“ท่านพี่เช่อ ท่านมาได้เหมาะยิ่งนัก! เฟิงเฉี่ยนผู้นี้กำเริบเสิบสาน ถึงกับขโมยวัตถุดิบของวังหลวง ท่านรีบตัดสินลงโทษนางเถอะเ้าค่ะ!”
“เฟิงเฉี่ยน?” คิ้วราวกับคมดาบนั้นเลิกขึ้นเล็กน้อย สายตาคมปลาบนั้นมองมาทางเฟิ่งเฉี่ยนด้วยแววตาครุ่นคิด
เฟิ่งเฉี่ยนลูบจมูกอย่างร้อนตัว นางหัวเราะแหะๆ “ฝ่าา หม่อมฉันเป็คนที่พระองค์ส่งมารักษาไท่ฟู่ วัตถุดิบนั้นล้วนเป็พระองค์ที่ทรงประทานกับมือ ไฉนจึงกล่าวว่าขโมยเพคะ หรือฮ่องเต้พระองค์หนึ่งคิดจะรักษาโรคให้อาจารย์ผู้มีพระคุณแต่กลับสละไม่ได้แม้แต่วัตถุดิบเทพเพคะ”
นางเงยหน้าขึ้นกระพริบตาปริบๆ อย่างไร้ซึ่งความละอายแก่ใจใส่เซวียนหยวนเช่อ “ฝ่าา พระองค์คิดว่าหม่อมฉันพูดถูกหรือไม่เพคะ?”
คิดไม่ถึงสิ่งที่ได้มาคือท่าทีราวกับมองไม่เห็นนางอยู่ในสายตา สายตาของเขาตกลงบนร่างของมู่ฮูหยิน “ลุกขึ้นให้หมดเถิด! อาการของไท่ฟู่เป็อย่างไรบ้าง”
โอ๊ะโอ...แบบนี้ก็ได้หรือ
เฟิ่งเฉี่ยนงงงันเล็กน้อย ตกลงเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่นะ?
ไม่แยแสนาง ไม่ตัดสินลงโทษและไม่ได้ชี้แจงว่านางไม่ผิด การกระทำเช่นนี้ทำให้นางไม่คุ้นเคยจึงได้ยืนตะลึงงันอยู่ที่นั่นด้วยไม่รู้ว่าควรมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไรดี
มู่ชิงหว่านและหลินห่ายเฟิงต่างมีสีหน้าตะลึงงันเช่นกัน
ล้วนกล่าวว่าจิตใจของกษัตริย์นั้นยากจะหยั่งถึง เป็เช่นนั้นจริงๆ! ไม่ตัดสินและไม่ไต่สวน ความรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ไม่ชัดเจนเช่นนี้ช่างทำให้หัวใจคนคันยุบยิบ ทั้งยากจะรับได้และลุ้นจนตัวโก่ง!
มู่ฮูหยินลุกขึ้นตอบอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบพระทัยฝ่าาเพคะ! อาการของท่านพ่อยังคงไม่กระเตื้องขึ้นเพคะ ดื่มยาไม่ได้ กินข้าวไม่ได้ ผ่ายผอมลงทุกวัน ไม่รู้ว่าควรทำเช่นใดดีเพคะ”
ความกังวลพาดผ่านใบหน้าเซวียนหยวนเช่อ “กระทั่งอาหารที่เทพอาหารซุนปรุง อาจารย์ก็กินไม่ลงหรือ”
มู่ฮูหยินพยักหน้า
เทพอาหารซุนที่อยู่ในกลุ่มคนมากมายนั้นรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขาก้าวขึ้นมาพูดว่า “กระหม่อมไร้ความสามารถ ฝ่าาทรงลงทัณฑ์เถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อมีสีหน้าเ็าราวกับน้ำแข็ง ไม่บ่งบอกอารมณ์และความรู้สึกใดๆ ทั้งสิ้น
มู่ชิงเซียวเอ่ยปากขึ้นมาในตอนนี้ “เมื่อสักครู่ท่านปู่ได้กลิ่นข้าวผัดไข่ของแม่นางเฟิง พลันรู้สึกอยากอาหาร ยังรอให้พวกเราเอาข้าวผัดไปส่งพ่ะย่ะค่ะ”
