เฟิ่งเฉี่ยนกางเล็บราวกับกำลังจะเข้าจู่โจม เขากลับเอ่ยปากขึ้นราวกับเป็หมัดน็อคคู่ต่อสู้ทำให้โทสะของนางดับมอดทันที
“ยังจำข้อตกลงระหว่างเจิ้นและเ้าได้กระมัง หากเ้าไม่อาจรักษาไท่ฟู่ให้หายดีได้ บทลงโทษทั้งหมดล้วนต้องเพิ่มโทษอีกหนึ่งเท่าตัว!” เซวียนหยวนเช่อหยุดไปครู่หนึ่ง เสียงห้าวทุ้มของบุรุษกล่าวขึ้นอีกว่า “ตอนนี้ เ้ามีความผิดฐานขโมยวัตถุดิบเทพเพิ่มอีกหนึ่งข้อ...”
เฟิ่งเฉี่ยนมีสีหน้าหวานอมขมกลืน
ช่วยไม่ได้ที่ถูกผู้อื่นจับผิดได้ นางได้แต่เดินหนีบหางของตนเองเอาไว้
“บรรดาท่านหมอต่างไม่มีวิธีการรักษา ข้าจะรักษาให้หายได้อย่างไรกัน” เห็นเค้าลางสีหน้าของเขากำลังจะเปลี่ยน นางรีบเปลี่ยนวาจาใหม่ทันที “แต่ต่อให้ทำการรักษาก็ต้องให้เวลาแก่ข้าบ้าง อาการเจ็บป่วยไม่ใช่ว่าจะรักษาให้หายภายในวันเดียวได้”
“เช่นนั้นหากให้เวลาเ้าเพิ่มอีกสามวัน สามวันให้หลัง หากอาการของไท่ฟู่ไม่กระเตื้องขึ้น เ้าจงรับโทษต่อไปก็แล้วกัน!” เขาพูดลากเสียงจนจบจากนั้นหมุนตัวเดินออกไปจากห้องครัว
เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึงอยู่กับที่ หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
สามวัน? สามวันพอที่ไหนกัน!
......
เฟิ่งเฉี่ยนถือข้าวผัดไข่จานหนึ่งมาถึงห้องนอนของไท่ฟู่ ในห้องนอนของไท่ฟู่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย เซวียนหยวนเช่อนั่งอยู่ริมเตียงกำลังถามไถ่ไท่ฟู่ คนที่เหลือยืนห่างออกมา
เมื่อเห็นเฟิ่งเฉี่ยนกลับมาแล้ว มู่ฮูหยินรีบเข้ามาต้อนรับ “แม่นางเฟิง นี่ก็คือข้าวผัดไข่ที่เ้าทำหรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า “ไม่รู้ว่าจะถูกปากไท่ฟู่หรือไม่”
มู่ฮูหยินรับจานข้าวผัดมานั่งลงริมเตียง “ท่านพ่อ ท่านทานสักคำเถิดเ้าค่ะ!”
มู่ไท่ฟู่ฝืนลืมตาขึ้นมา ดูท่าทางของเขาเหนื่อยล้ายิ่งยวด
“เจิ้นเอง!” เซวียนหยวนเช่อกลับรับเอาจานและช้อนมาจากมือของมู่ฮูหยินเพื่อป้อนไท่ฟู่ด้วยตนเอง เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ทุกคนล้วนตื้นตันใจ ด้วยฐานะของฮ่องเต้ผู้ใต้หล้า เขาป้อนอาหารให้กับอาจารย์ด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความเคารพแก่อาจารย์และมีความผูกพันแน่นแฟ้นเพียงใด
เฟิ่งเฉี่ยนเองพลันเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาเช่นกัน เขามิได้เป็คนเืเย็นแล้งน้ำใจมาแต่กำเนิด อย่างน้อยๆ ท่าทีที่เขาปฏิบัติต่อบุตรชายของเขา อาจารย์ของเขา เขาได้ทำหน้าที่ของบุรุษผู้ซึ่งเป็บิดาคนหนึ่งและศิษย์คนหนึ่งอย่างเต็มที่!
เทพอาหารซุนพลันส่งเสียงขึ้นมาในตอนนี้ “ฝ่าา ช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ!”
