มู่ชิงเซียวขมวดคิ้วเข้มและพูดเสียงเครียด “มือปราบหลิน เ้ากล่าวหาว่าแม่นางเฟิงขโมยวัตถุดิบของวังหลวง มีหลักฐานแน่ชัดหรือไม่ หากไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นขออภัย แม่นางเฟิงเป็แขกคนสำคัญในจวนสกุลมู่ของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยให้เ้านำตัวแม่นางเฟิงไปจากที่นี่โดยเด็ดขาด!”
คนที่ปกติแล้วมีท่าทีสุภาพอ่อนโยนและเหนียมอายอยู่เป็นิจ กลับมี่เวลาห้าวหาญเช่นนี้ เฟิ่งเฉี่ยนลอบมองเขาอย่างตกตะลึงไม่ได้
ดวงตาของหลินห่ายเฟิงไหววูบ สายตานั้นพลันเหลือบไปเห็นข้าวผัดไข่สิบจานที่วางอยู่บนเตา ริมฝีปากของเขาจึงยกขึ้นเป็รอยยิ้มเ็าและกล่าวว่า “หลักฐานหรือ”
เขาชี้นิ้วขึ้นมา “ของเหล่านี้ก็คือหลักฐาน!”
มู่ชิงเซียวตะลึงงัน เฟิ่งเฉี่ยนเองก็ตะลึงงันเช่นกัน
หลินห่ายเฟิงหัวเราะอย่างลำพองใจ “วัตถุดิบที่นำมาใช้ประกอบอาหารหลายจานนี้ล้วนเป็วัตถุดิบเทพขั้นสูงทั้งสิ้น แม่นางอธิบายได้หรือไม่ว่าวัตถุดิบเหล่านี้มาจากที่ใด”
เฟิ่งเฉี่ยนเงียบงัน
มู่ชิงหว่านเดินเข้ามาในห้องครัวในตอนนี้ นางพูดแทรกขึ้นว่า “นอกจากวัตถุดิบเหล่านี้แล้วบนตัวของนางยังมีวัตถุดิบเทพอีกมากมาย ข้าและน้องสาวของท่าน พี่หญิงหลันได้เห็นกับตาตนเองเมื่อวานนี้ ข้ากล้าแน่ใจว่าวัตถุดิบเทพเหล่านี้ของนางล้วนบอกที่มาไม่ได้ มือปราบหลินรีบจับกุมตัวนางกลับไปศาลาว่าการเพื่อไต่สวนให้ชัดเจนเถอะ!”
แสงตาเฟิ่งเฉี่ยนไหววูบ นางจับประเด็นสำคัญได้แล้ว ชัดเจนเหลือเกินว่าที่คนเหล่านี้พากันมาจับกุมตัวนางเพราะมีคนคอยบงการอยู่เื้ั และผู้บงการก็คือโฉมสคราญจอมเ็าที่ได้พบเมื่อวานคนนั้น—หลันเยว่หรู!
ช่างเป็คนต่ำช้าเลวทราม!
ตัวนางเองไม่ออกหน้าทว่ากลับให้พี่ชายของนางเป็คนออกหน้าแทน คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะกำจัดนางออกไปให้พ้นทางโดยไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ ทั้งยังรักษาภาพพจน์เทพธิดาสะอาดบริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้องกับเื่สกปรกทางโลกในสายตาของมู่ชิงเซียวหรือ
เฮอะ!
ในชีวิตของข้าเฟิ่งเฉี่ยนเกลียดที่สุดก็คือคนหน้าไหว้หลังหลอก คนชั่วที่ต่อหน้าอีกอย่างลับหลังอีกอย่าง!
แค้นนี้ ข้าได้จดจำเอาไว้แล้ว!
