทำได้เพียงถอยออกมาจากแท่นพิธี ไปรออยู่ข้างๆ ตามพวกของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อถึงฤกษ์นักพรตก็เริ่มพิธีโดยไม่กล้าให้พลาดเวลาไปสักแม้อึดใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างหน้าสุดในบรรดาเหล่าคนที่ห้อมล้อมแท่นพิธีอยู่ซ้ายขวามีนางจ้าวและอาหนู ส่วนบ่าวชราข้างกายสาวใช้ที่คอยดูแลเื่น้ำชายืนอยู่ข้างหลัง คนงานและบ่าวปัดกวาดยืนอยู่หลังสุด
เต้าหยินคิ้วขาวหยิบกระบี่ไม้ท้อด้วยมือข้างเดียวแทงยันต์แผ่นหนึ่งจนทะลุติดมาบนกระบี่ ‘ฟู่’ แผ่นยันต์ก็เกิดไฟลุกไหม้ขึ้นมาท่ามกลางท้องฟ้าจวนสางก่อนจะมอดไหม้ไปจนหมดในพริบตาเดียว
เต้าหยินคิ้วขาวท่องบทสวดขณะเดินไปรอบโต๊ะเซ่นไหว้รอบหนึ่งกระดิ่งสะกดิญญาในมือดัง ‘กริ๊งๆ …กริ๊งๆ ...’สะท้อนไปทั่วทั้งจวนแม่ทัพ ลมอรุณกวาดผ่านใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นเป็บรรยากาศที่วิเวกเกินเปรียบ
ทันใดนั้นมือของเต้าหยินคิ้วขาวก็หยุดลงจับกระดาษเซ่นไหว้โยนขึ้นกลางอากาศ กระดาษเซ่นไหว้ล่องลอยปลิวว่อนไปหมดจากนั้นเสียงกระดิ่งของเต้าหยินคิ้วขาวก็ดังขึ้นอีกครั้งกระดาษเซ่นไหว้ที่กำลังปลิวลอยอยู่จู่ๆ ก็ ‘พรึบ’ ลุกไหม้ขึ้นมาทั้งหมดทำเอาทุกคนใจนต้องขยับถอยหลังไป
เดิมทีหลิ่วจิ้งก็เคยเห็นพิธีเชิญเทพไท้มาไล่ผีอำนวยพรมาก่อนรู้จักกลเม็ดในการทำพิธี จึงไม่ได้ตื่นใเช่นคนอื่นๆ อิ๋งเหอที่อยู่ข้างๆเห็นว่าหลิ่วจิ้งยังคงมีหน้าตาเป็ปกติ จึงอดประหลาดใจในตัวฮูหยินผู้นี้อยู่ลับๆในใจไม่ได้
เห็นเพียงกระดาษเซ่นไหว้เ่าั้มอดไหม้เป็จุณในชั่วพริบตายามลมโชยมาก็เหลือเพียงเถ้าถ่าน
ทันใดนั้นเองเต้าหยินคิ้วขาวยกถ้วยน้ำสะอาดถ้วยหนึ่งที่วางอยู่ข้างตะเกียงรูปดอกบัวขึ้นเทลงใบบนผ้าสีแดงผืนหนึ่งบนแท่นพิธี หลิ่วจิ้งไม่รู้ว่าเขาทำเช่นนี้ได้อย่างไรเห็นแต่ตรงบริเวณที่ผ้าแดงดูดซับน้ำเข้าไปกลายเป็สีดำในพริบตา ไม่นานนักผ้าแดงทั้งผืนก็กลายเป็ก้อนสีดำสนิท
“ทะ…ท่านนักพรตเ้าค่ะ นี่มันเื่ใดกันเ้าคะ?” นางจ้าวจับแขนฮูหยินผู้เฒ่าไว้แน่นด้วยความหวาดกลัวเห็นอาการนางจ้าวไม่ปกติ คิ้วของหลิ่วจิ้งอดจะย่นเข้ามาน้อยๆ ไม่ได้ ส่วนสายตาก็เอาแต่จดจ่ออยู่ที่ผ้าแดงผืนนั้น
ได้ยินนางจ้าวพูดขึ้นมาเช่นนี้เต้าหยินคิ้วขาวพลันบรรจงยกกระดิ่งสะกดิญญาที่วางอยู่ข้างๆ ขึ้น กล่าวว่า“ฮูหยินอย่าเพิ่งร้อนใจ ภูตผีปีศาจนานาล้วนถูกข้าทำลายขับไล่ไปหมดแล้วเพียงแต่ข้าพบอีกว่าภายในจวนแม่ทัพแห่งนี้ยังมีเคราะห์อยู่จึงเรียนเชิญท่านปรมาจารย์มาให้คำชี้แนะสักหน่อยเพื่ออำนวยพรให้พวกท่านข้ามพ้นเคราะห์กรรมนี้ไปได้”
เวลานี้ฟ้าสว่างแล้วเมื่อแสงตะเกียงรำไรอยู่ท่ามกลางหมอกบางยามรุ่งอรุณก็ยิ่งดูริบหรี่ลงฝนสาดสายลงมาอีกครั้ง ฮูหยินผู้เฒ่าจ้องนิ่งไปยังผ้าสีดำบนแท่นพิธีแม้จะไม่เข้าใจเื่ที่เต้าหยินคิ้วขาวเอ่ยถึง แต่สีหน้าก็อดหนักอึ้งขึ้นมาไม่ได้
“ไม่ทราบว่าเคราะห์ที่ท่านนักพรตเอ่ยถึงเป็่เวลาใดเ้าคะ?”