“อ้อ ถึงกับมีเื่เช่นนี้” เซวียนหยวนเช่อมองมาทางเฟิ่งเฉี่ยนอีกครั้ง เฟิ่งเฉี่ยนเองงงงันเช่นกัน นางคิดไม่ถึงมู่ไท่ฟู่อยากกินข้าวผัดไข่ของนาง
“ข้าวผัดไข่ยังอยู่ในครัว ข้าไปหยิบเดี๋ยวนี้” เฟิ่งเฉี่ยนกำลังจะเดินออกไป ทว่ามู่ชิงหว่านกลับไม่ยอมเลิกรา
“ช้าก่อน! ยังไม่ได้ข้อสรุปเื่ขโมยวัตถุดิบเทพ จะปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
เมื่อสักครู่หลังจากเห็นปฏิกิริยาของฮ่องเต้แล้ว หลินห่ายเฟิงรู้ว่าท่าจะไม่ค่อยดีแล้ว ก่อนหน้านี้ได้ยินน้องสาวของตนเล่าให้ฟัง ให้เขาชิงลงมือจับกุมเฟิ่งเฉี่ยนในข้อหาขโมยวัตถุดิบเทพและตัดสินลงโทษนางอย่างเร็วที่สุด เขาจึงได้หาพยานบุคคลมาเป็พยาน ด้วยในใจคิดว่าก็แค่นางกำนัลเล็กๆ คนหนึ่ง ไม่มีครอบครัวขุนนางชั้นสูงเป็ที่พึ่งพิง ต่อให้ตายไปก็ไม่มีใครมาถามไถ่หรือตามหา...
ทว่ายามนี้ท่าทีของฝ่าาดูไม่ส่งผลดีกับฝ่ายเขานัก ชัดเจนเหลือเกินพระองค์กำลังตามอกตามใจเฟิ่งเฉี่ยน หากเขายังคงจิกกัดเื่นี้ไม่ยอมปล่อยก็เท่ากับว่าเขาจิกกัดฮ่องเต้
เดิมทีคิดจะให้เื่นี้ผ่านไปเงียบๆ ใครเลยจะรู้ว่าคุณหนูสกุลมู่ผู้โง่งมนางนี้ถึงกับขุดหลุมให้เขาในเวลาวิกฤติ ยิ่งเขาคิดจะผ่านเื่นี้ไปอย่างน้ำขุ่นๆ นางยิ่งผลักเขาออกมาเปิดโปงฐานะ เขาแทบจะถูกนางทำให้โมโหตายอยู่แล้ว!
เฟิ่งเฉี่ยนแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ นางยังไม่ได้คิดบัญชีกับพวกเขาเลย พวกเขากลับแส่เอาคอมาพาดเขียงรอ
“ฝ่าา พวกเขาใส่ร้ายป้ายสีว่าหม่อมฉันขโมยวัตถุดิบเทพ ยังหาขันทีของห้องเครื่องมาเป็พยานบุคคล เพียงแต่คนผู้นี้กระหม่อมพบแล้วรู้สึกไม่คุ้นหน้าอย่างยิ่ง ขอพระองค์โปรดทำให้แน่ใจว่าคนผู้นี้ใช่ขันทีของห้องเครื่องหรือไม่ หากมีคนอาศัยเวลาชุลมุนเข้ามาสวมรอย จุดประสงค์เพื่อปลอมแปลงหลักฐานและพยาน ความร้ายแรงของเื่นี้ย่อมไม่ใช่เื่เล็กๆ เพคะ”
ทันทีที่นางกล่าวจบ สีหน้าของหลินห่ายเฟิงก็เปลี่ยนไปทันที ในฐานะที่เป็ขุนนางของราชสำนัก ทว่ากลับสร้างหลักฐานปลอมขึ้นมา นั่นเป็โทษหนักเพียงใด การถูกขับออกจากการเป็ขุนนางนั้นเป็เื่เล็ก แต่หากจับพลัดจับผลูหัวย่อมอาจหลุดออกจากบ่าได้
เขาลนลานทันใด ต่อมาตัดสินใจที่ชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ
สวบ!
กระบี่ยาวเล่มหนึ่งพาดลงบนลำคอของขันทีผู้นั้น
“พูดมา! ตกลงเ้าเป็ขันทีในห้องเครื่องหรือไม่”
สีหน้าของหลี่ต้าเป่าซีดขาว เขาใเสียจนไม่อาจพูดได้ชัดเจน “ข้าน้อย...ข้าน้อยใช่...ไม่ใช่ ข้าน้อยไม่ใช่...”