เซวียนหยวนเช่อหยุดชะงัก คิ้วตาเ็านั้นจ้องมองไปที่เขา
เทพอาหารซุนกล่าวอีกว่า “ฝ่าา ข้าเห็นว่าแม่นางท่านนี้เป็คนหน้าใหม่ในแวดวงของเทพอาหาร นางเป็เพียงเทพอาหารขั้นหนึ่งกระมัง”
แคว้นเป่ยเยียนมีเทพอาหารเพียงไม่กี่คน อย่าได้กล่าวว่าเป็เทพอาหารในเมืองมู่หยางเลย ที่สามารถนับได้เขาล้วนรู้จักทั้งสิ้น นางเป็เพียงสตรีอายุน้อยคนหนึ่ง อีกทั้งไม่มีความรู้ อธิบายได้เพียงว่านางเป็แค่ผู้เรียนขั้นเบื้องต้นเท่านั้น
ขณะที่พูดเื่เหล่านี้สายตาของเขาที่ตวัดผ่านมาทางเฟิ่งเฉี่ยนนั้นแฝงไปด้วยแววดูิ่ดูแคลน
เฟิ่งเฉี่ยนแค่นหัวเราะเสียงเย็นในใจ นี่เขามิใช่รู้อยู่แก่ใจแต่กลับจงใจถามหรอกหรือ
“ถูกต้อง ข้าเป็เทพอาหารขั้นหนึ่ง”
เทพอาหารซุนยิ้มบางๆ “เช่นนั้นแม่นางทราบหรือไม่ว่าจะแบ่งระดับขั้นของเทพอาหารได้อย่างไร?”
เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึง นางไม่รู้จริงๆ
เทพอาหารซุนมีสีหน้าท่าทางราวกับคาดเดาได้แต่แรกแล้ว เขาพูดกลั้วหัวเราะ “เช่นนั้นข้าขออธิบายการแบ่งระดับขั้นของเทพอาหารกับทุกท่าน...”
เขากระแอมกระไอลำคอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงสูงนิดๆ “เทพอาหารแบ่งเป็เก้าระดับขั้น ระดับขั้นที่หนึ่งและสองอาศัยการฝึกฝนจากกลิ่นอายของวัตถุดิบเทพ ระดับขั้นที่สามถึงห้านั้นฝึกจากการรวบรวมกลิ่นอายเทพ นั่นก็คือทำอย่างไรจึงจะรวบรวมกลิ่นอายจากวัตถุดิบเทพเพื่อนำมาฝึกฝนได้ เพื่อให้ผู้ที่กินอาหารเทพเ่าั้ได้ซึมซับพลังเทพ ระดับขั้นที่หกถึงแปดคือทำอย่างไรให้กลิ่นอายเทพเกิดขึ้นอีกครั้ง ซึมซับพลังเทพทั้งสิบส่วน ให้สามารถเพิ่มระดับเป็สิบสองส่วน หรือให้สูงยิ่งกว่านั้น อีกทั้งยังสามารถเรียกเทพอสูรออกมาได้ เมื่อไปถึงระดับขั้นที่เก้าคือขั้นที่สูงที่สุดคือการอัญเชิญเทพเ้าลงมา”
คนทั้งหมดตั้งใจฟัง สีหน้าท่าทางของแต่ละคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ พวกเขาได้ยินมานานแล้วว่าผู้ที่เป็เทพอาหารนั้นเป็อาชีพที่สูงศักดิ์ ทว่ากลับไม่กระจ่างแจ้งถ่องแท้อันใดนัก ตอนนี้เมื่อได้ยินคำอธิบายจากเทพอาหารซุน ทุกคนจึงตระหนักได้ว่าอาชีพนี้สูงส่งจริงๆ
ปฏิกิริยาที่เทพอาหารซุน้าก็คือท่าทีเยี่ยงนี้ หาไม่แล้วพวกเขาไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่า ผู้ที่ทำหน้าที่เทพอาหารนั้นมีความรู้สึกว่าตนเหนือกว่าผู้อื่นอย่างไร
เฟิ่งเฉี่ยนเองเข้ามาทำหน้าที่เทพอาหารอย่างที่เรียกได้ว่าจับพลัดจับพลู นางมิได้เข้าใจถึงอาชีพเทพอาหารอย่างลึกซึ้ง เมื่อได้ยินคำพูดของเทพอาหารซุนแล้วนางจึงบังเกิดความมั่นใจมากขึ้น