“ช้าก่อนเถิด ท่านปรมาจารย์ย่อมมีคำชี้แนะ ฮูหยินผู้เฒ่ากรุณาสงบอย่าเพิ่งเอะอะ” เต้าหยินคิ้วขาวพูดจบก็เพ่งสายตาไปที่ผ้าสีดำบนโต๊ะผืนนั้น หยาดฝนที่ตก ‘เปาะแปะๆ’ หนักขึ้นเรื่อยๆหยดลงมาบนผ้าสีดำ ทันใดนั้นก็ย้อมมันเป็รอยด่างสีแดงรอยแล้วรอยเล่าดังดอกไม้สีแดงที่เบ่งบานในคืนมืด
สายฝนซัดสาดพื้นดินเปียกปอนทำกิ่งไม้และใบที่ร่วงหล่นเปียกปอนไปบางส่วน หน้าผากของหลิ่วจิ้งก็ต้องหยาดฝนเปียกน้ำฝนไหลอาบลงมาที่สองแก้ม ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าฝนยิ่งตกแรงขึ้นเรื่อยๆจึงให้บ่าวไปเอาร่มมากางบังหัวเอาไว้
แต้มสีแดงบนผ้าสีดำค่อยๆ สลายอยู่ท่ามกลางสายฝนดังน้ำที่ไหลมารวมกัน ไม่นานนักก็รวมตัวกันกลายเป็อักษรบรรทัดหนึ่ง“โลหิตอาบร้อยผกา ธาราไหลรี่ลงทะเล”
เมื่อเห็นตัวอักษรเหล่านี้ทุกคนอดขวัญผวาหนักไม่ได้คิ้วของฮูหยินผู้เฒ่าขมวดแน่น น้ำเสียงตื่นตระหนกน้อยๆ แทรกผ่านหยาดฝน “ท่านนักพรตประโยคนี้หมายความเช่นใด?”
เต้าหยินคิ้วขาวมองไปรอบทิศหนึ่งรอบอย่างมีความนัย ก้มหน้ากำมือครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จึงเงยหน้าขึ้นมาถามว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กี่วันมานี้จวนแม่ทัพเพิ่งมีคนมาใหม่ใช่หรือไม่?”
“ชะ…ใช่ ท่านนักพรตกล่าวไม่ผิด”
เต้าหยินคิ้วขาวได้ยินฮูหยินผู้เฒ่าพูดดังนี้ก็จงใจท่องบทสวดขึ้นมา
ฮูหยินผู้เฒ่าอดกวาดสายตาผ่านทุกคนและไปหยุดที่ตัวหลิ่วจิ้งไม่ได้แต่กลับได้ยินเต้าหยินคิ้วขาวถามอีกว่า “คนผู้มาใหม่นี้ เกิดในฤดูร้อนใช่หรือไม่?”
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ยามจื่อ คือ ่เวลาระหว่าง 23.00 - 1.00 นาฬิกา
[2] เสื้อกันหนาวตามความเชื่อของคนจีนว่านอกจากเผากระดาษเงินกระดาษทองให้ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วก็จะเผาเสื้อกันหนาวไปให้เพื่อใช้ในชีวิตหลังความตายด้วย