เพิ่งจะสิ้นเสียงนาง หลิ่วจิ้งยังไม่ทันมีท่าที่ตอบโต้อะไร อวี้จิ่นก็ลุกขึ้นอย่างไม่พอใจ นางโยนสะดึงลงบนโต๊ะดัง ‘โครม’
“อวี้จิ่น” อิ๋งเหอที่อยู่ข้างๆ ดึงแขนเสื้ออวี้จิ่นเอาไว้เป็การบอกให้อวี้จิ่นอย่าอาละวาด อวี้จิ่นย่อมต้องเข้าใจความหมายของอิ๋งเหอ แต่กลับไม่อาจไม่ร้อนใจดังว่า สองตานางหรี่ลงจนเป็เส้นโค้งจงใจพูดกระทบกระเทียบว่า “มีทั้งแอกผาลไถ ทั้งมีดบางด้วย? พี่มาพูดเื่พวกนี้ในวันเช่นนี้ไม่กลัวจะเคราะห์ร้ายบ้างหรือ?ระวังหัวเตียงยามกลางคืนจะมีของสกปรกมาหาท่านนะเ้าคะ”
สาวใช้คนนั้นถูกอวี้จิ่นพูดจนตัวสั่นเหงื่อท่วมถลึงตาอย่างไม่ประสงค์ดีใส่อวี้จิ่น “ถุยๆๆ คำพูดใดออกมาจากปากเ้าล้วนไม่ได้ความทั้งนั้น!”
หลิ่วจิ้งฟังสองคนทะเลาะกันอยู่ข้างๆ หัวเราะเบาๆโบกไม้โบกมือใส่อวี้จิ่น ค่อยหันไปบอกกับสาวใช้คนนั้นว่า “อวี้จิ่นอายุยังน้อยไม่รู้ความ ต้องโทษที่ข้าไม่อบรมให้ดี พี่สาวใช้ใจกว้างโปรดอย่างถือสานางเลย”
ความคับแค้นใจอัดอั้นอยู่ในใจของสาวใช้แต่กลับไม่อาจออกฤทธิ์ระบายออกมาได้ ได้ยินหลิ่วจิ้งพูดดังนี้นางจึงสงบใจลงได้หลายส่วน ยื่นถาดในมือไปให้โน้มตัวลงบอกว่า “นี่เป็ยันต์คุ้มภัยที่ฮูหยินผู้เฒ่ามอบให้ฮูหยินในแต่ละเรือนเป็นักพรตเครายาวให้คนนำมาส่งให้เมื่อเช้านี้ แต่ละเรือนล้วนได้หนึ่งชิ้นเ้าค่ะ”
หลิ่วจิ้งหยิบยันต์คุ้มภัยบนถาดขึ้นมาปรายตาดูเล็กน้อยแล้ววางลงบนโต๊ะ
สาวใช้เห็นดังนั้นก็แสร้งถอนหายใจยาวหนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงละเหี่ยใจว่า “ตอนนี้ฮูหยินยังปลอดภัยดีเช่นนั้นยันต์คุ้มภัยนี้ก็เป็แค่เครื่องช่วยให้อุ่นใจเท่านั้น”
หลิ่วจิ้งดูยันต์คุ้มภัยที่รับมาจากสาวใช้เล็กน้อยรู้ว่าเหตุที่อาหนูเสี่ยงเอายันต์คุ้มภัยนี้มาให้เพราะ้าเตือนนาง
เมื่อคิดว่าครานี้นางจ้าววางแผนทำร้ายตนถึงเพียงนี้ หากไม่คิดหาวิธีรับมือก็เกรงว่าคงจะได้แต่นั่งรอความตายแล้ว และหากยิ่งทำให้นางจ้าวอาละวาดไปมากกว่านี้เกรงว่ายังไม่ทันออกไปจากจวนแม่ทัพ ก็จะถูกนางจ้าวจัดการจนถึงแก่ชีวิตไปก่อนเป็แน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงเอ่ยกับสาวใช้ว่า “ยันต์คุ้มภัยนี้ดีนักน่าเสียดายที่ขาดบางสิ่งไป หากเอาของเล็กน้อยวางบนนี้เกรงว่าจะยิ่งทำให้มีอานุภาพเพิ่มขึ้นเป็ทวีคูณและสามารถขจัดความกลัดกลุ้มในใจคนได้!”