หลินห่ายเฟิงขมวดคิ้วมุ่น ก่อนที่จะมาที่นี่น้องสาวได้กำชับนักกำชับหนาว่าห้ามเอ่ยถึงนาง ทว่ามู่ชิงหว่านกลับเปิดโปงน้องสาวเสียแล้ว
เขาได้แต่ลอบถอนใจในใจ แววตาคมปลาบถลึงใส่เฟิ่งเฉี่ยน “ตอนนี้พยานบุคคลและพยานหลักฐานพร้อมมูล เ้ายังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่ บ้านเมืองมีกฎหมายเข้มงวดเชื่อว่าคุณชายมู่คงไม่กล้าปกป้องเ้าต่อหน้าธารกำนัลกระมัง”
มู่ชิงเซียวกลับส่ายหน้า “ข้าเชื่อในตัวของแม่นางเฟิง นางไม่มีวันทำเื่เช่นนี้ออกมาแน่นอน! อีกประการหนึ่ง บนวัตถุดิบเทพไม่ได้ทำสัญลักษณ์อันใดไว้ เ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าพวกมันคือวัตถุดิบที่ขโมยมาจากวังหลวง วัตถุดิบมากมายสูญหายไปจากวังหลวงเหตุใดจึงไม่มีข่าวคราวเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย มือปราบหลินไม่คิดว่าน่าสงสัยอย่างยิ่งหรอกหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนคิดไม่ถึงว่าเขาจะปกป้องนางถึงเพียงนี้จึงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างที่สุด
“คุณชายมู่อย่าเพิ่งใจร้อน! หากไม่มีหลักฐานแน่ชัด ข้าผู้แซ่หลินไม่มีทางมาจับกุมคนอย่างไร้เหตุผล” หลินห่ายเฟิงแค่นยิ้มเ็าโบกมือ “เด็กๆ นำพยานเข้ามา!”
เฟิ่งเฉี่ยนขมวดคิ้ว รอดูว่าเขาจะหาใครมาเป็พยาน
ไม่นานนักบุรุษในชุดขันทีคนหนึ่งถูกนำตัวเข้ามา เขาหันไปคารวะหลินห่ายเฟิง “มือปราบหลิน”
ดวงตาของหลินห่ายเฟิงทอประกายแรงกล้า “บอกกับคุณชายมู่ว่าเ้าเป็ใคร พำนักอยู่ที่ใดและทำอาชีพอันใด”
ชายผู้นั้นตอบ “บ่าวชื่อ หลี่ต้าเป่า เป็ขันทีในห้องเครื่องของวังหลวงขอรับ”
เฟิ่งเฉี่ยนไม่แสดงออกทางสีหน้าทว่าใจกลับเต้นเร็วราวกับตีกลอง มือปราบหลินผู้นี้ได้เตรียมการมาเป็อย่างดีจริงๆ กระทั่งขันทีในห้องเครื่องของวังหลวงก็ยังหามาจนได้ เขาคงไม่รู้ว่านางเป็ฮองเฮากระมัง
หลินห่ายเฟิงจ้องเฟิ่งเฉี่ยนและแค่นหัวเราะเสียงเย็น “หลี่ต้าเป่า เ้าบอกกับคุณชายมู่ไปว่าสตรีนางนี้เป็ใคร นางทำอะไร”
เฟิ่งเฉี่ยนกำหมัดแน่น
“นางเป็คนในวังหลวง...” คำพูดประโยคแรกของหลี่ต้าเป่าทำให้เฟิ่งเฉี่ยนใจตุ้มๆ ต่อมๆ ได้ยินคำพูดต่อมาของเขา “เป็นางกำนัลในห้องเครื่อง เฟิงเฉี่ยน...เป็นางที่ขโมยวัตถุดิบเทพในห้องเครื่องขอรับ!”