“ตกลงว่าใช่หรือไม่ใช่” หลินห่ายเฟิงตวาดลั่น
หลี่ต้าเป่าใจนปัสสาวะราดกางเกง เขาพูดปากสั่น “ข้าน้อยไม่ใช่ขอรับ ข้าน้อยเป็เพียงนักแสดงละครคนหนึ่ง มักจะแสดงในบทขันทีอยู่เสมอเท่านั้น”
“บังอาจ! เ้าถึงกับกล้าหลอกลวงข้า ทำร้ายข้าจนเกือบเข้าใจแม่นางเฟิงผิด” หลินห่ายเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “เด็กๆ จับตัวเขา! เอาผ้าอุดปากเขาไว้ พากลับไปยังศาลาว่าการ!”
เฟิ่งเฉี่ยนฉุนจนหัวเราะออกมา วันนี้ทำให้คนเปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ ยังไม่เคยเห็นใครหน้าหนาเท่านี้มาก่อน
ปรับเปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าพลิกหนังสือเสียอีก!
เ้าหน้าที่ที่ติดตามเขามาด้วยล้วนเป็คนเก่าคนแก่ทำงานเข้าขากันดีมาก พวกเขากรูกันเข้ามา หนึ่งในนั้นหยิบผ้าออกมาอุดปากหลี่ต้าเป่า หลี่ต้าเป่าต่อสู้ อีกสองคนใช้ดาบในมือตีหลี่ต้าเป่าจนหมดสติ
ทั้งหมดนี้ล้วนร่วมมือกันอย่างไร้ที่ติ ราวกับพวกเคยเล่นละครฉากนี้มานับร้อยครั้ง กระทั่งถึงขั้นทำเป็ประจำ
แค่คิดก็พอจะรู้ว่า ในยามปกติพวกเขาได้เคยทำเื่ประเภทนี้มามากเท่านั้น ความรู้อกรู้ใจกันนั้นช่างน่าตกตะลึง
“ฝ่าา กระหม่อมยังมีงานรออยู่ กราบทูลลาพ่ะย่ะค่ะ” หลินห่ายเฟิงเอาตัวรอดดื้อๆ
ทว่าคนยังเดินออกไปไม่ได้ไกลนักก็ได้ยินน้ำเสียงอันเยียบเย็นของเซวียนหยวนเช่อดังขึ้นว่า “ลั่วหยิ่ง ไปศาลาว่าการเดี๋ยวนี้ ตรวจสอบคดีที่เกิดขึ้นภายในสองปีนี้ ขอเพียงเป็คดีที่ผ่านมือคนผู้นี้ ตรวจสอบออกมาให้หมด!”
ขาทั้งสองข้างของหลินห่ายเฟิงอ่อนยวบ ร่างของเขาโอนไปเอนมา กระทั่งยืนแทบไม่อยู่
จบแล้ว เขาจบแล้วจริงๆ!
เฟิ่งเฉี่ยนเองตะลึงงันเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าเซวียนหยวนเช่อจะสังเกตเห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ หลินห่ายเฟิงตบตาเขาไม่ได้ อีกทั้งไม่พูดพล่ามทำเพลงอันใดทั้งสิ้น เขาจู่โจมจุดอ่อนของอีกฝ่าย ลงมืออย่างไร้ปราณีและเด็ดขาด รวดเร็วทันใจ! นางลอบยกนิ้วหัวแม่มือให้เขา กล้าหาญและเด็ดขาดจริงๆ!