สาวใช้เป็คนฉลาด เข้าใจความหมายของหลิ่วจิ้งในทันทีนางไม่กล้าอยู่ต่อจึงรีบถอยออกไป
ฝนปรอยไร้ซุ่มเสียงละมุนดังขนมอบ หญ้าเขียวขจีดังเส้นไหม ดังเส้นเชือกถักระย้าสีเขียวสดใหม่ ผกาซ่อนในคืนเหมันต์
เดิมทีเมื่อหั่วอี้กลับมาก็จะปล่อยตัวหลิ่วจิ้งออกมาแล้วแม้จะบอกว่าการวางยาเป็ความผิดหนักหนา แต่ก็ไม่ได้มีหลักฐานชัดเจนฉะนั้นตอนนี้จึงทำได้เพียงปล่อยเื่นี้เอาไว้ก่อน
หลิ่วจิ้งรู้ว่านางจ้าวชิงชังตน แต่เมื่อคิดว่าหั่วอี้กลับมาก็ไม่ควรจะเอาแต่แข็งขืนไม่ยอมความเกินไปได้ยินว่าสองสามวันมานี้สุขภาพนางจ้าวไม่สู้ดีนัก คิดว่าตนเองควรจะใจกว้างสักหน่อยจึงคิดจะไปเยี่ยมนางจ้าว
เมื่อเข้าเรือนไปก็เห็นว่านางจ้าวกำลังนั่งอิงตัวอย่างเกียจคร้านอยู่บนตั่งยาวที่บุด้วยผ้าจิ่นปักสีแดงไม่มีท่าทีหยิ่งผยองเช่นวันก่อน ทั้งสีหน้าก็ไม่น่าดูยิ่ง นางถึงกับสะท้อนใจขึ้นมา
“หลายวันมานี้เ้าคงไม่ได้พักผ่อนดีๆ กระมัง?”
ได้ยินหลิ่วจิ้งเอ่ยถาม นางจึงพยักหน้าช้าๆ “เป็เช่นนั้นไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกวันล้วนอย่างกับว่านอนไม่เต็มอิ่มเช่นนั้น”
“เชิญท่านหมอมาตรวจแล้วหรือไม่?”
นางจ้าวส่ายหน้าช้าๆ เมื่อเห็นว่านางจ้าวดูเซื่องซึมดังนี้หลิ่วจิ้งอดจะมองไปรอบๆ ไม่ได้ และกระถางดอกไม้บนโต๊ะก็ดึงดูดสายตานางในทันใด
นางเห็นใบของดอกไม้ที่อยู่ในกระถางนี้เป็ดังฝักกระบี่ก้านดอกลอดออกมาจากใบสีเขียวที่ห่อหุ้มมันอยู่ ดอกไม้เล็กๆสีขาวดังน้ำนมทั้งงดงามสูงส่ง มีรูปร่างเหมือนกระดิ่งที่แขวนห้อยลงมาจากก้านดอกเป็ดอกหญ้าเงาเ้า [1] ที่มีเฉพาะในเมืองทางตะวันตกเท่านั้น
ดอกหญ้าเงาเ้านี้จะบานในวสันตฤดู่เดือนสี่เดือนหน้าเท่านั้นยามผลิดอกกลิ่นของมันจะหอมหวนชวนเคลิบเคลิ้มนัก แต่เหตุใดจึงมาบานอยู่ที่นี่ในเวลานี้กัน? หรือว่าสาเหตุที่นางจ้าวเวียนหัวอ่อนแรงล้วนเกี่ยวข้องกับดอกไม้ชนิดนี้?
คิดได้ดังนี้ หลิ่วจิ้งจึงรู้ว่าภายในห้องมีกลิ่นหอมอบอวลไปหมดผ่อนคลายเข้าไปถึงภายใน นางเหลียวซ้ายแลขวาอีกสองสามหน ก็ไม่เห็นว่าในห้องจุดกำยานจึงยิ่งมั่นใจเข้าไปอีก
“ในห้องเ้าใช้เครื่องหอมใดหรือไม่?”