มู่ชิงเซียวตื่นตะลึงด้วยไม่อยากจะเชื่อ
มู่ชิงหว่านมีสีหน้าราวกับรู้อยู่แล้ว “พี่รอง ตอนนี้มีทั้งหลักฐานและพยาน ท่านเชื่อได้แล้วกระมัง ข้ามองนางปราดเดียวก็รู้ว่านางเป็โจรลับๆ ล่อๆ ไม่ใช่สิ่งของดีอันใดเ้าค่ะ!”
มู่ชิงเซียวยังคงไม่ยินยอม เขาหันไปมองเฟิ่งเฉี่ยน “นี่มันเกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่”
มือที่กำเป็หมัดแน่นคลายออก ริมฝีปากของเฟิ่งเฉี่ยนคลี่ออกเป็รอยยิ้มเยียบเย็น นางกระจ่างแจ้งแล้วว่าทั้งหมดนี้เกิดเื่อันใดขึ้นกันแน่ เพื่อให้ร้ายนางมือปราบหลินถึงกับไปหาคนมาเป็พยาน ช่างทุ่มเทแรงกายแรงใจเหลือเกิน!
หลินห่ายเฟิงไม่ให้โอกาสนางอธิบาย เขาออกคำสั่งลงมาทันที “เด็กๆ จับตัวนาง!”
“ข้าจะดูว่าใครกล้า” จวักแปลงกายพันชั่งในมือของเฟิ่งเฉี่นเปล่งปรายวิบวับ เหล่าเ้าหน้าที่ได้แต่ประสานสายตากันไปมา ทุกคนยังคงเกรงกลัวต่ออานุภาพของจวักแปลงกายพันชั่ง
หลินห่ายเฟิงเห็นคนทั้งหมดไม่กล้ารุกไปข้างหน้า จึงตวาดเสียงดัง “ล้วนเป็สิ่งของไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น!”
เขาตัดสินใจลงมือเอง
กระบี่ยาวในมือเพิ่งจะวาดออกไปได้เพียงกึ่งหนึ่ง พลันได้ยินเสียงแหลมสูงดังขึ้น “ฝ่าาเสด็จ—“
คนทั้งหมดได้แต่ตกตะลึง
“ท่านพี่เช่อ!” มู่ชิงหว่านเป็คนแรกที่วิ่งเข้าไปหาเขา
หลินห่ายเฟิงเลิกคิ้วเมื่อได้สติ “รีบตามข้าไปรับเสด็จฝ่าา”
หลังจากรอให้ทุกคนออกไปแล้ว มู่ชิงเซียวกล่าวกับเฟิ่งเฉี่ยนว่า “แม่นางเฟิงไม่ต้องเป็กังวล ข้าไม่มีทางปล่อยให้พวกเขาจับกุมตัวเ้าไปเด็ดขาด”
เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกซาบซึ้งใจ “หากข้าขโมยวัตถุดิบมาจากวังหลวงจริงๆ เล่า”
มู่ชิงเซียวตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ข้าเชื่อว่าเ้าจะต้องมีความลำบากใจที่ไม่อาจเอ่ยปากแน่นอน”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะเบาๆ ความอบอุ่นสายหนึ่งท่วมท้นเข้ามาในจิตใจ นางมองเขาแล้วอดคิดถึงศิษย์พี่นักเรียนแพทย์ไม่ได้ ไม่ว่านางจะทำอันใดเขาล้วนปกป้องนางเสมอ ความไว้เนื้อเชื่อใจที่ปราศจากกฎเกณฑ์และไร้เงื่อนไขเช่นนี้ เป็สิ่งที่หาได้ยากที่สุดบนโลกนี้!