“ยังตะลึงงันอะไรกันอยู่อีก” น้ำเสียงเยียบเย็นนั้นทะลุโสตประสาท ทันทีที่เฟิ่งเฉี่ยนเงยหน้าก็พบว่าตอนนี้เซวียนหยวนเช่อเดินมาหยุดข้างกายนางแล้ว สายตาของเขามองไปข้างหน้า คนทั้งคนให้ความรู้สึกไม่แยแสคนทั้งโลกดังเดิม นางกลับไม่รู้สึกรำคาญเขาอย่างที่เป็มาเท่าใดแล้ว ในทางตรงข้ามสิ่งที่เพิ่มขึ้นมาคือความชื่นชม
นางเดินตามหลังเขามุ่งหน้าไปยังห้องครัว
มู่ชิงหว่านยืนตกตะลึงอยู่กับที่ นางกระพริบตาปริบๆ ไม่ถูกต้อง เมื่อสักครู่คนที่ควรถูกไต่สวนคือเฟิงเฉี่ยน ไฉนชั่วพริบตากลับตรวจสอบมือปราบหลินเสียแล้ว นี่มันเื่อะไรกันแน่ เหตุใดนางจึงไม่กระจ่างแจ้งแม้แต่น้อย
มู่ชิงเซียวมองน้องสาวปราดหนึ่ง เขาทั้งทอดถอนใจและส่ายหน้าก่อนเดินตามไป
องครักษ์เฝ้าอยู่ด้านนอกประตูห้องครัวอย่างแ่า คนทั้งหมดล้วนถูกกันไว้หน้าประตู
ในห้องครัวมีเพียงเฟิ่งเฉี่ยนและเซวียนหยวนเช่อสองคน
หลังจากเข้ามาในห้องครัวเซวียนหยวนเช่อไม่พูดจาสักคำ เขาหยิบข้าวผัดไข่ที่ทำเสร็จแล้วขึ้นมาพิจารณา สีหน้าของเขาไม่บ่งบอกอารมณ์ เฟิ่งเฉี่ยนยืนอยู่ด้านข้างด้วยความไม่สบายใจนัก
เวลานี้นางแทบจะหายใจไม่ออกเพราะความกดดันเช่นนี้ ขณะที่ตัดสินใจคิดจะพูดอะไรออกไป เซวียนหยวนเช่อกลับเอ่ยปากขึ้นก่อน ดูเหมือนเขาจะคุมสถานการณ์ทุกอย่างเอาไว้ในมือได้เสมอ เขามักจะรู้ว่าจุดสิ้นสุดความอดทนอดกลั้นของอีกฝ่ายอยู่ตรงไหน เมื่ออีกฝ่ายกำลังสิ้นความอดทน เขาก็จะเสือกดาบเข้ามาเล่มหนึ่ง!
“นี่ก็คืออาหารเทพที่ทำขึ้นมาจากวัตถุดิบเทพที่เ้าขโมยของเจิ้นมาเช่นนั้นหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนเกือบกระอักเื เขาถามตรงเกินไปแล้วกระมัง ไม่ไว้หน้านางแม้แต่น้อย!
“แค่กๆ สามีภรรยาเปรียบเสมือนคนๆ เดียวกัน จะแบ่งแยกให้ชัดเจนเยี่ยงนั้นเพื่ออันใด ของๆ ท่านก็คือของๆ ข้า ของๆ ข้าก็คือของๆ ท่าน ขโมยอะไรกันเล่า พูดจาราวกับเป็คนอื่นคนไกล!” นางพูดไปพร้อมกับทำหน้าตาบ้องแบ๊ว เฟิ่งเฉี่ยนลอบดูแคลนตนเอง
เซวียนหยวนเช่อนั้นสุดยอดยิ่งกว่า เขาไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากนาง สีหน้าเ็าไม่บอกอารมณ์และความรู้สึก ริมฝีปากขยับเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย “การออกเยี่ยมราษฎรในครั้งหน้า เจิ้นจะพาฮองเฮาไปด้วยแน่นอน”
เฟิ่งเฉี่ยนหน้ายุ่ง หมายความว่าอย่างไร
ได้ยินเขาพูดอีกว่า “ต่อให้โล่ของเจิ้นจะหนาและแข็งแกร่งกว่านี้ ย่อมมีวันถูกศัตรูทำลายลงได้ ทว่าฮองเฮาไม่เหมือนกัน เ้าเพียงคนเดียวต้านทานโล่ได้นับหมื่นชิ้น!”
เฟิ่งเฉี่ยนตะลึงงันและโกรธขึ้งทันที!
ให้ตายเถอะ!
ความหมายของเ้าก็คือ หนังหน้าของข้าหนากว่าโล่หนึ่งร้อยชิ้น ใบหน้าของนางเพียงคนเดียวสามารถต้านรับทหารม้านับพันนับหมื่นเช่นนั้นหรือ!! ดูแคลนคนอื่นเกินไปแล้ว!