นางจ้าวเห็นหลิ่วจิ้งจับจ้องไปยังกระถางดอกไม้เล็กๆ บนโต๊ะอย่างไม่วางตานางเอ่ยอ้อยอิ่งทั้งรอยยิ้มว่า “จะใช้เครื่องหอมใดเล่าเป็กลิ่นของดอกหญ้าเงาเ้าในกระถางเท่านั้น”
นางจ้าวว่าพลางยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล บรรจงเอาปอยผมข้างแก้มทัดไว้หลังหูพูดต่อว่า “ดอกไม้นี้เป็ท่านแม่ทัพหั่วอี้มอบให้วันก่อนบอกว่านำกลับมาจากเมืองทางทิศตะวันตกโดยเฉพาะทีเดียว”
หลิ่วจิ้งได้ยินว่าสิ่งที่นางจ้าวพูดเหมือนที่ตนเองเดาไว้ไม่มีผิดจึงบอกว่า“มิน่าเล่า เ้าถึงได้ปวดหัวโรยแรงอยู่ทั้งวัน เพราะดอกหญ้าเงาเ้านี่เอง”
ตางามของนางจ้าวเลิกขึ้นน้อยๆมองดอกหญ้าเงาเ้าแสนหอมบนโต๊ะคราวหนึ่งด้วยแววตากังขา “หมายความว่าอย่างไร?”
“ก่อนนี้ข้าเคยอ่านพบในตำราแพทย์เล่มหนึ่งดอกหญ้าเงาเ้านี้มีกลิ่นหอมแต่กลับแฝงไว้ด้วยพิษ คนปกติได้พบเห็นก็ยังแล้วไปเพียงแต่ยามนี้เ้ากำลังท้องกำลังไส้ จึงส่งผลรุนแรงสักหน่อย”หลิ่วจิ้งว่าพลางมองนางจ้าวคราวหนึ่ง “ดอกไม้ชนิดนี้ทานทนต่อความหนาวมิสู้นำไว้วางไว้นอกห้องเถิด จะได้ไม่กระทบต่อครรภ์”
นางจ้าวได้ยินหลิ่วจิ้งก็อดกลัวขึ้นมาไม่ได้ รีบเรียกสาวใช้มาย้ายกระถางดอกหญ้าเงาเ้าออกไปนอกห้องแต่ในใจก็ยังคงสงสัยว่าหั่วอี้จะมาทำร้ายตน? และทำร้ายลูกในท้องตนได้อย่างไรกัน?
เวลานั้นเอง อาหนูพอดีเดินมาถึงหน้าประตูเห็นบ่าวกำลังย้ายดอกหญ้าเงาเ้าออกไปเกิดสงสัยว่าเหตุใดนางจ้าวถึงตัดใจย้ายของที่หั่วอี้มอบให้ออกไปข้างนอกได้กัน?
นางกำลังคิดดังนี้ก็เห็นหลิ่วจิ้งเดินออกมาจากในห้อง จึงยิ้มบางๆพยักหน้าให้แล้วเดินเข้าไปในห้องแทน
“เมื่อครู่ข้าเห็นบ่าวย้ายกระถางดอกไม้จากในห้องออกไปมีสิ่งใดไม่ถูกต้องหรือเ้าคะ?”
นางจ้าวไม่รู้เจตนาของอาหนู จึงใคร่ครวญอยู่ในใจพักหนึ่งก่อนจะพูดว่า“ข้าไม่คุ้นกับกลิ่นดอกไม้ จึงให้คนย้ายออกไป เป็จังหวะที่ฮูหยินเอกเข้าเรือนมาพอดี”
“อ้อ” อาหนูพยักหน้าอย่างมีความคิดบางอย่างเห็นว่าภายในห้องไม่มีต้นไม้สีเขียวอยู่เลย รู้สึกว่าไม่ค่อยสดชื่นจึงบอกว่า“น่าเสียดายนัก เป็น้ำใจของท่านแม่ทัพแท้ๆเช่นนั้นวันหลังจะให้คนในเรือนยกกระถางต้นไม้ที่ไม่มีกลิ่นมามอบให้พี่หญิงดีหรือไม่เ้าค่ะ?”