นางก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วตบไหล่ของเขา ดวงตาของนางทอประกายเจิดจ้าเมื่อกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงยืนกรานแน่วแน่ “ต่อไปข้าจะดูแลเ้าเอง”
มู่ชิงเซียวตะลึงงัน ยังไม่ทันรอให้เขาตั้งตัวได้ เฟิ่งเฉี่ยนเดินออกไปจากห้องครัวเสียแล้ว
เขาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตอนนี้ตกลงใครดูแลใครกันแน่
ลานเรือนด้านหน้า คนในจวนสกุลมู่ทั้งหมดล้วนออกมารับเสด็จฮ่องเต้ คนทั้งหมดคุกเข่าอยู่บนพื้นเต็มไปหมด เฟิ่งเฉี่ยนมองไปเพียงปราดเดียวก็พบเซวียนหยวนเช่อยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน วันนี้เขาสวมอาภรณ์ลำลอง ชุดยาวสีเงินยวงนั้นทำให้กรอบหน้าของเขาดูอ่อนโยนลงมาก ทว่ายังคงมิอาจบดบังรัศมีของเชื้อพระวงศ์ ชนชั้นสูงที่เปี่ยมไปด้วยบารมีและความน่าเกรงขามที่ติดตัวมาแต่กำเนิดของเขาลงได้
เขาเห็นนางแล้วเช่นกัน ท่ามกลางแววตาตกตะลึงนั้นปนเปไปด้วยความประหลาดใจ อาจเป็เพราะนี่เป็ครั้งที่เขาเห็นนางแต่งกายเรียบง่ายทว่าดูสง่างามเช่นนี้ เมื่อเห็นแวบแรกจึงจำนางไม่ได้
ในอดีตฮองเฮางดงามหยาดฟ้ามาดิน ทว่ารสนิยมของการแต่งกายและการแต่งหน้านั้นทำให้คนไม่ปรารถนาจะเข้าใกล้ หากมิใช่สวมอาภรณ์สีแดงสดก็สีม่วงเข้ม เครื่องประดับบนศีรษะล้วนส่งประกายสีทองระยิบระยับ ราวกับกลัวว่าผู้อื่นจะไม่รู้ว่านางนั้นมั่งมีและมีฐานะสูงส่ง ดังนั้นทุกครั้งที่เซวียนหยวนเช่อเห็นนางก็มักจะรู้สึกอิดหนาระอาใจ การแต่งกายเรียบง่ายเช่นวันนี้ด้วยอาภรณ์สีพื้นทว่าดูสง่างามถือเป็ครั้งแรกที่เซวียนหยวนเช่อได้พบเห็น ในแววตาจึงมีความชื่นชมพาดผ่านครู่หนึ่ง ทว่าสุดท้ายก็เป็เพียงความรู้สึกแปลกใหม่เท่านั้น
มู่ชิงหว่านคุกเข่าอยู่บนพื้นลอบมองใบหน้าหล่อเหลาของเซวียนหยวนเช่อ พบว่าเขากำลังมองเฟิ่งเฉี่ยน ไฟริษยาที่มิอาจควบคุมได้กองหนึ่งพลันลุกโหมขึ้นมา นางจึงหันไปตวาดใส่เฟิ่งเฉี่ยนว่า “บังอาจ! ฮ่องเต้ประทับอยู่ที่นี่ เ้ายังไม่คุกเข่าอีก”
คนทั้งหมดมองไปทางเฟิ่งเฉี่ยนพร้อมเพรียงกัน
เฟิ่งเฉี่ยนเพียงแค่ยอบกายลงเล็กน้อย “ถวายพระพรฝ่าาเพคะ”
จากนั้นนางกลับยืนอยู่ที่นั่นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
มู่ชิงหว่านถึงกับโง่งมไปเลยทีเดียว คนของพวกเขาในจวนสกุลมู่ล้วนคุกเข่าอยู่บนพื้น นางกลับยืนถวายพระพร นี่มิใช่เยาะเย้ยถากถางว่าสกุลมู่ของพวกเขามีฐานะด้อยกว่านางหรอกหรือ
ที่น่าโมโหที่สุดก็คือ ฮ่องเต้ถึงกับไม่ตำหนินาง ในทางกลับกันกลับใช้ความเงียบแทนการอนุญาต...