ได้ยินเทพอาหารซุนพูดขึ้นอีกว่า “แม่นางท่านนี้เป็เพียงเทพอาหารขั้นหนึ่ง ยังไม่ได้ฝึกฝนว่าทำอย่างไรจึงจะรวบรวมกลิ่นอายเทพได้ มีความเป็ไปได้อย่างยิ่งว่าขณะที่ทำการปรุงวัตถุดิบเทพอาจทำให้กลิ่นอายของวัตถุดิบเทพกระจัดกระจายตัวออกไป หากปรุงเพื่อให้คนธรรมดาสามัญทั่วไปกินนั้นก็ไม่ได้มีผลกระทบอันใดนัก ทว่าเดิมทีสุขภาพของมู่ไท่ฟู่ไม่ใคร่จะแข็งแรงอยู่แล้ว หลังจากกินอาหารลงไปอาจทำให้เกิดการปะทะกันของกลิ่นอายเทพ ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยให้สุขภาพดีขึ้น ในทางตรงข้ามกลับเป็การทำร้ายรากฐานอย่างร้ายแรง ดังนั้น เพื่อเป็การระมัดระวังเอาไว้ก่อน กระหม่อมไม่เห็นด้วยที่จะให้มู่ไท่ฟู่กินข้าวผัดไข่จานนี้พ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดที่กล่าวมาทั้งหมดดูเป็เหตุเป็ผลจนแทบจะจับพิรุธไม่ได้ ทว่ามีเพียงเฟิ่งเฉี่ยนที่แจ่มแจ้งแก่ใจดีว่าเขาเป็คนอย่างไร มองแค่ปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเขา้าสื่อถึงอะไร เขาแค่เกรงกลัวว่าหลังจากมู่ไท่ฟู่กินข้าวผัดไข่ที่นางทำแล้ว จะแย่งหน้าที่ของเขาไป ทำให้เขาสูญเสียความน่าเชื่อถือต่อพระพักตร์ฮ่องเต้ ทำให้ตำแหน่งของเขาต้องสั่นคลอนมิใช่หรือ
ทว่าไม่อาจไม่ยอมรับว่าคำพูดทั้งหมดนี้ของเขาฟังดูมีเหตุผลอย่างยิ่งยวด กระทั่งเซวียนหยวนเช่อที่ตัดสินใจเด็ดขาดกลับต้องฉุกคิด ขอเพียงมีความเสี่ยงหรืออันตรายเล็กน้อย เขาไม่มีทางนำชีวิตของอาจารย์ผู้มีพระคุณมาล้อเล่น
ทันใดนั้น เขาถือช้อนขึ้นมาตักข้าวคำหนึ่งส่งเข้าปากของตนเอง
การกระทำนี้รวดเร็วและกะทันหันเกินไป คนทั้งหมดต่างคาดไม่ถึง!
ลั่วหยิ่งร้องอย่างใ
“ฝ่าา ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนได้สติกลับคืนมาทันที เย่เอ๋อร์แพ้ไข่ไก่ เป็เพราะพันธุกรรมทางยีนที่ได้รับมาจากเขาใช่หรือไม่ เขาแพ้ไข่ไก่เช่นกัน คิดถึงสภาพของเย่เอ๋อร์ขณะมีอาการแพ้ นางรู้สึกกลัดกลุ้ม สายตาที่มองเซวียนเหยียนเช่อแปรเปลี่ยนไปทันที
เซวียนหยวนเช่อตวัดสายตาเ็ามาปราดหนึ่ง ลั่วหยิ่งรีบก้มหน้าต่ำ
มู่ไท่ฟู่ถามขึ้นอย่างสงสัย “ฝ่าา มีอันใดไม่ถูกต้องหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ลั่วหยิ่งไม่รู้มารยาท อาจารย์อย่าได้ถือสา” เซวียนหยวนเช่อตักข้าวขึ้นมาอีกคำหนึ่งป้อนให้เขา “อาหารจานนี้ไม่มีปัญหาอันใด อาจารย์กินอย่างสบายใจเถิด”
มู่ไท่ฟู่ได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงอ้าปากกินอาหารอย่างวางใจ
หัวใจของคนทั้งหมดถูกบีบรัดอีกครั้ง...