“เช่นนั้นก็รบกวนเ้าแล้ว”
ได้ยินนางจ้าวเอ่ยอย่างเกรงใจอาหนูเอามือป้องปากหัวเราะด้วยท่าทีสุภาพ“เหตุใดท่านยังต้องเกรงใจกับข้าเช่นนี้อีก”
หลิ่วจิ้งออกมาจากเรือนนางจ้าวเดินตรงไปยังประตูห้องหนังสือของหั่วอี้
เวลานี้เป็่เที่ยง แสงอาทิตย์กำลังดีต้นไม้ใบหญ้าในสวนต้องแสงอาทิตย์ล้วนสะท้อนออกมาเป็ลำแสงเจ็ดสี เหมือนแก้วหลิวหลี[2] ก็ไม่ปาน ฝนและหิมะตกหนัก เมื่อจวนจะหมดวัน ทั่วทั้งสวนดอกไม้ก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกสีขาวหนา
ท่านแม่ทัพหั่วอี้กำลังสั่งความกับพ่อบ้านหวังเมื่อเห็นหลิ่วจิ้งมาจึงกวักมือเรียกนาง “ข้ากำลังจะให้พ่อบ้านหวังไปเรียกท่านมาพอดี”
หลิ่วจิ้งเข้าไปย่อตัวคารวะ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมายิ้มงามดังดอกบัวน้ำเสียงแจ่มใสดังน้ำหยดจากชายคานอกเรือน “ท่านจะหาข้าด้วยมีเื่ใดจะสั่งความหรือเ้าคะ?”
หั่วอี้ฟังน้ำเสียงแง่งอนในคำพูดของหลิ่วจิ้งออกเขายิ้มพลางดึงตัวหลิ่วจิ้งเข้ามาไว้ในอก บอกเพียงว่า “ข้ามีกิจยุ่งทั้งวันยังไม่ทันได้ไปหาท่าน ต้องให้ท่านลำบากมาหลายวัน ข้าละเลยท่านแล้ว”
ั้แ่หั่วอี้กลับมาที่จวนก็ยุ่งวุ่นวายทั้งวันยังไม่มีเวลาไปหาหลิ่วจิ้ง แม้หลิ่วจิ้งจะไม่พูด แต่ในใจก็ยังคงน้อยใจด้วยเอาแต่คิดถึงเื่ดอกหญ้ากระถ่างนั้น จึงไม่ไปโต้แย้งหั่วอี้ให้มากมายเพียงถามว่า “ดอกหญ้าเงาเ้าที่เรือนของนางจ้าวเป็ท่านส่งไปให้หรือ?”
เมื่อได้ยินหลิ่วจิ้งถาม ดวงตาสุกใสดังดวงดาวของหั่วอี้ก็มีแววกังขาขึ้นมาทันใดกล่าวว่า “มิใช่ท่านบอกกับอาหนูว่าดอกไม้หอมชนิดนั้นช่วยทำให้ผ่อนคลายหรอกหรือ?”
“ข้ารึ?” หลิ่วจิ้งยิ้มอย่างตะขิดตะขวงใจพลางดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของหั่วอี้ประกายเย็นเฉียบฉายเข้ามาในดวงตาของนาง เป็ลูกไม้หันกลับเอาคราดตี [3] ที่ดีจริงๆที่แท้ก็คิดจะยัดเยียดความผิดให้คนอื่น!
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] ดอกหญ้าเงาเ้า หมายถึง เงาของชายอันเป็ที่รัก มีชื่อไทยว่า“ระฆังแก้ว” หรือ ลิลลี่แห่งหุบเขา เป็ดอกไม้ป่าที่มีกลิ่นหอมหวาน ดอกสีขาวรูประฆัง พบในฤดูใบไม้ผลิมีถิ่นกำเนิดในแถบซีกโลกเหนือที่มีอากาศเย็นสบายในเอเชียและยุโรป
[2] แก้วหลิวหลี เป็แก้วหลอมที่มักเอามาทำภาชนะต่างๆเนื่องจากมีเหลี่ยมมุมจึงสะท้อนกับแสงได้เป็เฉดสีมากมาย
[3] หันกลับเอาคราดตี หมายถึงไม่ยอมรับผิดแต่ยังย้อนกลับมาเล่นงานฝ่ายตรงข้ามด้วย