โดยเฉพาะเทพอาหารซุนที่ตื่นเต้นกว่าใคร นี่เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของเขา ไม่กินอาหารที่เทพอาหารขั้นสามปรุงออกมา แต่กลับกินอาหารที่เทพอาหารขั้นหนึ่งทำออกมา นี่จะให้เขามีหน้าอยู่ในแวดวงสังคมเทพอาหารได้อย่างกัน
“เคี้ยวแล้ว เคี้ยวแล้ว”
“ครั้งนี้คงจะกินลงกระมัง”
ได้ยินคำคาดเดาของทุกคน เทพอาหารจับจ้องไปที่ลูกกระเดือกของมู่ไท่ฟู่ สีหน้านั้นดูสงบนิ่งทว่าในใจกลับร้อนรุ่ม!
ห้ามกลืนลงไป ห้ามกลืนลงไปนะ!
เห็นเพียงแค่เขาเคี้ยวเท่านั้น เมื่อสักครู่ตอนที่กินอาหารที่เขาทำ ไท่ฟู่เคี้ยวอาหารเช่นกัน ทว่าสุดท้ายยังคงอาเจียนออกมา
อาเจียน รีบอาเจียนออกมาสิ!
เฟิ่งเฉี่ยนยืนมองอยู่ด้านข้างด้วยจิตใจที่ตื่นเต้นเช่นกัน ที่นางตื่นเต้นไม่ใช่เพราะกังวลใจว่าฝีมือการทำอาหารของนางใช้ไม่ได้แล้วขายหน้า ที่นางตื่นเต้นเพราะหากไท่ฟู่กินกระทั่งข้าวผัดไข่ของนางไม่ได้ นางยิ่งไม่อาจหาวิธีการมารักษาไท่ฟู่ได้แล้ว
ในที่สุด หลังจากเคี้ยวอาหารไปหลายครั้ง ลูกกระเดือกของไท่ฟู่ขยับครั้งหนึ่ง เขากลืนข้าวผัดไข่ลงคอไป!
คนทั้งหมดเริ่มส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอีกครั้ง
“ไท่ฟู่กินอาหารลงไปแล้ว ดีเหลือเกิน!”
“ดูแล้วความสามารถของแม่นางเฟิงน่าจะสูงกว่าเทพอาหารซุน”
“เมื่อสักครู่ข้าเห็นข้าวจานนั้น สีของกลิ่นอายเทพเกือบจะเป็สีส้ม ดูแล้วเหมือนอาหารเทพขั้นสองมากกว่า”
“แต่เทพอาหารซุนมิใช่บอกว่านางเป็เทพอาหารขั้นหนึ่งหรือ”
“เทพอาหารขั้นหนึ่งจะปรุงอาหารเทพขั้นสองออกมาได้หรือ เป็ไปไม่ได้กระมัง”
“หากเป็เช่นนี้จริงๆ เช่นนั้นถือได้ว่านางเป็ผู้มีพร์!”
ได้ฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน สีหน้าของเทพอาหารซุนแทบจะแข็งค้างทันที!
ไท่ฟู่กินแล้ว เขาถึงกับกินอาหารลงไปจริงๆ! เหตุใดกัน นี่เป็เพราะเหตุใด
หรือเป็เพราะอาหารที่อีกฝ่ายปรุงออกมารสชาติดีหรือ ทว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของเทพอาหารมิใช่อยู่ที่การฝึกฝนกลิ่นอายเทพของวัตถุดิบเทพ รวบรวมกลิ่นอายเทพหรอกหรือ หากเพียงแต่ทำให้อาหารมีรสชาติดี เช่นนั้นหาพ่อครัวสามัญทั่วไปที่ใช้วัตถุดิบธรรมดาก็ได้แล้ว
เขาพลันรู้สึกแก่ตัวลงหลายปี ความมั่นใจในอาชีพเทพอาหารของตนที่มีมาโดยตลอดนั้นพังครืนลงมาในชั่วขณะ